เฟิด คาริญญ์ยวัฒ ดุรงค์จิรกานต์ หรือที่เรารู้จักกันในนาม เฟิด สล็อตแมชชีน คือ ฟรอนต์แมนหนุ่มแห่งวงร็อกนาม ‘Slot Machine’ ผู้มาพร้อมลุค แนวคิด และงานดนตรีที่มีเอกลักษณ์แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร วันนี้เขาได้มานั่งเล่าเรื่องราวผ่านบทสนทนาแห่งตัวตน ความเชื่อและความมุ่งมั่นไปจนถึงการเผชิญกับความแปลกแยก

พบกับเรื่องราวของฟรอนต์แมนแห่งวงดนตรีอายุ 17 ปี ที่ตัดสินใจสรรค์สร้างตัวตนและภาพลักษณ์ด้วยตัวเองจนกลายเป็นภาพติดตาของใครหลายคน ประสบการณ์ในฐานะศิลปิน และการเรียนรู้ของชายผู้สนใจในความลึกลับของธรรมชาติคนนี้จะเป็นอย่างไร ขอเชิญไปสัมผัสผ่านบทสนทนานี้ได้เลยครับ

คำถามแรกคือชื่อของคุณก่อนเลย เรามักจะเห็นว่าเขียนเป็น ‘เฟิด’ ภาษาอังกฤษก็ ‘FOET’ จริง ๆ แล้วมันเฟิดไหนยังไงแน่ครับ

จริง ๆ มันเฟิร์ส (First) ที่หนึ่งนี่ล่ะครับ เพราะผมเป็นลูกคนโตลูกคนแรก ที่ผมเขียนเป็น FOET เพราะมันจะได้อ่านออกเสียงว่า ‘เฟิด’ แบบที่คนไทยเรียกมันไม่มี ‘rst’ อะไรอย่างนี้ครับ ผมก็เลยเป็นเฟิดแบบไทย ๆ ส่วน Foet มันก็มีที่มาว่าผมเป็นคนชอบเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว อีที ไซไฟ ครับ ก็เลยตัดตัว U ออก ถ้าเพิ่ม U ไปข้างหน้ามันก็จะเป็น UFO กับ ET ครับ เหมือนเปลี่ยนทั้งทีก็ให้มันมีที่มาที่ไปหน่อย

แต่ในขณะเดียวกันชื่อภาษาไทยคุณก็ไปเปลี่ยนมาใช่มั้ยครับ ตอนนี้คุณชื่อ ‘คาริญญ์ยวัฒ ดุรงค์จิรกานต์’ อันนี้คือตั้งใจไปเปลี่ยนเองเลย

อันนี้เปลี่ยนทั้งบ้านเลยครับ เพราะเปลี่ยนนามสกุลด้วย ผมทำงานกับศิลปะผมก็เลยเอาคำว่า ‘นครินทร์ อารยวัฒนะ’ มารวมกัน เพราะว่าทุกสิ่งมันเกี่ยวกับความงาม ความเจริญ เพื่อที่บอกว่าฉันคือคนสร้างความงาม ความเจริญ เป็นคนทำงานศิลปะ

คุณเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาว เชื่ออะไรที่เป็นวิทยาศาสตร์ แต่ในขณะเดียวกันคุณก็เชื่อเรื่องการเปลี่ยนชื่อด้วย อันนี้คิดว่ามันมีความขัดแย้งกันมั้ยครับ

จริง ๆ ผมมองเป็นเรื่องเดียวกัน เป็นเรื่องการทดลองทำจริง คืออยากรู้ว่าไอ้การเปลี่ยนชื่อมันจะเปลี่ยนชีวิตเราจริง ๆ มั้ย ถ้างั้นเราพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วกัน

แล้วได้คำตอบรึยังครับ

ก็ได้คำตอบว่ามันก็มีผลแต่ไม่ใช่ทั้งหมด แค่เราเปลี่ยนเราก็รู้สึกว่าเราเป็นคนใหม่ละ ไอ้ความคิดนี้มันทำให้เราต้องทำตัวเป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิม เราจะเปลี่ยนแค่ชื่อไม่ได้ เราต้องเปลี่ยนตัวเราด้วย ผมว่ามันเป็นการชี้นำบางอย่าง

AT FIRST ณ จุดที่เริ่มต้น

ตอนเด็กเป็นยังไงครับ เราเก่งหรือสนใจวิชาอะไรเป็นพิเศษมั้ยครับ

ถ้าตอนเด็ก ๆ ผมจะชอบวิชาศิลปะกับภาษาอังกฤษครับผม เลขนี่ค่อนข้างจะมีปมก็เลยไม่ชอบ จริง ๆ ผมรู้สึกว่าถ้าก้าวข้ามผ่านอะไรบางอย่างไปได้ วิชาเลขกับผมก็อาจจะรักกันก็ได้ แต่มันก็จะมีบางอย่างที่มันกดดันและผลักเราไปวิชาศิลปะที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราทำแล้วไม่ต้องมีใครมาบังคับ ไม่มีกฏเกณฑ์ไม่ต้องไปแข่งขันกับใคร ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับใครและเราเป็นตัวของเราได้แบบสุด ๆ ไปเลย

คุณเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าตอนเด็ก ๆ ค่อนข้างมีปัญหาในเรื่องการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นอันนี้ลองอธิบายเพิ่มเติมได้มั้ยครับ

ผมรู้สึกว่ามันอาจจะเป็นเพราะว่า เราเข้มข้นกับศิลปะมั้งครับ การที่เรียนศิลปะเนี่ยมันแทบจะแยกออกไม่ได้กับการที่ศึกษาธรรมะ ธรรมชาติ เพราะศิลปะมันเกี่ยวข้องกับธรรมชาติโดยตรง ผมจำได้ว่าคุณครูตอนป. 2 เค้าชอบมากเลยที่ผมวาดรูปเสร็จแล้วไปส่ง เค้าก็พูดว่านี่เป็นคนแรกเลยนะที่วาดคนแล้วใส่เงามาด้วย ก็เลยทำให้ความคิดหรือวิธีการคิดบางอย่างมันไม่ค่อยเข้ากับใครมั้งครับ และเรารู้สึกเอ๊ะว่าทำไมเวลาเราพูดหรือคิดอะไรมันมักจะไปแย้งกับสังคม

แล้วมันเกิดปัญหามั้ยครับ

มันเกิดปัญหาตรงที่ผมจะถูกตีตราด้วยคำว่าติสต์แดก ตั้งแต่ประถมมาเลยครับ ซึ่งผมก็งง ๆ ว่าคำว่าติสต์แดกมันคืออะไรหรอ

พอมองย้อนกลับไปมันจริงอย่างที่เค้าว่ามั้ย

ถ้าในมุมของผมผมก็รู้สึกว่ามันจริงของผม ตรงที่สมมติเพื่อนทะเลาะกันแล้วผมจะไปห้ามจะพยายามให้เค้ารักกันโดยที่แบบว่าพยายามจะไกล่เกลี่ย ‘นายชอบแบบนี้ นายไม่ชอบแบบนี้ สุดท้ายคนเรามันก็ต้องรักกันสิ’ ซึ่งมันเกินวัยและเพื่อนเค้ามองผมว่ามึงพูดอะไรของมึงเนี่ย แล้วพอเค้าเห็นตรงกันเค้าก็เลิกทะเลาะกัน เราก็โอเคนั่นคือผลลัพธ์ที่เราอยากได้ ก็อ้ะไม่เป็นไร เค้ามาไม่ชอบเราแทน

งี้เราก็เป็นเด็กที่เพื่อนน้อยอะไรอย่างนี้หรอครับ

เพื่อนไม่น้อยครับแต่ว่าจะคบได้ทุกคน แต่เพื่อนที่สนิทตัวติดกันคุยได้ทุกเรื่องมันก็มีจำนวนน้อยจำกัด ไม่ได้ถึงขนาดไม่มีเพื่อนหรือซึมเศร้าอะไรอย่างนี้

พอจะบอกได้มั้ยครับว่าในวัยเด็กศิลปะคือสิ่งที่คุณสนใจที่สุดเลย

ใช่ครับ เพราะมันจะเป็นสิ่งที่ผมมีอิสระ และผมมีความสุขมาก ๆ เลย ในช่วงเวลาที่ผมได้นอนวาดรูปแล้วเอามือป้องเพราะผมเป็นเด็กขี้อาย ผมก็จะให้ดูเวลาที่วาดเสร็จแล้วเท่านั้น

แล้วเรื่องดนตรีนี่เริ่มสนใจเมื่อไหร่ครับ

เรื่องดนตรีจะชอบฟังตั้งแต่เด็ก ๆ ครับแต่จะเริ่มมาอยากที่จะจับเครื่องดนตรีเล่นคือตอนมัธยมครับ ช่วงม. 2 ก็เริ่มจากตีกลองครับ ชอบตีกลอง แต่ตีไม่เก่งครับแต่ว่าคนที่เล่นกลองมันจะมีสองคนครับ อีกคนนึงเพื่อนเค้าตีเก่งกว่าเค้าก็เลยได้เล่นไป ผมก็นั่งรอตัวสำรองครับ แต่เรื่องของเรื่องคือมันไม่มีนักร้อง ไม่มีนักร้อง ทุกคนเขิน ทึกคนอาย เฮ้ยร้องไม่ได้ว่ะ แก๊กก็เหมือนกันจริงๆ  แก๊กอยากเล่นกีตาร์แต่มันไม่มีใครเล่นเบส แล้วเหมือนซ้อม ๆ ไป มันไม่มีคนร้องมันก็จะไม่รู้ท่อน แล้วเผอิญว่าผมฟังเพลงเยอะ ผมก็จะร้องได้ทุกเพลง ผมก็เลยกลายเป็นนักร้องตั้งแต่วันนั้นไปเลย

ทั้ง ๆ ที่เราเป็นคนขี้อายด้วย

ใช่ครับ โชว์แรกงานโรงเรียนนี่ผมใส่หมวกปิดมาเลยจมูกเลยครับ และผมก็ร้องไป เริ่มมาจากจุดนั้น

เราจะรู้ว่าเฟิด Slot Machine นี่เป็นคนที่ร้องได้สูงมากเลย เราเป็นอย่างนั้นตั้งแต่เด็กเลยมั้ยครับ

ใช่ครับ คุณแม่ให้มา

เคยเรียนร้องเพลงมั้ยครับ

ไม่เคยเลยครับ โชคดี มันเกิดโดยธรรมชาติเลยครับ แต่ข้อด้อยของผมคือผมลงมาไม่ได้นะครับ ปัญหาของผมคือเสียงที่ลงมาไม่ต้องต่ำก็ได้ แต่ถ้าเป็น chest tone ผมก็จะลองยากแล้วครับ ถ้าสูง ๆ สบายกว่าลงมาจะไม่ถนัด

ในที่สุดคุณก็เข้าประกวด ฮอตเวฟ มิวสิก อวอร์ด เล่าบรรยากาศช่วงนั้นให้ฟังหน่อยครับ

นี่ผมไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยนะครับ จะมีแต่ผมกับคุณแม่ที่รู้ คือมันจะมี 2 รอบใช่มั้ยครับ รอบแรก 30 วง รอบที่สอง 10 วง คือรอบแรกเนี่ยมันจะต้องฟังประกาศผลจากหน้าวิทยุเลย ผมจำได้ว่าผมดีใจที่สุดในชีวิตเลยฮะ พอประกาศว่าเราเข้ารอบ คือผมไม่รู้ว่าผมตื่นเต้นหรือว่าคาดหวังอะไรขนาดไหนแต่ว่าพอรู้ผลผมร้องไห้แบบบ่อน้ำตาแตกแล้วต้องเอาหน้าซุกหมอนเพราะผมดีใจมาก ผมรู้ตัวเลยว่าเฮ้ยไอ้ความดีใจที่สุขสุด ๆ เนี่ยมันคือรู้สึกแบบนี้เองหรอ ก็มีคุณแม่สองคนคุณแม่ก็ลูบหัว ครั้งนั้นครั้งเดียวเลยนะครับ และหลังจากนั้นผมก็ยังไม่เคยดีใจขนาดนั้นอีกเลย

มันเป็นเพราะอะไรครับ เพราะเราตั้งความหวังหรือตั้งใจอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า

มันหลาย ๆ อย่างด้วย มันไม่ใช่สิ่งที่เราจะคาดหวังอ่ะฮะ สำหรับเรามันคือมันเป็นไปไม่ได้หรอก มันห่างไกลมาก ๆ เลย แต่สุดท้ายแล้วมันได้ว่ะ

ซึ่งคุณเข้าประกวดในนามวง !

‘อะลุ่มอล่วย แบนด์’ ครับ (หัวเราะ)

แล้วเข้าไปถึงในรอบ 10 วงสุดท้าย ในที่สุดได้ตำแหน่งอะไรครับ

ในที่สุดได้รองชนะเลิศครับ

ตอนนั้นอยู่ม. 5 พอได้ขึ้นไปสัมผัสเวทีแล้วมีความรู้สึกว่าฉันอยากเป็นศิลปินรึยังครับ

จริง ๆ อยากเป็นตั้งแต่ม. 2 เลยครับที่ตั้งวง เพราะว่าเราดู Korn ดู Limp Bizkit แล้วก็ดูคอนเสิร์ต Family Values ครับ แล้วเราก็เห็นเค้าเล่นกับคนดูแล้ว มันคืออะไรไม่รู้แต่ offstage ผมก็เป็นคนสันโดษ ขี้อาย สุขุม แต่ onstage ผมจะเป็นอีกอวตารนึง เหมือนกับเป็นตัวตนที่ผมไม่สามารถจะพรีเซนต์นอกเวทีได้ พอขึ้นไปเนี่ยมันก็เหมือนความรู้สึกเดียวกับการทำงานศิลปะว่านี่คือผมอีกคนนึงที่ไม่ได้มีคนมาบอกว่าความคิดรุนแรงเกินไป ก้าวร้าวหรือตรง ผมเป็นแบบนี้ได้เต็มที่ผมก็เลยรู้สึกว่าผมอยากจะลองเป็นแบบนี้

THE SEARCH FOR IDENTITY ความเป็น…สล็อต แมชชีน

สล็อต แมชชีนชื่อนี้มายังไงครับ

ชื่อนี้มาจากการที่เรารู้ว่าเราเป็นศิลปินเต็มตัวแล้วจะเต็มที่แล้ว ผมก็เลยไปคิดมาแล้วมีคำว่า ‘แมชชีน’อยู่ในหัว จะเป็นอะไรก็ได้แต่ต้องมีคำว่า ‘แมชชีน’ เพราะเราอยากทำงานดนตรีที่มีพลัง มีพลังงาน ถ้าเกิดเพลงต่างประเทศผมฟัง nu-metal มา ของศิลปินไทยผมก็ฟังอัลเทอร์เนทีฟร็อกอย่างพี่ ๆ Paradox พี่ป้าง โมเดิร์นด็อก ซิลลี่ฟูลส์ อะไรอย่างนี้ ผมก็เลยอยากทำงานทดลองแบบนี้บ้าง มันก็กลายเป็นคอนเซปต์ไปด้วยเลยครับ

จริง ๆ ก่อนฟังร็อกผมก็ฟังฮิปฮอป ฟังทุกแนวเลย ก็เลยคิดว่าถ้าเราเป็นศิลปินเต็มตัวโดยที่เราทำงานของเราเองจริง ๆ เนี่ยเราอยากจะใส่ความเป็นตัวเองให้เยอะ เพราะฉะนั้นการทำอัลบั้มนึงมันก็เหมือนกับการโยกสล็อตครั้งนึง แล้วหน้าปัดมันก็จบลงตรงไหนก็ได้แต่มันเป็นเครื่องเดิม ผมเลยแบบเฮ้ยนี่มันเท่ วันนึงจะทำฮิปฮอป ทำลูกทุ่ง ทำอะไรก็ได้แต่เป็นการทำแบบสล็อต แล้วพอเพื่อน ๆ ฟังก็เอ๊ะเข้าท่าและมันยังไม่มีใครใช้ทั้งต่างประเทศและในไทย เพราะฉะนั้นมันคง ‘meant to be’ มันเหมือนรอให้เราหยิบมาเลือกใช้มั้ง ไม่งั้นคนอื่นก็คงใช้ไปก่อน

ในช่วงออกอัลบั้มแรกเฟิดเคยให้สัมภาษณ์ว่ามีคนเรียกว่าคุณเป็นเหมือน ‘ลมตดแห่งวงการ’ มันคืออะไรฮะ

ผมว่าเค้าคงจะพูดประมาณว่ามันเป็น ‘one hit wonder’ อะไรอย่างนี้อ่ะครับ เพราะว่ามันจะมีเพลง ‘รอ’ ซึ่งมันก็จริงนะฮะ มันก็มีเพลง ‘รอ’ เพลงเดียวเลยที่ดัง แล้วก็ผมไปแคมปัสทัวร์ ผมไปกับ Black Sheep , Scubb , Thaitanium , Peachband แล้วผมคือสล็อตแมชชีนเพลง ‘รอ’ ‘รอเธอ…’ แล้วพวกพี่ ๆ เค้าอินดี้มากผมคือแกะดำในแกะดำเลยครับ มันไม่มีตัวตน ไม่มีอะไรเลย ถูกจับปั้นตั้งแต่ลุคจนทุกอย่างเลยครับ ผมทำเองอย่างเดียวก็คืออัดร้อง ก็มีพี่ ๆ โปรดิวเซอร์ไปคิดคอนเซปต์มา ก็จริง ๆ ตอนนั้นมันก็ขัดแย้งกันกับตัวผมนะครับ ความที่ alter-ego แบบที่ผมอยากเป็นมันก็คือคนละอันเลย ถ้าเอาอัลบั้ม ‘Slot Machine’ มาฟังต่อกับ ‘Mutation’ มันก็จะเป็นเหมือนโลกคู่ขนานเลยครับ

ถ้าคุณไม่ชอบสิ่งนั้น แล้วอะไรทำให้คุณปฏิเสธไม่ได้

จริง ๆ ปฏิเสธแล้วครับ แต่ด้วยความที่วงนี้มันไม่ใช่วงเฟิดอ่ะครับมันคือสล็อตแมชชีน มันมีคนอื่นอีก มันไม่ใช่ความต้องการของผมคนเดียวแต่ผมปฏิเสธและก็มี conflict แหละ กลายเป็นมองเป็นคนแรงอีกแล้ว ติสต์แดก มันจะขัด จะขวางคลองไปตลอดเลย แต่เหตุผลที่ผมยอมในวันนั้นคือ สิ่งนี้ผม born to be ผมอยากจะ become อันนี้ อย่างน้อยผมยังได้เป็นศิลปินอยู่ ณ ตอนนั้นผมก็คิดว่ายอมทำไปก่อน ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะตามมาในชุดไหนที่ผมจะได้มีโอกาสทำเพลงเอง โปรดิวซ์เอง กำหนดอาร์ตไดเรคชันเองซึ่งโชคชะตามันก็ให้มาในชุดต่อมาเลยก็โชคดี

‘Mutation’ อัลบั้มชุดที่สองของ Slot Machine มีเพลง ‘ผ่าน’ ที่เรียกได้ว่าเป็นเพลงแจ้งเกิดของวง

พอมาทำ ‘Mutation’ แล้วมันได้อย่างทีเราตั้งใจมั้ยครับ

ได้เลยครับ ก้าวกระโดดกลายพันธุ์อย่างทันที แล้วก็เป็นผลลัพธ์อย่างที่เราต้องการ เพราะว่าเราเป็นคนกำหนดไดเร็กชันเอง

มันเปลี่ยนชีวิตเรายังไงบ้าง

เปลี่ยนชีวิตเลยครับ ชุดนั้นก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก ๆ เลยกับเพลง ‘ผ่าน’ และทำให้ผมได้คำตอบเลยว่าผมจะทำอะไร ประกอบอาชีพอะไร หาเลี้ยงชีพอะไร มันตอบโจทย์ของผมตรงที่ผมรักในสิ่งนี้ ผมอยากเป็นในสิ่งนี้แล้วตอนนั้นมันไม่ได้มีเรื่องเงินด้วยซ้ำครับ เพราะมันไม่ได้มีงานจ้าง ผมมามีงานจ้างตอนชุด ‘Cell’ ผมเลยแบบว่าโอเคผมจะทำอันนี้แหละผมจะค่อย ๆ ทำไป วันนี้มันไม่มีงานจ้างผมก็จะเล่นให้ดี เพราะอันนี้มันเป็นเพลงที่ผมแต่งเอง ผมพราวด์ ผมภูมิใจครับ มันจะดังไม่ดังผมไม่รู้ แต่ผมจะเล่นให้คนดูสัมผัสให้ได้ว่าผมมีวคามศรัทธาและความรัก เพราะว่าผมภูมิใจในสิ่งที่ผมทำเอง และมันก็ค่อย ๆ พรูฟ ค่อย ๆ เพิ่มเติมไปเรื่อย ๆ

ผมจำได้ว่าเคยเดินสวนพวกคุณที่งาน Big Mountain ครั้งแรก ๆ แล้วแบบเฮ้ยนี่มันอะไรวะ ใส่สูทกันทั้งวงเลย ในขณะที่วงร็อกเค้าก็ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์กัน อันนี้คือความตั้งใจของพวกเราด้วยใช่มั้ยครับ

ก็เป็นไอเดียของผมนี่ล่ะครับ ผมรู้สึกว่าในการที่จะเป็นศิลปินอาชีพจริง ๆ มันไม่ใช่แค่การแต่งเพลงเอง เล่นเองเท่านั้น แต่เราต้องมองไปถึงภาพลักษณ์ด้วย เรียนด้านอาร์ตมามันก็จะมองเรื่องอิมเมจ เรื่ององค์รวม ซึ่งภาพลักษณ์ก็เป็นส่วนสำคัญ สุดท้ายแล้วคนก็ไม่ได้ใช้หูฟังอย่างเดียว พอไปดูคอนเสิร์ตแล้วเค้าก็ใช้ตามอง มันก็คือความพังก์ ความขบถด้วยครับ เค้าใส่เสื้อยิดกางเกงยีนส์กันผมก็ไปใส่สูท ใส่สูทแบบที่บอยแบนด์เค้าใส่กันนี่แหละ แต่เล่นแบบร็อกมันก็คือร็อกในร็อก แกะดำในแกะดำอะไรแบบนี้ครับ

กับไอ้ท่านี้ (ทำมือ 3 เหลี่ยม) เริ่มจากเพลง ‘จันทร์เจ้า’ ผมถือว่าสล็อตแมชชีนเป็นหนึ่งในวงไทยที่มีสัญลักษณ์ให้คนดูทำตาม นึกออกคนแรกก็ไมโคร พี่หนุ่ยชูมือขวา แล้วก็มาไทเท ฯ แล้วก็มาคุณเลยนะเนี่ย มันเป็นเรื่องที่ไม่ได้มีง่าย ๆ นะ มันเริ่มต้นยังไงครับ

‘Cell’ อัลบั้มชุดที่สี่ของ Slot Machine มีเพลง ‘จันทร์เจ้า’ ที่ทำให้วงเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

เริ่มต้นจากพอมาชุด ‘Cell’ นี่ล่ะครับ ชุดที่สี่ ชุดที่สอง ‘กลายพันธุ์’ เพราะว่าเราปฏิวัติตัวเองจากชุดแรก พอมาชุดที่สามชุด ‘Grey’ ก็จะกลายเป็นซิงเกิลอัลบั้ม ‘Syndrome’ เพราะเพลง ‘ผ่าน’ มันประสบความสำเร็จมาก ผมก็ทำชุด Grey โดยที่สารตั้งต้นมันเป็นสีเทา ‘ทางสายกลาง’ เทา ๆ เรื่องเทา ๆ ในชีวิต เพลงจะมีการตั้งคำถามโดยที่ไม่มีคำตอบแต่จะมีการพูดถึงซ้ายและขวาโดยที่พูดจากมุมตรงกลาง

พอมาชุด ‘Cell’ มันก็จะมีความโพรเกรสซีฟต่อมาจากชุด Grey นี่ล่ะ ชุด Grey จะพูดถึงมนุษย์โลกยังคิดแบบคน พอชุด Cell ก็จะมีความไซไฟขึ้นมา พูดถึงอวกาศจักรวาล มันก็จะมีอะไรที่มันนอกโลกเข้ามาละ ก็รู้สึกว่าก็ต้อง develop ภาพลักษณ์และการเติบโตของวงไปในทุก ๆ มิติ ใส่สูทอยู่แต่เริ่มมีผ้าคลุม มีปีก อะไรอย่างนี้ครับ เพลงก็พูดถึงเรื่องความเชื่อมากขึ้น มันเริ่มมีนอกโลกเข้ามา มันก็เลยต้องมีบางอย่างที่ให้คนเชื่อถือได้ จับต้องได้ ก็จะศึกษาเพิ่มครับ ศึกษาจิตวิทยา นั่นนู่นนี่ แล้วเอามาคุยกัน ดูหนังแล้วพยายามหาแก่น หาบางอย่างที่จับต้องแล้วเอามาตกตะกอนแล้วเอามาแปลง ก็จะได้เป็นท่านี้ (ทำท่ามือ 3 เหลี่ยม) ก็จะได้มาจากพีระมิด พลังงานพีระมิด พลังงานจักรวาล ดวงตาเห็นธรรม Eye of Wisdom เพราะว่าท่าเต็มมันคือดวงตาครับ

วันแรกที่เริ่มทำท่านี้บนเวทีกระแสตอบรับเป็นยังไงบ้างครับ

ทำตามเลยครับ ซึ่งผมงงมาก จริง ๆ จะรู้สึกว่าในการทำท่านี้แล้วร้องไปด้วยมันเหมือนสิ่งที่ผมไม่สามารถจะพูดได้ทั้งหมดเนี่ย ผมส่งไปทางกระแสจิตละกัน แล้วก็ผมอัดทุกอย่างเป็นมวลพลังแล้วเปล่งเสียงออกไป เหมือนผมมองตัวเองเป็นแค่สื่อ เป็นแค่เหมือนไมค์ที่ติดอยู่ แล้วเนื้อเพลงมันคือข้อความที่ถูกส่งมาแล้วผมเป็นแค่ตัวกระจายเสียงออกไป

แล้วพอคุณยกขึ้นมาคนก็ยกตามเลย

ใช่ ผมก็เอ้ยมันดี คือความตั้งใจแรกไม่ได้ปั้นมาเพื่อให้คนทำตาม เราแค่อยาก express ตัวเองเฉย ๆ คือทำคนเดียวก็ได้ มันเลยกลายเป็นอุปทานหมู่ จิตวิทยาหมู่ เหมือนคนเค้ายอากทำมั้งครับ แล้วมันก็เกิดความเชื่อความศรัทธาระหว่างวงและคนดู ทีนี้ก็เลยยาวไปเลย

ด้วยความที่คุณคิดอะไรลึก คุณไม่ได้แค่มาร้องเพลงเฉย ๆ เวลาคุณทำท่านี้มันมีบ้างมั้ยครับที่เรารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นศาสนาที่มีเหล่าสาวกอยู่ด้านล่าง มันไปเบอร์นั้นเลยมั้ยครับ

(หัวเราะ) ไม่ถึงขนาดนั้นครับ ผมมองตัวเองเป็นสื่อมากกว่า แต่ผมเชื่อสิ่งที่ผมสื่อจริง ๆ แต่ผมไม่อาจไปเป็นศาสดาของใครดีกว่า

เนื้อหาเพลงของสล็อตแมชชีนเอามาจากปรัชญา ความเชื่อต่าง ๆ แม้กระทั่งนิยายไซไฟ ในฐานะที่เราเป็นคนนำเสนอเรื่องราวแบบนี้ออกไป กลัวบ้างมั้ยว่าเราอาจจะนำเสนอเรื่องที่ผิดชี้นำไปสู่ความเชื่อที่วันนึงมันอาจถูกพิสูจน์ว่าไม่จริง

มีความกลัวและความพะวงอยู่ เพราฉะนั้นผมก็จะต้องตั้งสติและไม่หลงตัวเอง ผมถึงตอบคำถามเมื่อกี๊ว่าผมไม่ได้มองตัวเองเป็นศาสดา ผมมองตัวเองเป็นแค่สื่อ ไม่ใช่ของ ๆ ผม ผมเป็นแค่คนพรีเซนต์ พยายามให้มันเพลนที่สุด ไม่ให้มีอคติของตัวเองเข้าไปเจือปนครับผม

คุณเคยให้สัมภาษณ์ว่าเวลาคุณเจอองค์ความรู้ใหม่ ๆ คุณจะยึดติดอยู่กับองค์ความรู้นั้น มันคืออะไร

อันนี้ล่ะครับ มันจะเกี่ยวเนื่องกันเพราะในเมื่อผมเลือกเส้นทางนี้ผมก็จะต้องพัฒนาตัวเองเพื่อที่จะได้มีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ มันก็จะมีบ้างด้วยวัยด้วยประสบการณ์ชีวิต ที่มันมีหลงตัวเองบ้าง หรือหลงในความรู้นี่แหละ มันก็เหมือนยุคนึงเราไม่รู้ว่าโลกกลมเราก็เชื่อว่าโลกแบนซึ่งทุกวันนี้ยังมีคนเชื่อว่าโลกแบนนะ ผมก็แบบเฮ้ยได้หรอ (หัวเราะ) มันก็จะเห่อแหละครับ มันก็ต้องตรวจสอบตัวเองแล้วก็พยายามดึงตัวเองกลับมา

มันมีช่วงนึงที่ผมพยายามศึกษาธรรมะแล้วผมยึดติดมาก ๆ เลยว่า อันนี้คือถูก อันนี้คือดี ซึ่งมันผิดจุดประสงค์ของศาสดา หรือ ของทุก ๆ ศาสนาแหละ ทุก ๆ ศาสนาไม่ได้มุ่งหมายให้คนมาตัดสินหรือแบ่งแยกกัน ทุกศาสนาอยากให้ทุกคนรวมกันในจุดร่วมที่ว่าทุกคนอยากพ้นทุกข์สุดท้ายแล้ว เพราะฉะนั้นการที่คุณศึกษาธรรมะและคุณไปคิดว่าคุณดีกว่าคนที่ไม่ได้ศึกษาหรือปฏิบัติ ผมรู้สึกว่าอันนั้นแหละมันคือสิ่งที่มันย้อนแย้งมันผิดจุด ซึ่งผมก็โชคดีที่มีเพื่อนมีคนรอบข้าง ดึงสติตัวเองกลับมา ว่าเอ้ยเราไม่ได้ judge คนอื่น เรารู้ก็รู้ของเราไปสิ ไม่ต้องไปตัดสินคนอื่นอะไรอย่างนี้ล่ะฮะ

Passion ความมุ่งมั่น

หลังจากอัลบั้มแรกคุณเคยพูดว่าคุณอยากทำให้สล็อตแมชชีนกลายเป็นตำนาน ตอนนี้ยังคิดอย่างนั้นอยู่มั้ยและคำว่าตำนานของคุณมันหมายความว่ายังไง

ตอนนี้ยังคิดอย่างนั้นอยู่ครับ แต่ไม่ได้คิดว่าให้ตัวบุคคลนะครับ เพราะสุดท้ายแล้วผมก็ไม่ได้อยู่ตลอดไป แต่ผมรู้สึกว่างานของผมมันจะยังอยู่ เพราะมันไม่มีเจ็บไข้ได้ป่วย มันเป็นเพลง มันเป็นงานศิลปะที่ไร้ซึ่งอายุขัย ผมก็ถึงตั้งใจที่จะเขียนเพลงเกี่ยวกับเรื่องที่มันไม่ต้องเป็นประสบการณ์จริงของผมก็ได้ แต่มันเป็นสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาตินี่แหละ เพราะว่าสิ่งนี้มันจะอยู่นานกว่าเรา จริง ๆ คำว่าตำนานก็คืออยากให้สิ่งที่เราทำมันเป็นประโยชน์ไม่ว่าจะอยู่หรือไม่อยู่ในมุมนั้นมากกว่าครับ

ตั้งแต่อัลบั้มชุดที่แล้วซึ่งก็รวมมาถึงอัลบั้มชุดล่าสุดนี้ด้วย คุณเริ่มทำงานเพลงที่เป็นภาษาอังกฤษทั้งอัลบั้มเอาวัตถุประสงค์ก่อนทำไมถึงต้องทำเป็นภาษาอังกฤษความตั้งใจคืออะไร

ก็อยากเอาชนะตัวเองครับ ในแง่ของการพัฒนาการและในแง่ของขีดจำกัดที่เราถูกกดทับเอาไว้ เพราะก่อนที่เราจะเป็นศิลปินเราก็เป็นแฟนเพลงมาก่อนและเราก็ฟังเพลงสากลและเราก็รู้สึกว่าแล้วทำไมคนไทยไม่มีล่ะหรือทำไมได้ ใกล้เคียงที่สุดก็คือพี่ทาทา ซึ่งดังมากเลยอ่ะ ได้ไปเปิดซีเกมส์ มีแฟนคลับต่างประเทศ ผมก็เป็นแฟนเพลงผมก็ฟังวงฝรั่ง พอมายุคนึงก็เป็นเจร็อกมาละญี่ปุ่นมาละ จนถึงทุกวันนี้ที่ผมเป็นศิลปินแล้วเนี่ยก็เป็นเค-พอป ผมก็เกิดคำถามว่าแล้วเมื่อไหร่จะถึงคิวของคนไทยบ้าง ซึ่งวันนี้ผมอยู่ในบทบาทที่ผมพอจะทำได้ และมีโอกาสที่ทางค่ายมอบมาให้ ผมก็รู้สึกว่ามันไม่มีอะไรจะเสีย มันก็เป็นสิ่งใหม่และถ้าเราทำมันก็เป็นคนแรก ๆ ถ้ามันจะไม่ประสบความสำเร็จ มันก็จะเป็น study case ให้ใครก็ไม่รู้ที่จะตามมา แต่ถ้ามัน success ล่ะมันก็คือสิ่งที่มันไกลเกินเอื้อมที่ถ้าเราไม่นับหนึ่งมันก็จะไม่ถึงร้อย แค่ทำให้ดีที่สุดแล้วกัน

ซึ่งทุก elements นี่มันสุด ๆ โปรดิวเซอร์ก็เป็นโปรดิวเซอร์ระดับโลก คุณทำงานกับใครมาแล้วบ้างครับในสองอัลบั้มนี้

ก็มีสตีฟ ลิลลี่ไวท์ เรียกได้ว่าเป็นโปรดิวเซอร์ที่โตมาด้วยกันกับวง ‘U2’ เค้าเล่าให้ฟังว่า U2 นี่เป็นวงที่ค่ายไม่เอา เดี๋ยวอั๊วจะทำเองแล้วก็ปั้นมา เค้ารักกันมากจนทุกวันนี้เค้าเป็นเหมือนพี่น้องกันเลยครับ ( ป๋าเต็ด : นี่ก็เท่ากับว่าสล็อตแมชชีนมีโปรดิวเซอร์คนเดียวกับ U2 แค่นี้ก็ขนลุกแล้ว) ใช้แล้วครับ บ้าหรอคนไทยอะลุ่มอล่วยแบนด์แล้วมากลายเป็นวงที่ได้โปรดิวเซอร์ของ U2

แล้วทำกับใครอีกบ้างครับ

ชุดนี้จะทำ 2 ท่านครับเป็น แบรนดอน ดาร์เนอร์ กับ จัสติน สแตนลีย์ คุณแบรนดอนนี่ก็เป็นสมาชิกยุคก่อนเดบิวต์ของ Slipknot อีกคนนึงก็เคยทำงานกับ Prince จริง ๆ ผมก็ไม่ค่อยกล้าตอบเพราะมันยิ่งใหญ่เหลือเกิน แต่มันก็เป็นความจริงไปแล้ว ผมทำงานกับเค้าไปแล้ว ผมใช้ชีวิตร่วมกับเค้าไปแล้วเป็นเดือน ๆ

เล่าให้ฟังหน่อยว่าเราเห็นอะไรเป็นพิเศษที่ทำให้เค้าเป็นโปรดิวเซอร์ระดับโลก

โหก็จริงมัน ๆ จะกลับกันกับที่เรามองเข้าไปหาเค้าเลยครับ เพราะว่าสิ่งที่เค้าทำหรือสิ่งที่เค้าเป็น เค้าก็คือคนธรรมดาคนนึงอันนี้คือ above เรื่องดนตรีไปเลย เรื่องจัดการกับคน ทำงานกับคนนี่จิตวิทยาสูงมาก ทำยังไงให้คนทำงานไม่รู้สึกกดดันและไม่รู้สึกเหมือนทำงาน เพราะการทำงานของเรามันเป็นการทำงานศิลปะมันจะต้องใช้จินตนาการและอารมณ์ความรู้สึก และเค้าก็รู้ตัวว่าเค้าคือใคร เราคือใคร ทำงาน ๆ อยู่เค้าก็มีเล่นมุกมั่ง ป๋าเค้ายังวัยรุ่นอยู่นะฮะ เค้าจะติดมือถืออยู่ตลอด แชตไลน์กับสาวอยู่ตลอด เห็นว่าเล่นแต่ไลน์อาจจะดูไร้สาระ แต่พอมาช่วงทำงานหรือต้องฟังเพลงจริง ๆ เค้าจะเล่นไลน์เฉพาะตอนมีผู้ช่วย edit และพอต้องตรวจงานจิ้มเลยป้าบ ป้าบ ป้าบ ป้าบ เหมือนเราเคยมีเพื่อนที่มันไม่ตั้งใจเรียนเลยว่ะ แต่พอผลสอบแม่งได้ที่หนึ่งว่ะ เค้าเป็นคนแบบนั้นฮะ แม่นยำ และสิ่งที่ยากที่สุดของป๋าสตีฟซึ่งผมไม่รู้ว่าเค้าทำยังไง สมมติว่าวันนี้เค้าทำงานไปประมาณนึงละ พอวันพรุ่งนี้เค้าสามารถรีเซ็ตหูหรือทุกอย่างที่ zero ได้แล้วเค้ามาจิ้มได้เลยว่าไอ้นี่เกินไป ไอ้นี่มากไป แล้วเค้าทำแบบนี้ทุกวันเลยฮะ มันเหมือนลงโปรแกรมตัวเองใหม่ทุกวัน การที่เราทำเพลงทุก ๆ คนเราจะลืมตัวเองยากมากเลย เราแต่งเพลงเราก็ชอบของเรา เราต้องให้คนอื่นแก้เพราะว่าเราจะมองไม่เห็นละ แต่ป๋าสตีฟเนี่ยเค้าทำได้ เมื่อวานเค้าชอบมากแต่วันนี้เค้าฟังแล้วกูว่ามันไม่ใช่แล้วว่ะ อันนี้คือที่เห็นว่ายากระดับเซียนเลย และพอทำงานไปพอเห็นเนือย ๆ ก็เอ้าทุกคนลุกขึ้นออกกำลังกายกัน นี่เอ็งดูซิกส์แพ็กข้า แล้วก็มานั่งแพลงก์กัน

เฮ้ยเจ๋ง เค้าอายุเท่าไหร่แล้วอ่ะ

เค้าอายุน่าจะประมาณ 60 กลาง  ๆ ครับ ซึ่งเค้ามีซิกส์แพ็กแต่ผมไม่มีฮะ ของจริงมาก ๆ ผมเปรียบเทียบให้ฟังเรื่องของกินง่าย ๆ สมมติเราเป็นเชฟ ก็ปั้นเมนูนี้มาแล้วก็ไปเสิร์ฟให้เค้า แล้วเค้าจะเป็นคนที่ หวานไป เค็มไป เอาไอ้นั่น เอาไอ้นี่ แต่เค้าจะไม่ได้มาลงมือด้วยและไม่ได้มาเปลี่ยนเมนูเราด้วยนะ อันนี้คือสิ่งที่น่ารักมากและเป็นโปรดิวเซอร์ระดับโลกจริง ๆ คำแรกที่เจอกันวันแรกเลยเค้าบอกว่า เค้าจะไม่มาทำสล็อตแมชชีนให้เป็นลิลลี่ไวท์หรือทำลิลลี่ไวท์ให้เป็นสล็อตแมชชีน แต่เค้าจะทำสล็อตแมชชีนให้เป็นสล็อตแมชชีนที่ดีขึ้นแค่นี้ผมรู้สึกเลยว่าโอเคแล้ว ไม่ทำละเลิก (หัวเราะ) แค่นี้ก็แบบโอเคเพราะนั่นคือสิ่งที่ผมปรารถนาที่สุดมาตลอดการได้เป็นตัวเอง

แล้วผลตอบรับเป็นยังไงบ้างครับ

ผลตอบรับดีมาก ๆ ครับเพราะว่าเป็นของแปลกและของใหม่ในตลาดโลกก้เอาตั้งแต่ที่มาที่ไป ประเทศไทย ต้องยอมรับว่าฝรั่งบางคนเค้าไม่รู้จักนะครับ พอบอกประเทศไทยเค้าจะบอกว่าไต้หวัน และเค้าจะถามว่ายังขี่ช้างอยู่รึเปล่า ยังขี่หมูอยู่รึเปล่า ฝรั่งบางคนเค้าก็ไม่เคยออกนอกประเทศ เค้าก็ไม่เคยสนใจมันก็เป็นไปได้ฮะ แต่ว่าการตอบรับดีมาก ๆ เลย เพราว่าเราไปด้วยความที่เป็นอันเดอร์ด็อก เราไม่ได้คาดหวังเยอะ แต่ผลตอบรับคือเฮ้ยเรามีแฟนคลับ เรามีคนที่ติดตาม มีคนที่มาถามว่าเมื่อไหร่จะกลับไป อันนี้ผมภูมิใจมากเลยคือบางคนเค้าถึงกับหันมาสนใจภาษาไทยแล้วเค้าบินมาเรียน ผมแบบเฮ้ยนี่ไงล่ะผลพลอยได้ที่ผมไม่ได้คาดไปถึงตรงนั้น แต่มันสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไปด้วย

แต่ในทางกลับกันพออัลบั้มมันโฟกัสไปที่คนต่างชาติและมันมีผลต่อแฟนเพลงคนไทยมั้ยครับ

ก็มีครับ

เราบาลานซ์มันยังไงครับ

ผมก็พยายามบาลานซ์ด้วยการที่ทำเพลงที่เป็นภาษาไทยด้วย ก็ยังไม่ทิ้งคนไทย ก็ทำควบคู่กันไป ก็รู้ว่ามันจะต้องมีคนที่รู้สึกแบบนี้อยู่แล้ว ซึ่งเราก็ไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งเค้า เราก็โอเคถ้างั้นเราก็ค่อย ๆ  แก้ไขมัน เป็นรุปธรรมที่สุดก็คือแต่งเป็นภาษาไทยด้วย ไม่ใช่ว่าทำเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดแล้วไม่ทำภาษาไทยเลย

‘Third Eye View’ ซึ่งเป็นอัลบั้มที่สองที่เป็นภาษาอังกฤษนี่เรามีเป้าหมายต่างจากอัลบั้มก่อนอย่างไรบ้างครับ

หลังจากที่ทำ ‘Spin the World’ มันจะเหมือน ‘Mutation’ ครับ อย่างใน ‘Spin the World’ มันจะมีอยู่กรอบนึงที่ไม่มีใน ‘Third Eye View’ แล้วก็คือกรอบความคิดที่ว่าเราจะต้องทำให้มันมีความเป็นไทยในนั้นด้วย เป็นความเป็นไทยที่เราอยากจะพรีเซนต์ให้ชาวต่างชาติซึ่งบางทีชาวต่างชาติเค้าก็ไม่ได้มารู้ เค้าก็คือวัดพระแก้ว ตุ๊กตุ๊ก ผัดไทย ซึ่งเราก็ add เข้าไปประมาณนึงมันก็เป็นกรอบในการทำเพลงอยู่เหมือนกัน ชุดนี้ก็เลยไม่เอาละเพราะว่าทำไปแล้วด้วย และรู้ว่ามันค่อนข้างเป็นกรอบนิดนึง ชุดนี้ก็เลยอิสระมาก ๆ โอเคความเป็นไทยก็คือ เรานี่ล่ะ (ชี้ที่ภาพถ่ายอัลบั้ม Third Eye View บนฟิล์มกระจก) ไอ้เฟิด ไอ้แก๊ก ไอ้วิทย์ นี่ไทยเชื้อจีน มันคือความเป็นไทยทั้งหมด เพราะฉะนั้นสิ่งที่มันออกมาจากเรานี่แหละ มันก็คือความเป็นไทย ณ ปัจจุบันละ คนไทยไม่ได้ขี่หมูขี่ช้างและ

อ้ะทีนี้มาที่รูปนี้เลย  (รูปปกอัลบั้มบนฟิล์มกระจก) ดูแล้วรู้เลยว่าเป็นฝีมือ คุณ ชาติฉกาจ

ปกอัลบั้ม ‘Third Eye View’

ใช่ครับ คุณชาติฉกาจ ไวกวี ครับผม ฟิล์มกระจกตอนแรกผมเห็นแล้วชอบเลยเพราะมันเป็นเทคนิคโบราณ ภาพโบราณจริง ๆ  ตอนแรกผมอยากพาที่บ้านไปถ่าย เหมือนเวลาเราไปเที่ยวเชียงใหม่เราก็แต่งตัวเป็นล้านนาแล้วก็ไปถ่ายอะไรอย่างนี้ แต่ว่าอันนี้มันจะเป็นพิเศษตรงเป็นขาวดำแล้วก็เป็นฟิล์มกระจก สุดท้ายไมได้ถ่ายกับครอบครัวแต่ได้งานแทน (หัวเราะ) ผมรู้สึกว่ามันมีบางอย่างที่บิดมาเข้ากับงานได้ เป็นคอนเซปต์แบบ Time Traveller ได้และสร้างสตอรี่บางอย่างให้มันเข้ากับงาน

ในขณะเดียวกันข้างหลังนี้ก็เหมือนกับเป็นยันต์

ข้างหลังนี้ก็คือออกแบบมาเฉพาะเลยนะครับ ไม่ได้ไปเอาของจริงหรือของที่อื่นมา คือเป็นประยุกต์มาครับผม

ปกหลังของอัลบั้ม Third Eye View

เป็นกราฟฟิกดีไซน์ที่ได้รับอิทธิพลจากการเขียนยันต์

ใช่ครับผม

แล้วข้างในก็จะมีฟิล์มกระจก

ที่ทุกคนได้ข้างในมันจะเป็นอะครีลิกแทนครับ จะได้ไม่แตก ไม่บาดมือด้วยครับ แล้วก็มีโฟโตบุ๊กประมาณ 50 กว่าหน้าครับ

นี่อันนี้เด็ดมากให้ยันต์ด้วย

อันนี้ทำจากโรงงานยันต์จริง ๆ นะครับไปขอเค้า

ผ้ายันต์สล็อตแมชชีน

นี่มีลงอาคมให้ด้วยมั้ย

ไม่ครับ  คิดว่าทุกคนต้องไปลงอาคมให้ตัวเองครับ

โอเคนี่คือ Third Eye View ซึ่งเป็นอัลบั้มเพลงภาษาอังกฤษ

14 แทร็ก แล้วก็มีที่ทำเป็นภาษาไทย 4 แทร็กครับ

อยู่ในนี้ทั้งหมดเลยแผ่นนึงก็เป็นภาษาอังกฤษ แผ่นนึงก็เป็น EP. ภาษาไทย มี 4 แทร็ก

ใช่ครับ

มาถึงวันนี้อะไรคือสิ่งสำคัญที่ทำให้คุณยังไม่หยุดทำสล็อตแมชชีน เคยนึกถึงข้อนี้มั้ย

เคยครับ ทุกวันนี้บางทีผมยังทะเลาะกับแฟนเลยฮะ ก็แบบนี้มาตลอดหนิก็ไม่เห็นจะมีช่วงเวลาไหนที่งานไม่ได้มาก่อนเป็นอันดับหนึ่งอะไรอย่างเนี้ย (หัวเราะ) ซึ่งผมก็ตอบเค้าไม่ถูกนะครับแต่ผมก็พยายามที่จะปรับปรุงแบ่งสรรปันส่วนจัดเวลามากขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ผมจะไม่เอาอะไรเลย ผมกล้าพูดว่าผมเลิกกับแฟนหลายคนเพราะว่าผมเลือกงานฮะ และผมเป็นคนไม่คุยโทรศัพท์ ไม่ชอบคุย ผมเล่นดนตรีเสร็จต้องมานั่งคุยผมไม่สามารถเท่าไหร่ แต่ต้องคุยบ้างไม่งั้นเราก็จะเอาแต่ตัวเองเป็นที่ตั้ง ผมว่ามันน่าจะเป็นคำตอบที่ simple ที่สุดคือ ผมรักมั้งครับ ผมรักที่สุดแล้ว มันคือสิ่งที่ผม unconditional love ไม่ต้องมีเงื่อนไขอะไรกับสิ่งนี้และมันทำให้ผมรู้สึกมีคุณค่า ผมรู้สึกมีอิสระ ไม่ต้องมีอะไรมาเป็นบ่วงหรือยึดเหนี่ยว หรือจะต้องมายึดติดกับมัน ผมรู้สึกว่ามันเป็นไปตามธรรมชาติ มันเป็นสิ่งเดียวกัน เป็นตัวของผม ชีวิตของผม

BEING FOET ความเป็นเฟิด

แล้วเรื่องมนุษย์ต่างดาวล่ะครับ จริงรึเปล่าที่คุยเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง

ผมเชื่อ

มันเริ่มจากอะไรฮะที่ทำให้เชื่อ

มันเริ่มจากเรียนศิลปะแล้วได้ธรรมะด้วย ได้วิทยาศาสตร์ แล้วเริ่มต่อยอดศึกษาเรื่องความเชื่อในทุก ๆ วัฒนธรรมหรืออารยธรรมครับ มันจะมีผู้มาจากที่อื่นหรือคนที่เค้าฉลาดกว่าเรา มันเกี่ยวเนื่องอยู่ตลอดถึงแม้จะพิสูจน์ไม่ได้แต่มันมีหมดเลย แล้วผมศึกษาไปลึก ๆ ไม่รู้ว่าลึกรึเปล่า ลึกของผม (หัวเราะ) มันก็จะมีคำอธิบายเรื่องวิทยาศาสตร์ของคลื่นความถี่หรือว่าในภาษาเชิงของศาสนาก็จะเรียกว่ากายหยาบ กายละเอียด ซึ่งผมมองกายละเอียดว่ามันก็เหมือน cloud ในยุคนี้

สมมติว่าเปรียบเทียบกายหยาบ คือ physical hardware ก็คือโทรศัพท์แล้วจิตวิญญาณสิ่งที่มันจับต้องไม่ได้มันก็คือ application ต่าง ๆ ที่มันลอยอยู่ในนี้ แล้วผมก็รู้สึกว่าผีหรือเทวดาอะไรอย่างนี้ก็คือ พลังงานบริสุทธิ์ ซึ่งตาเนื้อมันมมองไม่เห็น มันอาจจะไม่ได้แยกกันเป็น layer เหมือนชั้นเค้กแบบสวรรค์ชั้นบน มนุษย์ชั้นกลางนรกชั้นล่าง จริง ๆ มันอาจจะทับซ้อนกันเลย ซึ่งเราก็อาจจะมองได้ว่ามันเป็นผีหรือเป็นอะไร แต่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องเดียวกันมันเป็นพลังงาน แล้วก็เรนจ์ความถี่ที่มันอาจจะจูนไม่เจอกันเท่านั้นเอง จริงไม่จริงไม่รู้แต่สุดท้ายแล้วมันตอบได้ตรงที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นไปได้อ่ะ  ไอนสไตน์เคยพูด ปิกัสโซเคยพูดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์จินตนาการได้มันเป็นจริงได้แต่มันไม่ได้หมายความว่าเป็นจริง ณ ตอนนี้ จริง ๆ แล้วมันคือเราต่างหากที่ยังหาคำอธิบายไม่ได้

แล้วคุณเคยทดลองอะไรเกี่ยวกับเรื่องเหนือจริงพวกนี้บ้างรึเปล่าแล้วเคยได้ผลอะไรบ้างมั้ย

ผมเคยเจอเหตุการณ์นึง ผมมีคอนโดอยู่ตรงฝั่งธนจะอยู่ใกล้ ๆ  สะพานพระราม 8 วันดีคืนดีบ่ายสองแดดเปรี้ยง ๆ เลย ฟ้าใสสวยมาก ผมทำเพลงเสร็จผมก็เบรกกันแล้วผมก็ไปคุยกับ ออโต้ (มือกลอง อดีตสมาชิวงสล็อตแมชชีน) ตรงระเบียงเป็นแสงวิ่งอย่างเนี้ย ตอนกลางวัน ซึ่งอันนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นอะไรที่มันเหนือจริง มันไม่มีคำอธิบาย มันไม่ใช่ดาวหาง ดาวตก หรือเครื่องบิน ซึ่งทุกวันนี้ผมก็ยังไม่รู้

สมมติมีคนมาบอกคุณว่ามันไม่มีหรอก จะบ้าหรอ เพี้ยนแล้ว คุณจะตอบความคิดนั้นอย่างไร

ถ้าอย่างช่วงนี้ก็คือไม่ไปจัดการกับสิ่งเร้าภายนอก จัดการกับตัวเอง ณ ปัจจุบันก็จะยอมรับได้ เพราะมันเป็นเรื่องปกติที่คนจะไม่เชื่อ แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมเคย มีดีเจอาร์ตครับผมก็เคยเล่านู่นนี่ พี่อาร์ตบอกว่ามันมีจริง ๆ หรอ ตอนนั้นผมก็ยังแรงอยู่ก็สวนเค้าไปว่าแล้วลมหายใจล่ะมีจริงมั้ย เค้าก็แบบอึ้ก ผมเลยก็รู้ตัวว่าแรงไป แต่คือผมก็พยายามเปรียบเทียบว่าลมหายใจมันก็มองไม่เห็นนี่ แต่มันมีจริงมั้ยล่ะ ยังมีชีวิตอยู่เพราะมีลมหายใจใช่มั้ย นั่นล่ะมันก็ตอบคำถามแล้วล่ะ แต่วันนี้ผมก็คงไม่ไปเถียงไม่เอาชนะใคร และไม่ใช่เรื่องของเราที่ต้องไปเปลี่ยนเค้าหรือเอาชนะเค้าหรือเราจะต้องไปพรูฟว่าเราถูก มันไม่จำเป็นฮะ

แล้วคุณว่าวันนึงที่เราติดต่อกันได้มันจะมาในรูปแบบไหนอ่ะหรืออยากให้เป็นแบบไหน

ผมรู้สึกว่าถ้าผมใช้จินตนาการของผม ผมว่ามันจะมาเปลี่ยนทุกอย่างหมดเลยฮะ สมมติเอาแค่ในระบบสุริยะจักรวาลของเรา ดาวทุกดวงมีมนุษย์หมดมนุษย์ในดาวของเค้า ซึ่งมันอาจจะมาอธิบายในเรื่องนรก สวรรค์ก็ได้ จริง ๆ  แล้วที่เราเห็นเทวดาจริง ๆ มันคือมนุษยืที่อยู่ดาวนั้น หรือสุดท้ายอีกทฤษฎีนึงถ้าพูดถึง Time Traveller ที่เราทิ้งร่างกายนี้ไปแล้วเปลี่ยนไปใหม่ จริงๆ  แล้วมันอาจจะคือเรานี่แหละ ตัวเราเองที่วิวัฒนาการแล้วจนมีอายุขัย 1000 ปี แน่นอนร่างกายมันต้องถูกบิดให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม อาจไม่มีหูหรือหัวโตขึ้น เราอยู่กันไม่ถึง 100 ปีเรายังเบื่อ ถ้าเขาอยู่ถึง 1000 ปีเค้าคงไม่กิน ขี้ ปี้ นอน แล้วล่ะ (หัวเราะ) เค้าคงไปตั้งคำถามอื่นแล้ว

เรื่องนี้มันคุยได้ไม่รู้จบ เพราะมันยังไม่ได้มีคำตอบที่แท้จริงก็เลยเป็นการตั้งคำถามไปเรื่อยและใช้จินตนาการ

แต่ผมรู้สึกว่ามันถูกพูดคุยน้อยไปและมันเป็นเรื่องที่มันหมิ่นเหม่ที่จะถูกมองไม่ดีจนเกินไป ทั้ง ๆ ที่ถ้าเราพูดกันเยอะ มันก็จะมีการแลกเปลี่ยนและอยู่ใน big data และ develop เป็นองค์รวมของทั้งโลก แต่ทุกวันนี้มันยังถูกผลักให้ไกลอยู่

ในเรื่องทางปรัชญา คำถามใดที่เฟิดอยากจะรู้คำตอบมากที่สุดในชีวิต

ทุกวันนี้เรื่องคำถาม ผมยังไม่มีคำถามอะไรเลยฮะ ทุกวันนี้ผมเหมือนกับว่า ผมคิดเยอะและ ผมมีทฤษฎีที่ว่าถ้าเราชอบอะไรหรือต้องการอะไรให้ทำตรงกันข้าม ถ้าเป็นศาสนาก็คืออย่าไปตามกิเลส ถ้าเราอยากอันนี้แล้วเราฝืนขืนมันไว้ เหมือนผมเป็นคนคิดมากทุกวันนี้ผมก็เป็นคนพยายามไม่คิด คิดได้คิดเป็น แต่ต้องหยุดคิดให้เป็น ไม่งั้นมันจะฟุ้งซ่าน ทุกวันนี้ผมพยายามจะไม่คิดฟุ้งซ่าน เคยฟุ้งคิดไปแล้วมันเป็น อจินไตย หาคำตอบไม่ได้ แต่มันมีคำถามแหละ แต่ยังไงมันก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ คิดไปก็เปลืองเวลา เปลืองความคิด หรือว่าตรงนี้มันไม่ใช่พอยต์ พอยต์ก็คือการอยู่กับปัจจุบัน ถ้าเราไปอยู่กับความคิดมันก็ไม่พ้นอดีตหรืออนาคต สิ่งที่ผ่านไปแล้วและสิ่งที่ยังมาไม่ถึง

นี่มันเรื่องศาสนาเลยนะครับ ไม่น่าเชื่อเลยว่าบุรุษผู้ใส่สูทมีปีกอยู่บนเวทีและถือไม้เท้าคนนี้จะสนใจในศาสนา สำหรับบางคนมักมองว่าเรื่องศาสนาเป็นเรื่องของคนมีอายุ

ใช่ จะต้องนุ่งขาวห่มขาว ต้องเป็นพระก่อนจึงจะตั้งใจศึกษา จริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องของตัวเรานี่แหละ ใช้ชีวิตแบบของเรานี่แหละแต่เราแค่สะกิดตัวเองให้คิดนิดนึง ไม่ใช่ใช้ไปวัน ๆ

(ป๋าเต็ด : จริง ๆ  ดีนะครับที่เอาแนวคิดปรัชญาและศาสนามาเล่าผ่านงานของตัวเอง มันก็จะเข้าถึงคนกลุ่มนึงที่ไม่มีทางเอาหนังสือปรัชญาศาสนามาอ่านแน่ ๆ ยิ่งทำให้มันสนุกก็ยิ่งดี)

คุณกลัวอะไรที่สุดในชีวิต

ถ้าตอบแบบกำปั้นทุบดินก็คงจะกลัวตายมั้งครับ

คุณศึกษาเรื่องธรรมะก็น่าจะทำให้เข้าใจเรื่องความตายมากขึ้น คำว่ากลัวตายของเฟิดนี่คืออะไรครับ

สุดท้ายแล้วผมรู้สึกว่าคนเราก็จะยึดติดกับชีวิต ทุกอย่างในชีวิต การได้มีชีวิตอยู่ในตรงนี้เพราะว่าถ้าเราตายไปแล้วตรงนี้มันก็หมดไป เราจะไม่ได้ตื่นขึ้นมา เราจะไม่ได้เจอคนที่เรารัก เราจะไม่ได้มีเรื่องราวอะไรต่อจากนี้ มันเหมือนกับจบหนังแล้ว แต่ถ้าผมกลัวจริง ๆ ผมกลัวว่าผมจะเป็นในสิ่งที่ผมไม่อยากเป็น อย่างเช่นผมอยากจะทำงานของผมให้มีประโยชน์ แต่ถ้าสิ่งที่ผมคิดมันผิดและกลายเป็นโทษกับคนอื่นโดยที่เราไม่รู้ว่ามันผิดอันนี้ผมจะกลัวที่สุด กลัวเหลิง กลัวผิดจุด กลัวไปยึดมั่นถือมั่น กลัวเห็นกงจักรเป็นดอกบัว มันไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ

ที่มีข่าวว่ามีคนขึ้นไปรบกวนคุณบนเวทีขณะแสดงคอนเสิร์ตตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นครับ

เหตุการณ์มันคือเป็นสถานที่นึง แล้วมันเป็นร้านที่มันจะมีความไม่ชัดเจนอยู่ว่าเราไปเล่นเนี่ยเราไปเล่นร้านแต่ว่าคนที่เค้าไปเที่ยวกลายเป็นว่ามันคืองานวันเกิดของใครสักคนที่เป็นหุ้นส่วนร้าน ตรงนี้มันไม่เคลียมันก็เลยเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น เพราะว่ามันเป็นวันเกิดเค้าคืนนี้คือคืนสเปเชียลของเค้า แต่เค้าก็ซัดมาเต็มแมกซ์เกินไป ตอนที่ขึ้นนี่เค้าหลุดไปแล้ว ตลอดมาเกือบ 20 ปีผมไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้อันนี้เป็นครั้งแรก

คำถามมันคืออย่างนี้ครับ คุณมีความเห็นอย่างไรกับเรื่องของความเป็นส่วนตัวของบุคคลสาธารณะ เส้นแบ่งมันน่าจะอยู่ตรงไหน

ผมคิดว่าเส้นแบ่งมันน่าจะอยู่ที่คำว่าคนสาธารณะแต่มันคือคำว่า ‘คน’ ครับ ไม่ใช่ ‘สิ่งของ’ สาธารณะ เค้าคือคนน่ะฮะ ดังนั้นจริง ๆ มันแค่ปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนที่ตัวเองอยากได้รับ มันน่าจะดีที่สุดไม่ว่าเค้าจะสาธารณะหรือไม่ก็ตาม ปฏิบัติกับเค้าเหมือนเพื่อนมนุษย์คนนึงนี่แหละ คุณชอบเค้าได้คุณเกลียดเค้าได้แต่ว่า ถ้าคุณเกลียดเค้าคุณจะไปว่าหรือทะเลาะกับเค้ามันก็เป็นเรื่องเป็นเหตุการณ์ไป ปฏิบัติกับคนอื่นเหมือนที่ตัวเองอยากได้รับมั่นน่าจะเป็นคำตอบที่ตอบเรื่องเส้นแบ่งตรงนี้ได้ครับ

จนถึงวันนี้ยังรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกอยู่มั้ยครับเมื่อเทียบกับเด็กชายเฟิดเมื่อตอนประถมที่เพื่อน ๆ บอกไอ้นี่มันติสต์เหลือเกิน

รู้สึกเหมือนเดิมแต่ว่ามันเปลี่ยนมุมมองครับ มันมองว่ามันก็เป็นอย่างนี้แหละ ‘เป็นเช่นนั้นแล’ ไอ้คนแบบเราและคนแบบที่ไม่ใช่เรามันก็มีทุกยุคทุกสมัยในทุก ๆ สังคมและบริบท ก็แค่เข้าใจและยอมรับได้ พอเปลี่ยนมุมมองมาเป็นแบบนี้ เราก็เป็นเรา เราจะไปเปลี่ยนคนอื่นให้มาเข้าใจหรือยอมรับเรามันก็ไม่ใช่ชีวิตเค้ารึเปล่า ไม่ใช่หน้าที่เค้ารึเปล่า หน้าที่ของผมคือเปลี่ยนมุมมอง เพราะผมเติบโตขึ้นมีความเข้าใจมากขึ้น

เหลือสองข้อสุดท้าย ข้อหนึ่งก็คือบทเรียนสำคัญที่สุดในชีวิตของคุณจนถึงวันนี้คืออะไร

บทเรียนของผมคือผมพิสูจน์มาและว่าสิ่งที่ผมคิดและทำมาด้วยความตั้งใจจริงของผมเนี่ย มันมาจากความบริสุทธิ์ผมไม่ได้อยากให้มันไม่ดี ผมอยากให้มันดีและบริสุทธิ์ บทเรียนที่สำคัญของผมก็คือ ผลลัพธ์และเป้าหมายเนี่ยมันมีอยู่หนึ่งเดียว แต่วิธีการมันมีหลากหลายมันไม่จำเป็นที่จะต้องตรงและผ่าและแหวกอย่างเดียว ถ้ามองเป็นศิลปะ เป็นวิทยายุทธก็คือมันต้องหยิน-หยาง มันต้องมีความอ่อนโยน บางครั้งที่มันจะต้องตรงมันก็ต้องตรง บางครั้งที่มันจะต้องโค้งมันก็ต้องโค้ง บางครั้งมันมีกรอบบางครั้งมันไม่มีกรอบ บางครั้งมันยืดหยุ่นได้ อิสระได้ ความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่เราพยายามจะศึกษาเราต้องเข้าใจและทำให้ได้จริง ๆ ด้วยไม่งั้นมันจะเป็นแค่ความคิดที่ฟุ้งซ่าน มันไม่สามารถจะเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ อันนี้คือบทเรียนที่ผมได้รับครับ

คำถามสุดท้ายครับ ถ้าวันนี้คุณเจอมนุษย์ต่างดาวคุณอยากถามอะไรหรืออยากบอกอะไรเค้าครับ

หูย อยากถามเยอะมากเลย ถ้าเอาที่คิดออกตอนนี้เลยผมอยากถามเค้ากลับบ้างว่าเค้าเชื่อมั้ยว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง เค้าอาจจะเจอกับเราครั้งแรกเหมือนกันก็ได้นะ

ป๋าเต็ด : เนี่ยคงตบเข่าฉาดเลย ‘ใช่เนี่ยกูก็บอกกับเพื่อนกู ไม่มีใครเชื่อเลย มันหาว่ากูเพี้ยน’ (หัวเราะ) ‘นี่เวลาเล่นคอนเสิร์ตทำท่านี้ (ท่าสามเหลี่ยม) ตลอดเลย’ กลายเป็นซี้กันไปเลย เป็นคำถามที่น่าสนใจนะครับว่า มนุษย์ต่างดาวเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาวมั้ย (หัวเราะ) ขอบคุณเฟิด สล็อตแมชชีนครับ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส