ปีนี้และปีหน้าต้องถือว่าเป็นปีทองของนักแสดงชายที่ถูกจัดอันดับโดยหลักสัดส่วนทางคณิตศาสตร์ว่าหล่อที่สุดในโลกยุคปัจจุบันอย่างพ่อหนุ่ม Robert Pattinson วัย 34 ปีที่มีหนังเล่นหลากหลายแนว ทั้งหนังฟอร์มยักษ์เตรียมถล่มตารางหนังทำเงินอย่าง The Batman ภาคใหม่ซึ่งจะเข้าฉายปีหน้า รวมถึงปีนี้เอง Tenet ก็ทำรายได้ดีในระดับที่ต้องต่อสู้กับโควิด-19 แม้จะไม่เข้าเป้าเท่าไรก็ตาม แต่ก็ทำให้ชื่อนักแสดงหนุ่มรายนี้กลับมาอยู่ในความสนใจของคอหนังทั่วโลกอีกครั้ง หลังจากแฟรนไชส์ Twilight (2008-2012) สิ้นสุดไปเมื่อ 8 ปีก่อน

ย้อนไปเมื่อปี 2004 Pattinson ร่วมแสดงในหนังเรื่องแรกคือ Vanity Fair อย่างที่ไม่ได้รับเครดิต ต่อมาเขาก็ไปแสดงในภาพยนตร์แนวพีเรียดทางโทรทัศน์เรื่อง Sword of Xanten (2004) ก่อนที่ในปีถัดมา เขาจะดังเปรี้ยงกับบท Cedric Diggory พ่อมดที่ร่วมแข่งขันประลองเวทย์ไตรภาคีร่วมกับ Harry Potter ในภาค 4 ของหนัง Harry Potter and the Goblet of Fire (2005) ซึ่งภายในเรื่องนั้นเขาก็เป็นศัตรูหัวใจเพราะคบอยู่กับคนที่ Harry แอบชอบด้วย ตั้งแต่นั้นเขาก็กลายเป็นพระเอกรูปงามที่สาว ๆ ทั่วโลกรอกรี๊ดผลงานเรื่องต่อไป

Sword of Xanten (2004)
Harry Potter and the Goblet of Fire (2005)

ต่อเนื่องจากแฟรนไชส์วรรณกรรมสำหรับวัยรุ่นสุดฮิต เขาก็กระโดดไปรับบทนำของนิยายวัยรุ่นอีกเรื่องที่พูดได้เลยว่า เป็นแฟรนไชส์หนังรักวัยรุ่นที่ประสบความสำเร็จที่สุดตลอดกาลอย่างแวมไพร์ Twilight ที่มีออกมาทั้งหมด 5 ภาค (รับชมทาง Netflix ได้ 23 ตุลาคมนี้) ด้วยความที่ตัวละคร Edward Cullen เป็นตัวละครหนุ่มหล่อสุดเท่ที่สาว ๆ แฟนนักอ่านเคลิ้มฝันอยู่แล้ว เมื่อ Pattinson ได้รับเลือกมาตรงเสป็คอย่างไม่มีข้อกังหาที่เหลือก็คือความสำเร็จล้วน ๆ ตลอด 5 ปีนั้นทั้งตัวหนังและนักแสดง หนังก็ทำรายได้ไปทั้งหมด 3,317 จากทุนสร้างแค่ 480 ล้านเหรียญฯ

The Twilight Saga: Breaking Dawn – Part 2 (2012)

นักแสดงคนแรกที่ Stephenie Meyer ผู้เขียนหนังสือ อยากให้มารับบท Edward คือ Henry Cavill เจ้าของบท Superman แต่ขณะที่จะเริ่มสร้างภาพยนตร์นั้น Cavill อายุ 25 ปีแล้ว จึงไม่เหมาะจะแสดงเป็นตัวละครอายุ 17 ปี บทจึงตกเป็นของ Pattinson ที่เดินทางจากอังกฤษไปที่บ้านของผู้กำกับ Catherine Hardwicke เพื่อทดสอบบทกับ Kristen Stewart ที่ได้รับเลือกให้แสดงบท Bella ไปแล้ว พวกเขาต้องลองแสดงฉากรักและฉากทุ่งหญ้าด้วยกันบนเตียงนอนของ Catherine เอง อย่างที่หลายคนรู้ว่าสุดท้ายช่วงหนึ่งนักแสดงทั้งสองคนก็คบหากันจริง ๆ

The Twilight Saga: Breaking Dawn – Part 2 (2012)

นี่คือยุคแรกของพระเอกหนุ่มที่โลกรู้จัก ยุคแรกนี้คือความเป็นดาราหนุ่มหน้าใสในหนังชุดแวมไพร์ บทที่เขาต้องต่อสู้แย่งชิงมากจากคู่แข่งกว่า 3,000 คนที่มาคัดเลือกบทนี้เช่นกัน หนังเรื่องนี้ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งใน 100 บุคคลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกปี 2010 ของนิตยสาร Time และเป็นหนึ่งในบุคคลที่เซ็กซี่ที่สุดในปี 2008 ของนิตยสาร The People รวมถึงมีหนังสารคดีเรื่องราวของตัวเอง (หนักไปทางแฟนคลับที่คลั่งไคล้เขามากกว่า) ชื่อว่า Robsessed (2009)

ผมดูหนัง Twilight และคิดอะไรได้หลายอย่าง เหมือนมันมีความเป็นหนังอาร์ตมากกว่าสิ่งที่ตั้งใจทำออกมา”

ส่วนยุคหลังก็คือเรื่องอื่น ๆ ที่เขาเน้นขายผลงานทางการแสดงมากขึ้น Pattinson บอกว่า เขาเล่นหนังพวกนั้นเพราะมันเป็นสิ่งที่เขาชอบ ไม่ใช่เพราะอยากจะพิสูจน์ฝีมือขนาดนั้น

ผมโตมากับหนังคลาสสิก ผมชอบดูหนังพวกนี้มากตอนเป็นวัยรุ่น ผมเคยอยากทำงานกับคนเหล่านี้ ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าจะเป็นไปได้จริง” เขาให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร GQ เอาไว้

เช่นเดียวกับนักแสดงวัยรุ่นชื่อดังในยุคก่อนอย่าง Leonardo DiCaprio หรือกระทั่ง Tom Cruise ที่เมื่อมีหนังฟอร์มยักษ์ที่ประสบความสำเร็จ ก็ถึงเวลาจะต้องพิสูจน์ความสามารถทางการแสดง ในช่วงคาบเกี่ยวก่อนจะหมดแฟรนไชส์ไปจนถึง 3-4 ปีหลังจากนั้น Pattinson แทบจะเล่นแต่หนังอินดี้ที่เข้าถึงกลุ่มคนดูกลุ่มเล็ก ๆ ทั้ง Remember Me (2010) (ดูได้แล้วบน Netflix ตอนนี้), Bel Ami (2012), Maps to the Stars (2014) โดยมีหนังที่ออกฉายในวงกว้างแค่เรื่องเดียวคือ Water for Elephants (2011) ที่เขาได้ประกบกับสองนักแสดงออสการ์อย่าง Reese Witherspoon และ Christoph Waltz แต่หนังประสบความล้มเหลวทางรายได้อย่างสิ้นเชิง

ส่วนหนังที่เขาได้รับคำชื่นชมในฐานะนักแสดงที่มาเอาดีทางสายดราม่า เริ่มมีตั้งแต่ Cosmopolis (2012) บทนักธุรกิจหนุ่มกับชีวิตที่เต็มไปด้วยบทสนทนาเกี่ยวกับโลกยุคใหม่ เศรษฐกิจ และปรัชญา, The Rover (2014) เป็นโจรสมองช้า, Good Time (2017) กับบทกุ๊ยข้างถนนที่ไม่เหลือสภาพความเป็นนักแสดงสุดหล่อใด ๆ อยู่เลย หรื่อล่าสุดเมื่อปีก่อน The Lighthouse (2019) หนังขาวดำสุดหลอน ซึ่งเขาต้องลดน้ำหนักและไปถ่ายทำบนเกาะที่ห่างไกล

ผมเริ่มต้นปีก่อน (ปี 2019) ด้วยการไม่มีงานเลย ผมโทรถามตัวแทนว่า ผมมีหนังที่แสดงไปแล้ว ได้รับคำวิจารณ์ดี ๆ บ้างไหม? เขาก็นิ่งไป และผมก็ถามว่า มีหนังดี ๆ ให้ผมเล่นบ้างไหม? ตัวแทนก็บอกเขาว่า “คุณไม่ได้อยู่ในลิสต์…ทุกคนคิดว่าคุณไม่อยากเล่นหนังพวกนี้” Robert Pattinson จึงกลายเป็นดารา A-List หรือดาราแถวหน้าที่ว่างงานในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาก่อนจะถึง Tenet

ผมแค่อยากเล่นหนังที่รู้สึกมั่นใจกับมัน แต่ปัญหาที่ผมเจอก็คือยิ่งผมรักหนังที่ผมเล่นมากแค่ไหน ก็ยิ่งไม่มีคนไปดู มันก็น่าเครียดเหมือนกันนะ ผมไม่ชอบเล่นบทประเภทเดิม ๆ ที่คาดเดาง่าย มีบางสิ่งในหนังอาชญากรรมที่ดึงดูดผม ผมชอบดูตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ผมชอบนักแสดงอย่าง Al Pacino และ Robert De Niro ผมยังเบื่อการถูกผู้สร้างหนังชวนให้ไปเล่นหนังดราม่า เพียงเพราะผมเป็นนักแสดงที่ตัวสูง หัวฟู พูดสำเนียงอังกฤษ”

ในช่วงหลังการที่เขาเล่นหนังอิสระทุนต่ำส่งผลให้หนังที่เขามีส่วนเกี่ยวข้องได้รับอนุมัติให้สร้างง่ายขึ้น เพราะได้เขาซึ่งเป็นนักแสดงแถวหน้ามาเล่นในราคาค่าตัวที่ถูก (เพราะเขายอมรับค่าตัวไม่แพง) ก็ทำให้หนังได้รับความสนใจมากขึ้น อย่างหนังของ Netflix ซึ่งเขาก็ถือได้ว่าเป็นพระเอกขาประจำของ Netflix อยู่เหมือนกัน เล่นไปแล้วทั้ง The King (2019) และ The Devil All The Time (2020) ซึ่งก็เป็นบทที่เขาได้รับคำชมเรื่องการถ่ายทอดอารมณ์ทางการแสดงได้อย่างลึกซึ้ง

The King (2019)
The Devil All The Time (2020)

ผมไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นผู้สนับสนุนหนังอินดี้หรือทุนต่ำขนาดนั้น ผมแค่อยากให้หนังประเภทนี้ซึ่งผมชอบดู ได้รับการสร้างมากขึ้น ถูกพูดถึงมากขึ้น มีผู้ชมเยอะขึ้น ผมไม่ได้คิดแบบนักเรียกร้องหรืออยากปลุกระดมขนาดนั้น ผมเป็นเพียงนักแสดงที่อยากมีส่วนร่วมกับแนวของหนังที่น่าสนใจ”

ต้องยอมรับว่าการที่สตูดิโอทั้งหลายเริ่มเลือก Pattinson มาลงบทในหนังฟอร์มยักษ์ ก็เพราะหนังเหล่านี้ไม่ได้จะขายแค่ฉากแอ็กชันแต่ยังอยากขายนักแสดงที่มาพร้อมการแสดงที่ลึกซึ้งและเฉียบคมด้วย อย่างเช่น Tenet ของผู้กำกับ Christopher Nolan ที่ขึ้นชื่ออยู่แล้วเรื่องการร่วมงานกับเฉพาะนักแสดงมือหนึ่งเท่านั้น หรือ The Batman เอง ผู้กำกับ Matt Reeves ก็เป็นนักสร้างหนังแนวดุดันจริงจังพอ ๆ กับ Nolan ซึ่งฝีมือของนักแสดงนำของเรื่องก็เป็นองค์ประกอบสำคัญ

Tenet (2020)
The Batman (2021)

เมื่อผมเริ่มอาชีพนักแสดงใหม่ ๆ ผมศึกษาจิตวิทยาของตัวละครลึกมาก บทหนังของผมจะเต็มไปด้วยโน้ตข้อความ แต่ผลที่ออกมากลับไม่ดีเท่าที่หวัง ช่วงหลังผมจึงเปลี่ยนไปเชื่อสัญชาตญาณของตัวเองมากขึ้น ซึ่งผลที่ออกมานั้นน่าพอใจนะครับ” Pattinson กล่าวทิ้งท้ายเอาไว้

อ้างอิง: screenrant.com, นิตยสาร Empire, นิตยสาร Little White Lies, variety.com, collider.com, indiewire.com, theguardian.com

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส