[รีวิว] Pinocchio: นิทานสอนเด็กฉบับเอาไม้ท่อนหวดกบาล ที่แอบดูยากเกินเด็กดู

Release Date

22/10/2020

ความยาว

125 นาที

สัญชาติ

อิตาลี

[รีวิว] Pinocchio: นิทานสอนเด็กฉบับเอาไม้ท่อนหวดกบาล ที่แอบดูยากเกินเด็กดู
Our score
7.7

Pinocchio

จุดเด่น

  1. การตีความที่จริงจัง เข้มขึง ด้วยโพรดักชันที่งดงามอารมณ์ดาร์กแฟนตาซี และการแสดงที่น่าจดจำ

จุดสังเกต

  1. ดูยาก ทั้งจังหวะการเล่าที่เนิบไปเรื่อย ไม่ค่อยมีความคลี่คลายให้เข้าใจในแต่ละฉาก และการเล่าแบบนิทานปรัชญาที่ต้องให้เวลาในการเข้าใจพอสมควร และแน่นอนความรุนแรงที่เกินหนังเด็กไปไกลแม้จะไม่นำเสนอตรง ๆ ก็ตามก็น่าจะเป็นของยากสำหรับเด็กเล็ก
  • บท

    8.0

  • โพรดักชัน

    10.0

  • การแสดง

    8.5

  • ความสนุกตามแนวหนัง

    5.0

  • ความคุ้มค่าการรับชม

    7.0

สนับสนุนข้อมูลโดย Major Cineplex

เรื่องย่อ: เจปเปตโต ช่างแกะสลักไม้เก่าที่ได้สร้างหุ่นไม้ขึ้นมาตัวหนึ่ง แต่บางสิ่งแสนมหัศจรรย์เกิดขึ้น! เมื่อเจ้าหุ่นน้อยกลับพูดได้ และเดินเหิน วิ่ง หรือแม้กระทั่งกินได้เหมือนเด็กจริงๆ  เกปเปตโตตั้งชื่อเขาว่า พินอคคิโอ และเลี้ยงดูเขาประหนึ่งลูกชายของตน ก่อนเกิดเรื่องราวผจญภัยสุดมหัศจรรย์ตามมา

ผู้กำกับ มัตเตโอ การ์โรเน ได้เนรมิตประเทศอิตาลีให้กลายเป็นฐานภูมิแห่งการทำไลฟ์แอ็กชันจากนิยายชื่อก้องโลกที่เคยถูกถ่ายทอดเป็นแอนิเมชันชื่อดังของดิสนีย์อย่าง พินอคคิโอ ซึ่งนับเป็นความแปลกตาพอสมควร หากนับว่าเรารู้จักผู้กำกับท่านนี้ครั้งแรก ๆ จากผลงานมาเฟียอิตาลีสุดเข้มข้นจนเข้าชิงรางวัลปาล์มทองคำในปี 2008 จากหนัง Gomorra นั่นล่ะ การเห็นเขามาจับสายแมสแบบดิสนีย์ไลฟแอ็กชันเรื่องนี้ ก็พอคิดได้ว่าไม่มีทางโลกสวยแบบมิกกี้เม้าส์สไตล์แน่ ๆ

Gomorra (2008)

ซึ่งก็จริงดังคาด เพราะผู้กำกับการ์โรเนประเคนความดาร์กแบบโลกผู้ใหญ่ใส่มาในหนัง ราวกับเอาเวอร์ชันนิยายกริมที่ไม่ประนีประนอมยัดใส่ปากแอนิเมชันดิสนีย์ แล้วพูดตอกหน้าว่า โต ๆ ได้แล้วเฮ้ย! จะว่าไปพิจารณาตัวเรื่องเล่าเดิมเองเราก็สัมผัสความโหดร้ายและดาร์กในเนื้อหาได้อยู่เนือง ๆ อยู่แล้ว ทั้งคำสาปที่จมูกยาวเมื่อพินอคคิโอพูดโกหก จนถึงการโดนปลาวาฬยักษ์เขมือบเข้าไปทั้งเป็น เป็นอาทิ และเมื่อผู้กำกับจงใจดึงเสน่ห์แบบดาร์กแฟนตาซีมาใช้ ผสมผสานท่าทีการเล่าเชิงปรัชญาแบบที่หนังยุโรปเป็นตามธรรมชาติ ที่แทบไม่คลี่คลายหรือเฉลยความประหลาดตรงหน้าผู้ชม มันก็เป็นงานที่สลัดทิ้งจากหัวได้ยากไม่น้อย

จะว่าไปหากนั่งคิดถึงสิ่งที่หนังเล่าผ่านภาพหลายครั้ง เราก็พบว่าเนื้อหามันดาร์กเหลือเกิน และอาจกล่าวได้ว่านี่คือหนังสอนเด็กซนฉบับที่ไม่ได้เพียงหวดด้วยไม้เรียว แต่แทบเอาท่อนจันทน์แพ่นกบาลกันเลยทีเดียว ทั้งระหว่างบรรทัดที่พยายามเล่าหลายครั้ง ว่าเด็กดื้อย่อมต้องรับบทลงโทษด้วยความตาย ตัวอย่างในฉากแรก ๆ ก็เช่น พินอคคิโอไม่เชื่อจิ้งหรีดเฒ่าสุดหลอนที่มาเตือนว่าต้องเชื่อฟังพ่ออย่างเจปเปตโต แล้วพินิคคิโอยังเอาค้อนเขวี้ยงใส่เจ้าจิ้งหรีดจนบาดเจ็บ ผลแห่งการกระทำคือเขานอนผิงเตาไฟหลับไป และตื่นมาพบว่าขาทั้งสองข้างไหม้หายไปหมด จนต้องนอนกลิ้งเกลือกร้องโอดโอยน่าเวทนา (!!!)

และนี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยถ้าดูต่อไปก็จะพบว่า บทลงโทษเด็กไม่ดีในเรื่องนี้โหดได้ถึงเพียงไหนกัน และถึงแม้หนังจะเลี่ยงภาพการฆ่าเด็กตายออกไป แต่เราก็ยังอนุมานเข้าใจอยู่ดี เรียกว่าโหดเกินเบอร์หนังนิทานเด็กน้อยมาก

แต่ความเข้มข้นที่ได้มาก็ทำให้หนังสื่อสารความรักยิ่งใหญ่ของพ่ออย่างเจปเปตโตได้น่าสะเทือนใจ ไม่ว่าจะเรื่องราวการเสียสละของเขาเพื่อพินอคคิโอ จนถึงการตามพินอคคิโอที่หายไปจนสุดขอบโลก และทำให้มันกลายเป็นหนังโหดที่มีบรรยากาศความรักยิ่งใหญ่ของพ่ออยู่แทบทั้งเรื่องทีเดียว

โดยหนังยังน่าจับตามอง สำหรับคอหนังอิตาลีรุ่นกลางยันรุ่นดึก เมื่อหนังได้ โรแบร์โต เบนิญญี นักแสดงและผู้กำกับเจ้าของรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก Life Is Beautiful (1997) มารับบท เจปเปตโต ช่างไม้ที่เป็นผู้ให้กำเนิดหุ่นไม้มีชีวิต ให้หายคิดถึงด้วย และจะว่าไปก็อาจเป็นการแก้มือหลังจากที่เบนิญญีเคยกำกับและแสดงเป็นพินอคคิโอในปี 2002 ที่ล้มเหลวหนักจนคว้ารางวัลแรซซี่อวอร์ดไปครอง ซึ่งถือว่าการเล่นบทพ่อผู้น่าสงสารของเขายังเป็นเสน่ห์ร้ายกาจที่ดึงดูดหัวใจผู้ชมให้เอาใจช่วยเขา และเผื่อแผ่ไปลุ้นถึงพินอคคิโอได้อยู่ไม่น้อยทีเดียว

พินอคคิโอเวอร์ชันตราบาปของโรแบร์โต เบนิญญีเมื่อปี 2002

ส่วนด้านดาราเด็กก็ได้เจ้าหนู เฟเดอเรโก เอลาปี้ มารับบท พินอคคิโอ ที่ทำได้ดีถึงขนาดคว้ารางวัลน่าจับตามองจากเวทีนักวิจารณ์ของอิตาลีมาได้ด้วย นอกจากนั้นดาราสมทบส่วนใหญ่ที่เราอาจไม่คุ้นหน้าแต่ก็แสดงได้ดี เป็นการเล่นใหญ่แบบละครเวทีที่กลมกลืนไปกับศาสตร์การแสดงแบบภาพยนตร์ในกลุ่มตัวละครหลากหลายรูปแบบได้น่าสนใจ ไม่น้อย

ข้อเสียของหนังที่เห็นค่อนข้างชัดก็คงเป็น แม้หนังจะมีความยาวถึง 2 ชั่วโมงกว่า แต่เหตุการณ์ในหนังก็เยอะทะลักล้นจนเล่าได้นิด ๆ หน่อย ๆ รีบ ๆ จนบางทีไม่ทันปล่อยผู้ชมเข้าใจหรือได้ซาบซึ้งกับอารมณ์ในฉากนั้น ๆ เพียงพอ ทั้งยังความเป็นหนังเชิงปรัชญาอย่างที่บอกตอนแรกก็ยิ่งสร้างความรู้สึกอิหยังวะได้ตลอดการรับชม แต่นั้นล่ะเมื่อผ่านการตกตะกอนในภายหลังรับชม เราก็พบว่าหนังเรื่องนี้คือเพชรในตมที่ต้องปล่อยเวลาให้สติปัญญาเราชะล้างโคลนทั้งหลายทิ้งไปเสียก่อนนั่นเอง

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส