[รีวิว] Outside the Wire: หนังบู๊ที่ต้องคิดตามมากกว่าที่คิด เลยยังไม่ค่อยคลิก

Release Date

15/01/2021

ความยาว

114 นาที

[รีวิว] Outside the Wire: หนังบู๊ที่ต้องคิดตามมากกว่าที่คิด เลยยังไม่ค่อยคลิก
Our score
5.5

Outside the Wire

จุดเด่น

  1. รายละเอียดของบทที่ตั้งคำถามปรัชญาหลายอย่างต่อผู้ชม ค่อนข้างลึกและจริงจัง ถ้าชอบคิดชอบถกก็สนุกดี การแสดงของคู่นำถือว่าประคองได้ การสร้างภูมิหลังตัวละครน่าสนใจดี

จุดสังเกต

  1. โพรดักชันไม่ค่อยดี ซีจีธรรมดามาก การเล่าเรื่องไม่สุดเท่าไหร่ ยิ่งฉากแอ็กชันยิ่งไม่ช่วยกระตุ้นผู้ชมให้อยากติดตามเนื้อหาดราม่าต่อเท่าไร หนังนานเกินไป แถมบทสรุปก็ไม่แรงพอให้คนดูอิ่มอารมณ์
  • บท

    7.0

  • โพรดักชัน

    6.0

  • การแสดง

    6.5

  • ความสนุกตามแนวหนัง

    4.5

  • ความคุ้มค่าการรับชม

    4.5

เรื่องย่อ: ฮาร์ป อดีตทหารบังคับโดรนสังหาร ตัดสินใจขัดคำสั่งยิงจรวดช่วยหน่วยรบ 38 นายที่อยู่กลางดงศัตรูโดยทำการสละชีวิตทหาร 2 นายไปพร้อมกับทหารฝั่งศัตรู และทำให้เขาถูกสั่งย้ายไปร่วมภารกิจกับ ผู้กองลีโอ ทหารสุดแปลกที่ไม่มีใครเอา ผู้จะลากฮาร์ปไปกลางสมรภูมิด้วยภารกิจชวนฉงน และการเปิดเผยตัวตนว่าเขาเองเป็นแอนดรอยด์ไม่ใช่คน ซึ่งฮาร์ปจะถูกบังคับให้เลือกทางแยกที่ยากลำบากตลอดการเดินทางครั้งนี้

เป็นหนังเน็ตฟลิกซ์ที่ทรงมาทางแอ็กชันไซไฟจ๋า แต่ความน่าสนใจคงเป็นการกลับมารับบท ซูเปอร์ฮิวแมน ของ แอนโธนี แมกคี ที่ติดตาแฟน ๆ มาจากบท แซม วิลสัน หรือ ฟอลคอน จากหนังมาร์เวล งานนี้จึงต้องมาลุ้นกันว่าถ้าไม่ใช่หนังตระกูลมาร์เวลแล้วเขาจะยังรับบทแนวซูเปอร์ฮีโรรอดหรือไม่ เพราะกับบทบาทแนวไซบอร์กจากซีรีส์ Altered Carbon ซีซัน 2 ทางเน็ตฟลิกซ์ของเขา เรียกว่าล้มเหลวในด้านเสน่ห์ความน่าติดตามพอสมควรเลย

Outside the Wire

ส่วนด้านทีมงานเบื้องหลังงานสร้างก็ได้ผู้กำกับ มิคาเอล ฮาฟสตรอม จากสวีเดนที่เคยมีผลงานพอสร้างชื่ออย่างหนังสยองขวัญทั้ง 1408 (2007) และ The Rite (2011) โดยในแนวแอ็กชันก็มีผลงานที่น่าจดจำคือ Escape Plan (2013) ที่ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน ปะทะ อาร์โนลด์ ชวาร์ซเน็กเกอร์ ดูจากผลงานถือว่าเชื่อมือการเล่าเรื่องได้ระดับหนึ่งเลยล่ะ แต่จะหวังบู๊ล้างผลาญเลยน่าจะยากนิดหนึ่ง

ซึ่งก็เป็นดังนั้น เพราะเมื่อประจวบเหมาะกับการได้มือเขียนบทอย่าง ร็อบ เยสคอมบ์ ที่เคยผ่านงานเขียนบทให้เกมเนื้อเรื่องน้ำดีอย่าง The Division ที่ผสมแอ็กชัน โรคระบาดกับการเมืองได้เข้มข้นมาเขียนบทด้วยแล้ว ก็ยิ่งส่งเสริมกันดีในทางบทชวนคิดมากกว่าชวนลุ้นระทึกนันสต็อปแน่นอน

จริง ๆ การที่ร็อบได้จับมือกับ โรแวน เอเธล ที่มีผลงานแนวแอ็กชันไซไฟเกรดบีมาร่วมเขียนบท และพิจารณาจากที่ร็อบเคยเขียนบทเกมไซไฟเอามันอย่าง Crysis มาแล้ว มันก็มีทั้งทางเลือกแบบเกรดบีเอามันไม่สนใจโครงเรื่องแบบเอาตัวรอดง่าย ๆ ไปเลยได้เช่นกัน แต่เมื่อหนังมันออกมาทางที่ไซไฟปรัชญาที่ท้าทายตัวเองของทั้งคู่แทน เราก็ชื่นชมในความกล้าตรงนี้เช่นกัน

หนังเล่าเรื่องของทหารอ่อนประสบการณ์ในสนามรบจริงอย่าง ฮาร์ป (แดมสัน ไอดริส) ที่ตัดสินใจฆ่าคนผ่านจอและปุ่มคอนโทรลในมือไม่ต่างจากการเล่นเกม ทำให้เขาตัดสินใจสละชีวิตทหารฝั่งตัวเองเพื่อผลลัพธ์ได้อย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร การโดนลงโทษให้ไปร่วมภารกิจกับ ผู้กองลีโอ (แมกคี) ทหารสุดเก๋าก็ราวกับจะให้อารมณ์หนังสไตล์คู่หูชัดเจน ทว่าเมื่อ ฮาร์ปถามลีโอว่า นี่มันเหมือนเราเป็นคู่หูกันเลย? เขาก็โดนลีโอตะคอกหงายตึงว่า ไม่ แกเป็นลูกน้องฉัน เท่านั้น ทำให้ผู้ชมเริ่มต้องปรับตัวนิด ๆ ว่า นี่ไม่ใช่งานดูเพลิน ๆ เอามันแบบ Bad Boys แน่นอนแล้วล่ะ

Outside the Wire

ความยากลำบากในการดูหนังเรื่องนี้มาจากตรงนี้เอง เราต้องจับสัญญาณระหว่างบทสนทนาของ 2 คู่หู ที่ผ่านสถานการณ์ต่าง ๆ ไปตลอดเรื่อง โดยความปวดขมองคือ ตัวละครแอนดรอยด์อย่างผู้กองลีโอ มีพฤติกรรมที่ชวนสับสนต่อกฎ 3 ข้อของจักรกลที่มักสำคัญในหนังแนวไซไฟหุ่นยนต์ทุกเรื่อง ซึ่งเราไม่รู้ได้เลยว่า ฮาร์ป หรือตัวแทนผู้ชม ควรตอบรับกับการสอนหรือการหลอกใช้ของ ลีโออย่างไร

Outside the Wire

นอกจากนั้นสถานการณ์ทางการเมืองแถบบอลข่านที่เป็นฉากหลักของเรื่อง ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มเผด็จการทหาร กลุ่มกบฏ ชาวบ้านยูเครน รัฐบาลรัสเซีย และรัฐบาลสหรัฐ ที่คลุ้งอยู่เป็นฉากหลังทั้งเรื่องนั้น ก็แอบต้องคิดตามอยู่ไม่น้อยพอแล้ว

เมื่อทุกองค์ประกอบทั้งการเมืองหลายฝักฝ่าย ปรัชญาเรื่องสงคราม ความเป็นมนุษย์ที่แย้งกับหน้าที่ทหาร ปรัชญาไซไฟเกี่ยวกับกฎ 3 ข้อของหุ่นยนต์ อารมณ์ที่ขัดแย้งกับเหตุผล ถูกเอามาเสนอผสมกันมันจึงกลายเป็น โกโก้ครันช์ รสรวม ๆ ที่ถ้าไม่ถูกปาก ก็เทชามคว่ำทิ้งถังได้เลย

Outside the Wire

สำหรับส่วนตัวมองว่าจุดแข็งของเรื่องก็อยู่ตรงเนื้อหาที่ว่ามานี่ล่ะ แต่ด้วยการเล่าให้ขมวดอยู่ในเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงที่ถือว่ามากอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะเกลี่ยทุกอย่างให้กลมกล่อม จึงกลายเป็นปัญหาที่ผู้ชมต้องคิดตามหนัก ๆ และมองข้ามรูรั่วของความสมจริงต่าง ๆ ไป เช่นเรื่องทำไมให้แอนดรอยด์มาเป็นระดับผู้บังคับบัญชามนุษย์ได้? ถึงจะเพื่อเอามาสร้างปัญหาย้อนแย้งว่าใครสั่งใครในเรื่อง แต่โดยหลักการมันก็ไม่ควรต้องมีปัญหานี้แต่แรกแล้วไหมในทางปฏิบัติจริง

เมื่อมองรวมไปถึงโพรดักชันที่อยู่ในระดับซีจีหนังเกรดบีฮอลลีวูด และการเล่าฉากบู๊ที่ไม่ค่อยสะใจนัก กึ่ม ๆ จะดีแต่ก็ต้องแบกด้านปรัชญาดราม่าด้วย เลยกลายเป็นฉากบู๊ทื่อลง จึงน่าจะพูดแทนผู้ชมส่วนใหญ่ได้เลยว่า น่าจะไม่ชอบหนังเรื่องนี้เท่าใดนัก อาจอยู่ในเกณฑ์พอดูได้ แต่ไม่ดูจะทรมานน้อยกว่า แต่ถ้าคุณชอบแนวปรัชญาไซไฟสงคราม ตั้งคำถามต่าง ๆ ก็ดูเถอะ หนังก็อยุ่ในกลุ่มกลาง ๆ ไม่ได้แย่เช่นกันสำหรับแนวนี้

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส