[รีวิว] Wonder Woman 1984 : 2 ชั่วโมงครึ่งแห่งความราบเรียบ

Release Date

17/12/2020

PG-13

2h 31min

Action, Adventure, Fantasy

Director: Patty Jenkins

Writers: Patty Jenkins, Geoff Johns, Dave Callaham

Stars: Gal Gadot, Chris Pine, Kristen Wiig

[รีวิว] Wonder Woman 1984 : 2 ชั่วโมงครึ่งแห่งความราบเรียบ
Our score
6.8

Wonder Woman 1984

จุดเด่น

  1. กัล กาด็อต ความรื่่นรมย์ที่สุดของหนัง สวยทุกฉากทุกมุม
  2. คริสเต็น วิก เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกับบท ดร.บาร์บารา มิเนอร์วา เปลี่ยนลุคเฉิ่มมาเป็นลุคเฉี่ยวได้ชัดเจน
  3. การเลือกฉากหลังเป็นยุค 80s ถือว่าสร้างบรรยากาศที่แตกต่างให้กับหนังซูเปอร์ฮีโรได้เป็นอย่างดี
  4. ฉากเปิดเรื่องสนุกที่สุด ถือว่าเป็นฉากแอ็กชันที่ลากยาวและแปลกใหม่ ใช้ประโยชน์จากความเป็นชาวเผ่าอะแมซอนได้เป็นอย่างดี

จุดสังเกต

  1. ด้วยเวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง ของหนัง รู้สึกว่ายาวเกินไป
  2. หนังมีความเวอร์วังมากเกิน ทั้งอภินิหารของหิน อาวุธและพลังความสามารถของวันเดอร์วูแมนที่ไร้ซึ่งความสมเหตุสมผล
  3. ปริมาณฉากแอ็กชันน้อย และไม่ชวนลุ้น ส่วนใหญ่เห็นหมดแล้วในตัวอย่างหนัง
  4. วายร้ายด้อยพิษสง จัดการได้ง่าย ทำให้ระดับความสนุกของหนังลดลง
  • ความสนุก ความบันเทิงตามแนวหนัง

    6.0

  • ตรรกะความสมสมผลของบทภาพยนตร์

    5.0

  • คุณภาพงานสร้าง

    9.0

  • คุณภาพนักแสดง

    8.0

  • คุ้มเวลา ค่าตั๋วภาพยนตร์

    6.0

นับว่าเป็นผลงานภาคต่อที่สร้างความกดดันให้กับผู้กำกับ แพตตี้ เจนกินส์ หนักหนาพอดู เพราะภาคแรกเมื่อปี 2017 สร้างสถิติไว้มากมาย ทั้งเป็นหนังซูเปอร์ฮีโรหญิงที่ทำรายได้มากสุดเป็นประวัติการณ์ ตัวเลขจบที่ 822 ล้านเหรียญ จุดความหวังครั้งใหม่ให้กับดีซีคอมิกและวอร์เนอร์ ที่เพิ่งชอกช้ำมากับ Suicide Squad หนังรวมวายร้ายจากจักรวาลดีซี ที่ทำรายได้ไม่เข้าเป้า เจอเสียงโขกสับจากบรรดานักวิจารณ์และคนดู

Wonder Woman ยังสร้างอานิสงส์ลามมาถึงฝั่งมาร์เวล ให้กล้าเคาะไฟเขียวกับหนังซูเปอร์ฮีโรฝ่ายหญิงออกมาบ้าง ถือเป็นจุดกำเนิดให้เราได้เห็นขุ่นแม่ Captain Marvel ออกมาวาดลวดลายและตามด้วยหนังเดี่ยวของ Black Widow ที่เป็นซูเปอร์ฮีโรรายเดียวในประวัติศาสตร์เลยมั้งที่มีหนังภาคแยกของตัวเอง หลังจากที่เจ้าตัวได้ตายไปแล้วในเส้นเรื่องหลัก

สนับสนุนเนื้อหาโดย

สำหรับ Wonder Woman 1984 นั้นมองเห็นได้ชัดตั้งแต่ชื่อเรื่องว่า แพตตี้ เจนกินส์ พยายามที่จะหาช่องทางการนำเสนอที่แตกต่างจากขนบของหนังซูเปอร์ฮีโร ด้วยการกำหนดให้เรื่องราวเกิดขึ้นในปี 1984 นำจุดเด่นของยุค 80s มาใช้เป็นฉากหลังได้อย่างชัดเจน ยังพาตัวตนของ ไดอานา พรินซ์ ให้เข้าสู่วิถีชีวิตเหมือนกับซูเปอร์ฮีโรอีกหลายราย ที่มีฉากหน้าในการเป็นมนุษย์เดินดินกินเงินเดือน ในภาคนี้ไดอานา ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่โบราณคดีในพิพิธภัณฑ์สมิธโซเนียน ในหนังเล่าเรื่องให้พอเข้าใจได้ว่าเธอทำงานที่นี่มาสักระยะหนึ่งแล้ว เธอได้รู้จักกับเจ้าหน้าที่โบราณคดีหน้าใหม่ ดร.บาร์บารา มิเนอร์วา ดอกเตอร์ผู้เชี่ยวชาญทางวัตถุโบราณ ทั้งคู่ช่วยกันวิเคราะห์หาที่มาของ ก้อนหินลึกลับจากชนเผ่ามายา ด้วยความบังเอิญทำให้ทั้งคู่พบว่า หินศักดิ์สิทธิ์ก้อนนี้มีพลังวิเศษสามารถขอพรอะไรก็ได้แล้วคำขอนั้นจะเป็นจริง แต่ก็มี แมกซ์เวลล์ ลอร์ด นักธุรกิจจอมฉ้อฉลที่ตามล่าหินศักดิ์สิทธิ์ก้อนนี้มาอย่างยาวนานได้ใช้อุบายหลอกล่อเอาหินศักดิ์สิทธิ์ก้อนนี้ไปครอบครองเพื่อสนองตัณหาให้ตัวเอง แล้วสร้างความปั่นป่วนให้กับโลก ทำให้วันเดอร์ วูเมน ต้องออกโรงจัดการและแก้ไขสถานการณ์วายป่วงนี้

แพตตี้ เจนกินส์ กำลังกำกับ กัล กาด็อต ในภาคนี้

ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่าหนังภาคนี้ยาวถึง 2 ชั่วโมง 31 นาที ความรู้สึกเมื่อดูจบ ตอบได้ทันทีว่ายาวเกินไป เนื้อหาความตื่นตาตื่นใจไม่ได้อัดแน่นสมกับระยะเวลาของหนัง หลายตอนสามารถตัดทอนให้กระชับลงได้ และฉากแอ็กชันจริง ๆ ก็มีเพียงแค่ 3 ฉากเท่านั้น ย้ำชัด ๆ เลยว่าแค่ 3 ฉาก แล้วไฮไลต์ส่วนใหญ่ก็นำมาขายในตัวอย่างหมดแล้ว ฉากไดอานาตอนยังเป็นเด็กที่ร่วมแข่งขันกีฬาสีตอนเปิดเรื่อง ฉากตะลุมบอนกับรถบรรทุกทหาร และฉากไคลแมกซ์ที่ต้องจัดการกับ 2 วายร้ายหลักของเรื่อง ไม่มีฉากโดดเด่นน่าประทับใจนอกเหนือจากที่เห็นในตัวอย่างหนัง กราฟความระทึกของภาคนี้ค่อนข้างราบเรียบตลอดความยาว 2 ชั่วโมงกว่า มีบางช่วงที่แผ่วพอจะทำให้วูบหลับไปได้ ชวนให้กังวลแล้วล่ะว่ากับการที่วอร์เนอร์มั่นอกมั่นใจกับภาคนี้มาก ถึงขนาดเพิ่มทุนสร้างจาก 120 ล้านในภาคแรก มาเป็น 200 ล้านในภาคนี้ จะได้กลับคืนมาสมน้ำสมเนื้อไหม

กัล กาด็อต กับ คริสเต็น วิก ในบท ดร.บาร์บารา มิเนอร์วา ตัวร้ายของภาคนี้

ปัญหาหลักที่พอชี้นิ้วได้ว่าเป็นข้อด้อย คือพิษสงของตัวร้ายในภาคนี้ แม้ว่าจะใส่มาถึง 2 รายพร้อมกันในภาคเดียวคือ ชีต้า ในร่างซูเปอร์วายร้ายของ ดร.บาร์บารา และ แมกซ์เวล ลอร์ด ที่ได้ เปโดร ปาสคาล นักแสดงเบอร์กลาง ๆ พอใช้ชื่อเรียกความสนใจได้มารับบท คริสเต็น วิก ดูเหมาะสมดีกับภาพลักษณ์ในแรกปรากฏตัวของ ดร.บาร์บารา มิเนอร์วา สาวเนิร์ดที่แต่งตัวเฉิ่ม เซ่อซ่า เป็นสาวนอกสายตาผู้คนที่ไม่มีใครให้ความสนใจ คริสเต็น มาจากสายหนังคอมเมดี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บทแนวนี้จึงเข้าทางเธอ แต่เมื่อบทกำหนดให้เธอปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์เป็นสาวเฉี่ยว ก็ถือว่าทางทีมเสื้อผ้าหน้าผมก็ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ดึงเสน่ห์ความเซ็กซี่ของเธอออกมาอย่างเห็นได้ชัด มาตายเอาร่างสุดท้ายตอนเป็น ชีต้า นี่ล่ะ โอ้ว!แม่เจ้า ฉันดูไม่ออกจริง ๆ ว่านี่คือเสือชีต้า นึกว่าตัวละครที่หลุดมาจาก Cats หนังมิวสิคัลฉาวโฉ่เมื่อปีที่แล้วนี่ ช่างไม่น่าเกรงขามทั้งภาพลักษณ์และพิษสง ไม่มีอาวุธเด็ดอะไรเลยนอกจากกงเล็บกับความเร็วเท่านั้น

เปโดร ปาสคาล ในบท แม็กซ์เวลล์ ลอร์ด ตัวร้ายของภาคนี้

ส่วนแมกซ์เวลล์ ลอร์ด ไม่สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่านี่คืออีกหนึ่งตัวร้ายของภาคนี้ เพราะกฏเหล็กของตัวร้ายที่เป็น คน ในหนังหรือการ์ตูนซูเปอร์ฮีโรเมื่อไม่มีพลังหรือความสามารถพิเศษไว้ต่อกรกับพระเอก พิษสงเดียวที่วายร้ายเหล่านี้ต้องมีก็คือ มันสมองอัจฉริยะ ที่ใช้เล่ห์กลมาจัดการกับเหล่าซูเปอร์ฮีโรได้อยู่หมัด แต่กับ แมกซ์เวลล์ ลอร์ด นั้นไม่ได้มีความฉลาดหรือไหวพริบใด ๆ ให้เห็นเลย มองเห็นเพียงอย่างเดียวคือความโลภ ก็เลยเป็นตัวร้ายที่สร้างแต่ความปั่นป่วนโกลาหล เป็นโจทย์ที่วันเดอร์ วูแมน แก้ได้ไม่ยากเย็น

ข้อความสปอยล์
เป็นการจัดการตัวร้ายที่แปลกใหม่ที่สุดที่เคยเห็นมาในหนังซูเปอร์ฮีโร ด้วยการปาฐกถาถึงสาระสำคัญของชีวิตอันยืดยาว มันก็เลยไม่ได้ชวนให้รู้สึกระทึก วายร้ายทั้งคู่ไม่ได้พาวันเดอร์ วูแมน ไปถึงจุดคับขันเลวร้ายให้เราต้องลุ้นเอาใจช่วยแต่อย่างใด
คริส ไพน์ รับหน้าที่สีสันคอมเมดี้ และโรแมนติกของภาคนี้

อารมณ์หนังไม่ได้ราบเรียบแค่ฉากแอ็กชัน แต่ยังลามไปถึงพาร์ตโรแมนติกของหนังด้วย เห็นได้ชัดว่าทีมงานพยายามหาทางเอา คริส ไพน์ กลับมารับบท สตีฟ เทรเวอร์ ในช่องทางที่ โอ้โห หลุดโลก อย่างกับหนังการ์ตูนอะลาดิน ช่างเป็นความพยายามที่ดู ยัดเยียด เอามาก ๆ ฉากแรกพบทำได้อิ่มเอมดีครับ เป็นความน่ารักที่ดูกุ๊กกิ๊กกระหนุงกระหนิงเห็นได้ถึงความรักของคู่ที่จากกันมาแสนนาน แต่ตรงกันข้ามเมื่อถึงฉากบิลท์อารมณ์ให้เศร้ากลับไม่ได้พาให้ชวนอินไปด้วยได้ ประโยชน์อีกอย่างในการเอาบท สตีฟ เทรเวอร์ กลับมาในภาคนี้ ก็คือใช้เป็นเครื่องมือหลักในฉากคอมเมดี้แบบ “บ้านนอกเข้ากรุง” เมื่อคนจากยุคอดีตต้องมาอยู่ในโลกอีก 70 ปีข้างหน้า แต่กระนั้นก็เถอะ ฉากเฉิ่ม เปิ่น ของสตีฟ เทรเวอร์ เราก็เห็นกันหมดแล้วในตัวอย่างหนัง

แส้ ที่เพิ่มขีดความสามารถอย่างมากในภาคนี้

อีกจุดที่รู้สึกตะขิดตะขวงใจคือพลังความสามารถของวันเดอร์ วูแมน ในภาคนี้ที่ดูก้าวกระโดดไปไกลมาก แน่นอนว่าในการดูหนังซูเปอร์ฮีโรนี้ เราต่างรู้กันอยู่แล้วว่านี่คือหนังที่ดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูน อย่าได้เอาตรรกะความเป็นจริงมาพิจารณาหาเหตุผล แต่ถึงอย่างนั้นขีดความสามารถของวันเดอร์ วูแมน ก็พาเราเกินเลยขอบของซูเปอร์ฮีโรไปอีกไกล แส้ของเธอในภาคนี้ดูพัฒนาไปไกลมาก สามารถยืดไปไกลไร้ขีดจำกัด ถึงขั้นเหวี่ยงไปพันเครื่องบินแล้วพาเธอเหาะเหินไปในอากาศได้ แล้วยังเหวี่ยงแส้ไปพันหัวกระสุนกลางอากาศได้ด้วย (ป้ายดำเพื่ออ่านสปอยล์ ->) อึ้งสุดไปเลยเมื่อเธอมีพลังทำให้วัตถุล่องหนได้ โอ้ววววว อย่างที่กล่าวแพตตี้ เจนกินส์ และทีมงานทำการบ้านพอดูกับการสร้างสีสันให้กับ วันเดอร์ วูแมน ในภาคนี้ ด้วยการใส่เกราะทองจากเทพีในตำนานของชนเผ่าอะเมซอนของเธอ ชุดทองมีปีกที่เราเห็นในตัวอย่างนั่นล่ะครับ สวย เท่ นะ ใส่แล้วเหาะได้ด้วยเพราะมีปีก แต่ถ้าพิจารณามันก็ชวนตะหงิด ๆ ว่าช่างคุ้นตากับเกราะในมังงะ เซนต์เซยาเสียเหลือเกิน

วันเดอร์ วูแมน ในชุดเกราะเซนต์เซยา

หนังยังมีอีกหลายจุดประปรายที่ให้รู้สึกสะดุดกับความเวอร์วังไร้เหตุผลรองรับ อย่างรถแท็กซี่เก่า ๆ ที่สตีฟและไดอานาใช้เป็นพาหนะไล่ล่าแม็กซ์เวลว์ ลอร์ด ก็ทำหน้าที่รถพระเอกได้สมฐานะ เพราะไม่ว่าจะโดนกระสุนปืนกลสาดใส่มากแค่ไหน ก็ยังแข็งแกร่งสามารถวิ่งต่อได้ กระจกหน้ายังไม่แตกเลยด้วย

การที่แพตตี้ เจนกินส์ เลือกฉากหลังของภาคนี้ให้เกิดขึ้นในยุค 80s ก็ถือได้ว่าเป็นจุดแข็งหนึ่งของหนัง เพราะใช้ประโยชน์ได้ทั้ง 2 ด้าน ทั้งด้านความเป็นสีสัน ที่พาให้คนรุ่นเก่าได้หวนรำลึกถึงอดีต ได้เห็นบรรยากาศยุคแห่งสีสันจัดจ้าน ทั้งสถาปัตยกรรมและเครื่องแต่งกาย ได้เห็นเด็ก ๆ เต้นเบรกแดนซ์ ในด้านตรงข้ามหนังก็ดึงประเด็นความเป็นยุคสงครามเย็นมาใช้อ้างอิงในฉากไคลแมกซ์ท้ายเรื่องได้อีกด้วย

หนูน้อยลิลลี แอสเพล ในบทไดอานา ตอนเด็ก

พอจะพูดได้ว่าฉากที่ดีที่สุดในภาคนี้ก็คือฉากแข่งขันกีฬาของชนเผ่าอะเมซอน ตอนเปิดเรื่องนั่นล่ะ ที่ได้เห็นกลไก อุปกรณ์รูปแบบของการแข่งขันที่ดูแปลกตา เห็นได้ชัดว่าผ่านการทำการบ้านในการคิดสร้างสรรค์มาอย่างมาก เน้นย้ำว่าอย่าเข้าโรงช้าเด็ดขาด เพราะหนังเปิดเรื่องด้วยฉากนี้เลย

โดยรวมแล้วหนังอยู่ในระดับมาตรฐานของหนังซูเปอร์ฮีโร ให้ความบันเทิงได้พอประมาณ แต่ไม่สามารถพูดได้ว่านี่คือหนังซูเปอร์ฮีโรที่ สนุก จะด้วยปัญหาที่มาจากความพร่องด้วยฤทธิ์เดชพิษสงของตัวร้าย หรือสถานการณ์คับขันที่ตัวเอกต้องประสบ บวกกับความยาวที่เกินพอดี แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้รู้สึกรื่นรมย์ได้ตลอดเรื่องก็คือความสวยระดับทะลุจอของ กัล กาด็อต นี่ล่ะ

https://youtu.be/6QJK8JDgyLc