[รีวิวซีรีส์] Dota: Dragon’s Blood: ดาร์กแฟนตาซีเข้มข้น จะเคยเล่นหรือไม่เคยเล่นเกม ก็โคตรสนุก

Release Date

25/03/2021

ความยาว

8 ตอน (ซีซัน 1) ตอนละไม่เกินครึ่งชั่วโมง

[รีวิวซีรีส์] Dota: Dragon’s Blood: ดาร์กแฟนตาซีเข้มข้น จะเคยเล่นหรือไม่เคยเล่นเกม ก็โคตรสนุก
Our score
9.0

Dota: Dragon's Blood

จุดเด่น

  1. คนเขียนบทเก่งมากดึงเสน่ห์ของเกมมาสร้างเรื่องราวได้น่าสนใจสุด ๆ แอนิเมชันทำได้สนุกมากโดยเฉพาะในฉากแอ็กชันที่โคตรตระการตาและมันมาก ๆ

จุดสังเกต

  1. เนื้อเรื่องเข้าใจยากด้วยชื่อแปลก ๆ จำนวนมาก และการไม่ค่อยจะอธิบายต้องค่อย ๆ ซึบซับเข้าใจไปเอง นอกจากนี้การแปลซับและการแปลบทพากย์ก็ให้ความหมายคนละแบบในบางช่วงทำให้ไม่แน่ใจว่าเข้าใจเนื้อเรื่องถูกต้องหรือไม่ นอกจากนี้การนำเสนอแบบคอมิกตะวันตกก็จะรู้สึกว่าตัวละครแข็ง ๆ หน่อย คนดูแอนิเมะอาจขัดใจนิด ๆ
  • บท

    10.0

  • โปรดักชัน

    7.5

  • การพากย์ และสร้างสรรค์ตัวละคร

    8.0

  • ความสนุกตามแนวซีรีส์

    9.5

  • ความคุ้มค่าการรับชม

    10.0

จากเกม ‘DOTA’ ที่มีผู้เล่นมากที่สุดเกมหนึ่งของโลก ซึ่งสั่งสมความนิยมของตัวละครฮีโรในเกมของพวกเขาด้วยภูมิหลังและฝักฝ่ายที่ซับซ้อนชวนติดตาม ก็ได้รับการต่อยอดมาสู่แอนิเมชันซีรีส์ความยาว 8 ตอนทางเน็ตฟลิกซ์ และต้องยอมรับจริง ๆ ว่าคงไม่มีอะไรลงตัวไปมากกว่านี้อีกแล้ว

Dota: Dragon's Blood

ความหวั่นใจแรก ๆ ของแฟนเกมที่คงมีต่อการดัดแปลงไปในสื่ออื่นอย่างหนังหรือซีรีส์ คงไม่พ้นการทำลายคุณค่าของผลงานดั้งเดิมอย่างเช่นที่เกมหลาย ๆ เกมล้วนเผชิญมาถ้วนหน้า ยิ่งสตูดิโอผู้สร้างครั้งนี้คือ ‘สตูดิโอเมียร์ (Studio Mir)’ สตูดิโอสัญชาติเกาหลีที่ก่อตั้งจากอดีตผู้กำกับซีรีส์ ‘Avatar: The Last Airbender’ และมีผลงานเด่นในลายเส้นแบบคอมิกสไตล์ตะวันตกอย่าง ‘The Legend of Korra’

และเริ่มมาจับแนวเด็กโตด้วยเนื้อหาที่ผู้ใหญ่ขึ้นในปี 2018 อย่าง ‘The Death of Superman’ ซึ่งอย่างที่บอกมันมีโอกาสสูงเหมือนกันที่จะถ่ายทอดตัวเกมที่ซับซ้อนออกมาได้กลิ่นเดิม และดูสนุก

ทว่าสิ่งที่ผู้ควบคุมงานสร้างอย่าง แอชลีย์ เอ็ดเวิร์ด มิลเลอร์ (Ashley Edward Miller) ซึ่งเคยเขียนบทหนังอย่าง ‘Thor’ (2011) และ ‘X: First Class’ (2011) รวมถึงซีรีส์ ‘Terminator: The Sarah Connor Chronicles’ (2008-2009) มาก่อน เมื่อมาคุมการเล่าเรื่องในแอนิเมชันซีรีส์เรื่องนี้ เขาก็สามารถคงเอกลักษณ์ของตัวละครดังในเกม เอามาเล่าเรื่องรวมกันได้อย่างน่าสนใจมาก ๆ

ซึ่งต้องบอกว่ามันเป็นรสประหลาดที่ไม่ได้เจอกันบ่อย ๆ เพราะมันย่อยยากสากลิ้น แต่อร่อยแบบทานยากนี่ล่ะ ใช่ มันคือรสชาติดาร์ก ๆ แบบผู้ใหญ่ ที่บอกว่าเหล้าขม ๆ มันหอมหวานนั่นเอง

ตัวซีรีส์เปิดตัวด้วยการล่าสังหารมังกรของ พระเอกหนุ่มอย่าง ดาเวียน ดรากอนไนท์ ชายผู้สูญเสียครอบครัวไปด้วยฝีมือมังกรและปฏิญาณตนว่าจะล่าสังหารมังกรให้ได้มากที่สุดเพื่อป้องกันเด็ก ๆ ที่จะมีชะตากรรมแบบเดียวกับเขา ก่อนที่เขาจะไปพัวพันกับการแย่งชิงอำนาจของพลังเหนือโลกจนบังเอิญไปผสานชีวิตกับมังกรที่ตนรังเกียจกลายเป็นคำสาปที่เขาต้องหาทางแก้ไข ซึ่งนี้เป้นเหมือนเส้นเรื่องหลักที่แทนสายตาผู้ชมติดตามดาเวียนออกไปสัมผัสโลกเวทย์มนต์และมังกรได้อย่างเข้าใจง่าย และน่าติดตามด้วยรสแบบดราม่าผสมการผจญภัย

Dota: Dragon's Blood

ทว่าซีรีส์ไม่ได้เล่าอะไรง่าย ๆ นักเลย แค่ฉากการพรรณนาการกำเนิดโลก และการต่อสู้แย่งชิงอำนาจของพลังความดีความชั่ว มิติจักรวาลช่วยต้นตอนแรกก็บอกได้เลย เต็มไปด้วยชื่อแปลก ๆ สำหรับคนไม่ได้เล่นเกม คือโคตรงง งงจริง ๆ พอจับใจความภูมิหลังของโลกในเรื่องแทบไม่ได้ ซ้ำระหว่างทางของตัวละครที่ต้องพบเจอตัวละครใหม่ ๆ เผ่าใหม่ ๆ ความเชื่อต่อเทพีที่แตกต่างกัน

ผู้สร้างก็ไม่ได้สนใจมานั่งอธิบายว่าอะไรเป็นอะไร ซ้ำร้ายบางครั้งเราได้ดูเพียงตัวละครอ่านหนังสือแล้วได้เข้าใจอะไรบางอย่าง ซึ่งเราไม่เห็นไม่ทราบด้วยเลยก็มี

Dota: Dragon's Blood
เทพีผู้มีนิสัยเข้าใจยากยิ่งกว่ามนุษย์ และอีกหลากตัวละครที่ไม่รู้ว่าดีหรือชั่ว เป็นสิ่งที่ทำให้ซีรีส์นี้น่าติดตาม

แต่แปลกมากเพราะแทนทีมันจะถีบยอดหน้าผู้ชมให้ออกห่าง แต่มันกลับสร้างความอยากรู้อยากเห็น เพิ่มเพ่งสมาธิในการทำความเข้าใจเรื่องมากขึ้น แล้วมันก็ไม่ได้ยากนักที่จะเข้าใจในที่สุด พอเรื่องเล่าไปแล้วเราเข้าใจอะไรมากขึ้นมันก็ขยายความคิดของผู้ชมออกไปอย่างกว้างขวาง และพบว่าโลกนี้มันสีเทา ตัวละครอยู่บนทางหลายแพร่งมากทางเลือกที่ไม่รู้ผิดรู้ถูก เป็นความฟินในการชมที่บันเทิงสมองมาก ๆ

สำหรับคนไม่ได้เล่นเกมมันเหมือนการอ่านหนังสือสนุก ๆ แบบเปิดอ่านผ่ามากลางเล่มแล้วเข้าช่วงมัน ๆ พอดี แต่กับคนที่เล่นเกมยิ่งจะน่าฟินเข้าไปอีกเพราะได้เห้นตัวละครที่เล่นมีชีวิตจิตใจตรงหน้า และถ้ากลัวว่าจะหมดลุ้นเพราะรู้จักภูมิหลังมาแล้ว ขอโทษตัวซีรีส์ใส่ตัวละครใหม่ ๆ แถมไม่ได้มาแค่ประกอบ ๆ ไปเท่านั้น แต่มีเส้นเรื่อง มีมิติตัวละครที่โคตรน่าสนใจทั้งยังส่งผลสำคัญกับเนื้อเรื่องด้วย แฟนเกมน่าจะเดาอะไร ๆ ยากขึ้น รับรองเบื่อไม่ลงแน่

Dota: Dragon's Blood
เฟมริน หนึ่งในตัวละครใหม่ที่น่าสนใจสุด ๆ

นอกจากนั้นสิ่งที่ทำให้แอนิเมชันเรื่องนี้ไม่เครียดและปรัชญาเกินไป คือฉากการต่อสู้ที่บอกเลยว่าโคตรอลังการ มันมีตั้งแต่นักรบเก่ง ๆ ดวลกัน ไปจนถึงคนปะทะมังกรยักษ์ และมังกรยักษ์ฟัดกันเอง มีทั้งบนพื้น ในป่า บนฟ้า คือสเกลมันใหญ่มาก แต่กลับไม่เว่อ เราอินได้แทบทุกฉาก ลุ้นเอาใจช่วยได้ตลอดจริง ๆ ด้วยเรตแบบ 18+ ที่ถึงเลือดถึงเนื้อ แถมตัวละครก็ตายกันได้จริง ๆ (แค่จบตอนแรกเราก็มีเหวอแล้ว)

Dota: Dragon's Blood
ฉากแบบนี้มีให้เพียบตลอดซีซัน

นี่คือความลงตัวขั้นสุดแล้วล่ะสำหรับคนที่ชื่นชอบดาร์กแฟนตาซีมัน ๆ เรื่องหนึ่ง

ทั้งนี้อย่างที่บอกว่าซีรีส์นี้ต้องจัดเป็นดาร์กแฟนตาซีแบบรสขม เหมือนหนังสือวรรณกรรมผู้ใหญ่ที่อ่านยาก ไม่ค่อยอธิบาย แต่ชวนสงสัยและติดตาม มีตัวละครหลากหลายกลุ่มที่มีเจตนาของตนเองเข้ามาปะทะและผสมผสานจนเนื้อเรื่องขับเคลื่อนไปอย่างเข้มข้น หยุดดูไม่ได้เลย

ซึ่งพอตอนที่ 8 ในซีซันแรกได้จบลง และเราพบทางที่ตัวละครแต่ละตัวเลือก ปริศนาภูมิหลังตัวละครจะคลี่คลายมากขึ้น เห็นฝั่งฝ่ายที่แบ่งชัดเจน แต่มันไม่มีขาวดำ เพราะออกเทา ๆ แทบทุกตัวละคร มันทำให้เห็นล่วงหน้าได้เลยว่าซีซันเปิดตัวยังกระหน่ำรสบู๊และคมคิดได้ขนาดนี้ ซีซันหน้า (ซึ่งคงต้องมี) มันต้องไปได้สุดติ่งอีกขนาดไหน

Dota: Dragon's Blood
ปมความรักที่เป็นไปไม่ได้ ใบ้ถึงอนาคตที่พระ-นางอาจต้องกลายเป็นศัตรูกันเอง ยังไม่นับตัวแปรจากตัวละครอื่น ๆ อีก

อดใจรอไม่ไหวเลยจริง ๆ

Dota: Dragon's Blood

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส