ซีรีส์ 2 เรื่องที่ถูกพูดถึงกันอย่างหนาหูในช่วงที่ผ่านมา คงหนีไม่พ้นซีรีส์ที่มีตัวละครหนึ่งในเรื่อง มีความผิดปกติของพัฒนาการ จนเป็นที่จดจำของผู้ชมเพราะนักแสดงที่ได้รับบทบาทนั้น ช่างแสดงออกมาได้เข้าถึงอะไรอย่างนี้ เรื่องแรก ‘It’s Okay to Not Be Okay’ ซีรีส์ที่จบไปนานแล้วและส่งผลให้ ‘โอจองเซ’ (Oh Jung Se) นักแสดงวัย 43 ปี ผู้รับบท ‘มุนซังแท’ ชายหนุ่มผู้มีอาการ ‘ออทิสติก’ คว้ารางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม จากเวที Baeksang Arts Awards ครั้งที่ 57 มาได้ในที่สุด

ส่วนเรื่องที่ 2 คงจะเป็นเรื่องไหนไปไม่ได้นอกจาก ‘Move to Heaven’ ที่กำลังเป็นที่พูดถึงอย่างมากมายในขณะนี้ กับเนื้อหาที่กินใจ เรียกน้ำตาจนใจหวิว และที่แน่ ๆ กับการแสดงของ ‘ทังจุนซัง’ น้องเล็กของสหายผู้กองที่สวมบทบาทเป็น ‘ฮันกือรู’ หนุ่มน้อยที่เติบโตมาพร้อมกับอาการ ‘แอสเพอร์เกอร์’ จนผู้ชมหลงรักฮันกือรูในที่สุด แต่ยังมีหลายเสียงที่เปรียบเทียบการแสดงของทั้งคู่ ว่ายังมีความต่างในการเข้าถึงบทบาทกันอยู่มาก ‘ฮันกือรู’ แอกติ้งไม่ชัดเท่ากับ ‘มุนซังแท’ เลยนะ ถ้าเทียบกันแล้วยังไม่เนียนเท่ามุนซังแทหรอกน่า มันต้องหลุกหลิกกว่านี้สิ หรือว่าไง

ประเด็นนี้จึงเป็นประเด็นที่น่าสนใจสำหรับเราเป็นอย่างมาก จนอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบ ‘ความเหมือนที่แตกต่าง’ ของตัวละครสองตัวนี้กันสักหน่อย ว่าพวกเขามีความ ‘เหมือน’ และ ‘แตกต่าง’ กันอย่างไรบ้าง จากความทรงจำและความเข้าใจที่ได้รับชมซีรีส์ทั้งสองเรื่อง

1. มีความบกพร่องทางพัฒนาการเหมือนกัน แต่ต่างกันที่กลุ่มอาการ

มุนซังแทเป็น ‘ออทิสติก’ แต่ฮันกือรูเป็น ‘แอสเพอร์เกอร์’ 2 อาการนี้เหมือนและต่างกันอย่างไร นพ.ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ได้อธิบายเรื่องนี้เอาไว้ จับใจความได้ว่า ถึงแม้ว่าแอสเพอร์เกอร์กับออทิสติกจะมีลักษณะคล้ายกันมาก แต่จุดที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคือเรื่องของภาษา ซึ่งตัวละครสองตัวนี้ได้แสดงให้เราเห็นกันชัด ๆ และสอดคล้องกับคำอธิบายของคุณหมอว่า มุนซังแท มีปัญหาในการใช้ภาษามากกว่า ฮันกือรู เขาพูดช้า บางครั้ง ติด ๆ ขัด ๆ หรือแม้แต่มีภาษาของตัวเองก็เคยทำมาแล้ว และมีระดับสติปัญญาต่ำกว่าอายุจริง

ในขณะที่ ฮันกือรู มีการใช้ภาษาที่ปกติ สื่อสารรู้เรื่อง เพียงแต่ไม่เข้าใจลูกเล่นของภาษาเท่านั้นเอง เขาไม่เข้าใจความหมายลึก ๆ คำเปรียบเทียบ คำประชดประชัน หรือแม้กระทั่งมุกตลกต่าง ๆ แต่จะมีระดับสติปัญญาในระดับปกติหรือสูงกว่าปกติ และสิ่งที่ทั้งสองคนนี้มีความคล้ายกันก็คือ การไม่สบตา ชอบแยกตัวอยู่คนเดียว สนใจสิ่งเดียวซ้ำ ๆ จนถึงขนาดเชี่ยวชาญและไม่เข้าใจในเรื่องของทักษะทางสังคม ซึ่งตัวละครทั้งสองตัว สามารถแสดงออกถึงอาการที่ตัวเองได้รับบทบาทมาได้อย่างแนบเนียน

2.มีปมเหมือนกัน แต่ต่างกันที่การรับมือ

เราจะเห็นเลยว่า มุนซังแท มีปมหลังที่เจ็บปวด เขาต้องเสียแม่ไปต่อหน้าต่อตาอย่างน่าตกใจ เขาเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง มีความหลังฝังใจกับสัญลักษณ์ของคนร้ายจนติดตาและฝังลึกอยู่ในความทรงจำ ความหวาดกลัวในแวบแรกส่งผลให้ภาพจำของเขาไม่ใช่เรื่องน่ายินดี เขาไม่สามารถรับมือกับความหวาดกลัวนั้นได้เมื่อนึกถึง และมีอะไรมาสะกิดเพราะขาดการเยียวยา

แต่ฮันกือรูมีปมหลังที่กล้าเปิดเผย เขารับรู้ตั้งแต่แรกว่าตัวเองเป็นลูกที่พ่อและแม่ขอมาเลี้ยง เขาได้เรียนรู้กับการยอมรับความจริงและเชื่อมั่นในการเป็นที่รัก ไม่ว่าต้นกำเนิดของเขาจะมาจากไหนก็ตาม แต่ความรักที่แท้จริงจะเยียวยาทุกสิ่งได้ และเขาได้รับมันแบบนั้น เพราะฉะนั้นการแสดงออกของทั้งสองคนย่อมแตกต่าง เพราะนอกจากจะเป็นอาการการที่ต่างกันแล้ว ปมในใจยังต่างกันอย่างสิ้นเชิง

3.มีคนเอาใจใส่เหมือนกัน แต่ต่างกันที่มุมมอง

มุนซังแทได้รับการเอาใจใส่จากน้องชายที่มองโลกอย่างบาดเจ็บ ถ้าจะเปรียบให้เห็นกันชัด ๆ ก็ไม่ต่างจากเตี้ยอุ้มค่อม พี่ก็ป่วย น้องก็เปลี้ย เด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่น้อยใจแม่มาตลอด ต้องดูแลพี่ชายที่เป็นออทิสติก รักก็สุดรัก แต่เหนื่อยก็สุดเหนื่อย ดูแลกันมาได้ตลอดรอดฝั่งขนาดนี้ ก็ต้องยกนิ้วให้แล้ว เพราะฉะนั้นด้านจิตใจของพี่ที่ออกอาการอาละวาดอยู่บ่อย ๆ คงไม่ต้องพูดถึง เพราะน้องก็แย่ไม่ต่างกัน

แต่ฮันกือรูได้รับการเอาใจใส่จากพ่อและแม่ ที่มองโลกในแง่ดี เปี่ยมไปด้วยความเมตตา ทุ่มเทความรักให้อย่างเต็มที่ประดุจลูกในไส้ ประเคนความอบอุ่นให้อย่างเต็มเนี่ยว และพร่ำสอนถึงการใช้ชีวิต วางแผนอนาคตให้ลูกอย่างระมัดระวัง ถ้าฮันกือรูจะนิ่งกว่ามุนซังแท จึงไม่ใช่เรื่องแปลก

4. ต้องปรับตัวและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน แต่ต่างกันที่เหตุการณ์

มุนซังแทเปลี่ยนที่อยู่มากกว่า 1 ครั้ง อย่างระหกระเหิน ไม่ต่างกับนกไร้รังที่เที่ยวได้บินไปหากิ่งไม้ หรือต้นไม้ใหญ่พึ่งพิงอาศัย เป็นการย้ายเพื่อหนีจากความจริงที่หวาดกลัว หนีจากอดีตที่จริง ๆ แล้วไม่มีวันหนีได้เพื่ออนาคตที่ดีกว่า การเปลี่ยนแปลงที่อยู่บ่อย ๆ สำหรับคนธรรมดาอย่างเรา ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องน่าสนุกนัก ยิ่งกับคนพิเศษแบบมุนซังแทด้วยแล้ว การต้องปรับตัวกับสถานที่ใหม่ คนใหม่ ๆ ที่ต้องพบเจอ คงยากยิ่งกว่าแมวย้ายบ้านเสียอีก

แต่ฮันกือรูไม่เคยห่างจากบ้านเลย การเปลี่ยนแปลงที่ฮันกือรูได้รับคือ ต่อไปนี้จะไม่มีพ่อแล้วและต่อไปนี้จะต้องรับผู้ชายคนใหม่เข้ามาในบ้านตามที่พ่อได้ฝากฝังไว้ ‘ไม่เปลี่ยนสถานที่แต่เปลี่ยนคน’ การที่มีคนแปลกหน้ารุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัว เป็นสิ่งที่ต้องปรับตัวกันทุกคนไม่ว่าเราจะแสนธรรมดาหรือพิเศษขนาดไหน แต่พื้นฐานความรักที่ฮันกือรูมี และการเชื่อฟังอย่างเหนียวแน่นกับคำสอน คำสั่งของพ่อ เขาจึงรับมือเรื่องนี้ได้อย่างงดงาม

5.ใช้เวลายอมรับสมาชิกใหม่เหมือนกัน แต่ต่างกันที่สถานะ

จะเห็นว่าทั้งสองคนมีสมาชิกในครอบครัวเพิ่มขึ้นมาใหม่ โดยที่เขาไม่ได้เชื้อเชิญ มุนซังแท ได้รับบทบาทเป็นพี่ชาย เมื่อ ‘โกมุนยอง’ ตกหลุมรัก ‘มุนคังแท’ น้องชายของเขาเข้าเต็มเปา ซึ่งจากเรื่องราวที่ซีรีส์นำเสนอเราจะเห็นได้ว่า กว่าเขาจะยอมรับเธอเข้ามาเป็นสมาชิกครอบครัวนั้นไม่ง่าย แต่ด้วยพื้นฐานจิตใจของคนที่มีความบกพร่องของพัฒนาการแบบรอบด้าน หรือ พีดีดี เขาจะซื่อสัตย์ต่อหัวใจตัวเอง เมื่อใกล้ชิด เมื่อคลุกคลีก็ทำให้เกิดความรัก

ส่วนฮันกือรูมีสถานะเป็นหลานชาย ที่อยู่ ๆ วันหนึ่งต้องเปลี่ยนผู้ปกครอง แถมผู้ปกครองที่พ่อมอบให้ก็เป็นคนที่เกิดมาไม่เคยเจอ เขายินยอมให้เข้ามาอยู่ในบ้านตามพ่อสั่ง แต่กว่าจะยินยอมให้เป็นสมาชิกในครอบครัว จนเป็นห่วงและรู้สึกว่าขาดไปไม่ได้ ไห้ร่วมโต๊ะอาหารด้วยอย่างที่เคยทำกับพ่อ ก็ใช้เวลาพิสูจน์ความรักกันยาวนาน ความแตกต่างของ มุนซังแท และ ฮันกือรู นอกจากเป็นอาการที่ต่างกลุ่มกันแล้ว พื้นฐานครอบครัว การบ่มเพาะ การเลี้ยงดูและปูมหลังฝังใจ ยังแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เราจะไม่เห็นฮันกือรูขังตัวอยู่ในที่แคบ หรือซ่อนตัวในผ้าห่ม เราจะไม่เห็นฮันกือรูทำร้ายผู้อภิบาล หรือกรีดร้องหวาดกลัวเมื่อมีใครมาสัมผัสด้านหลัง แต่เราจะเห็นสิ่งเหล่านั้นจากมุนซังแท ก็ปมเขาลึกกว่าเป็นไหน ๆ แต่เราจะเห็นความเอื้ออาทรและจิตใจที่ใสสะอาดจากทั้งสองคนเหมือน ๆ กัน ซึ่งนักแสดงทั้งสองคนได้ถ่ายทอดเอาไว้อย่างหมดจด จนเชื่อได้ว่าเขาเป็นคนนั้นจริง ๆ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส