“Off The Wall” คืองานอัลบั้มเดี่ยวชุดที่ 5 ของราชาเพลงป๊อป ‘ไมเคิล แจ็กสัน’ (Michael Jackson) ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงและเป็นสปริงบอร์ดที่พาให้แจ็กสันกลายเป็นศิลปินตัวท็อปของวงการ อะไรคือสิ่งที่ทำให้อัลบั้มนี้โดดเด่นจนเป็นที่แตกต่างจากอัลบั้มเดี่ยว 4 ชุดก่อนหน้านี้ของแจ็กสัน และทำให้มันกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของตำนานเพลงพอปคนนี้

ในช่วงเวลาที่แจ็กสันกำลังทำงานเพลงเดี่ยวที่ต่อมาจะกลายเป็นอัลบั้ม ‘Off The Wall’ ได้มีข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับเรื่องวงแตกระหว่างเขากับพี่ ๆ ในวง The Jacksons (หรือ The Jackson Five) หลังจากที่พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่จากอัลบั้ม ‘Destiny’ ที่มีเพลง R&B สุดฮิตอย่าง “Blame It On The Boogie” และเพลงยอดฮิตถล่มทลายอย่าง “Shake Your Body Down To the Ground” ที่ไมเคิล แจ็กสันเขียนร่วมกันกับแรนดีพี่ชายของเขา ซึ่งอัลบั้มชุดนี้ไต่ขึ้นไปถึงอันดับที่ 11 ของชาร์ต Billboard Pop Albums และขึ้นอันดับ 3 ของชาร์ตเพลง R&B แถมยังเป็นอัลบั้มแรกที่มียอดขายในระดับแพลตตินัมอีกด้วย ทั้ง ๆ ที่อัลบั้มชุด Destiny ประสบความสำเร็จมากขนาดนี้แต่มันก็ได้กลายเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่ไมเคิล แจ็กสันได้ร่วมทำเพลงกับพี่ ๆ ของเขาในนาม The Jacksons

The Jacksons

ก่อนหน้าที่จะมี Off The Wall แจ็กสันเคยทำงานเพลงเดี่ยวมาแล้วถึง 4 อัลบั้มกับค่ายโมทาวน์ (Motown) ได้แก่ ‘Got to be There’ และ Ben’ (1972) , Music & Me (1973) และ ‘Forever,Michael’ (1975) หลังจากนั้นแจ็กสันก็ได้ย้ายมาอยู่ค่าย ‘Epic Records’ และได้เห็นความเป็นไปได้ในทิศทางใหม่ ๆ ด้วยโอกาสที่ได้รับจากทางค่ายทำให้แจ็กสันกล้าที่จะนำเสนอความเป็นตัวเองในวัย 20 ต้น ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยไฟฝันและพลังสร้างสรรค์อย่างเต็มเปี่ยม เขาได้สกัดตัวตน เรื่องราว และอารมณ์ความรู้สึกที่บ่มเพาะให้เขาเป็น ‘ไมเคิล แจ็กสัน’ ถ่ายทอดออกมาอย่างสุดฝีมือในอัลบั้มชุดนี้

ในตอนที่แจ็กสันเริ่มทำอัลบั้ม Off The Wall เขายังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่เลยว่าสุดท้ายแล้วเขาอยากจะให้มันออกมาเป็นยังไง แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่แจ็กสันแน่ใจก็คือเขาไม่อยากให้มันฟังดูเหมือนกับงานเพลงของวง The Jacksons และอยากจะทำอะไรที่เขาได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างมีอิสระมากขึ้น อยากเพิ่มบางสิ่งที่ไม่เคยได้รับอนุญาตให้ทำมาก่อนในอัลบั้มอื่น ๆ ซึ่งพ่อของแจ็กสัน ‘โจเซฟ’ ก็ยินยอมและอนุญาตให้แจ็กสันเดินหน้าทำโปรเจกต์ Off the Wall และอนุญาตให้เขาทำการบันทึกเสียงโดยมีข้อแม้ว่ามันจะต้องไม่กระทบกับธุรกิจของวง ในขณะที่พี่ ๆ ของแจ็กสันต่างอยากจะช่วยทำงานนี้และมีส่วนร่วมในงานนี้ด้วย แต่แจ็กสันกลับอยากทำงานเพลงชิ้นนี้อย่างเป็นเอกเทศจากครอบครัวของเขาแต่อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วแรนดีก็ได้มีส่วนร่วมในอัลบั้มนี้ด้วยการเล่นเพอร์คัสชันในเพลง  “Don’t Stop ‘Til You Get Enough”

นักเขียนบทความทางดนตรี สตีเวน ไอวอรี (Steven Ivory) ได้ย้อนระลึกถึงเหตุการณ์ในตอนที่กำลังสัมภาษณ์วง The Jacksons ซึ่งตอนนั้น The Jacksons รู้ว่าไมเคิลกำลังจะทำงานเพลงเดี่ยวชุดใหม่ พวกเขาก็มีไอเดียกันว่าใครควรจะโปรดิวซ์งานเพลงในอัลบั้มนี้ซึ่งแน่นอนก็พวกเขายังไงล่ะ “พวกเขามีความรู้สึกว่าพวกเขานี่แหละควรจะเป็นคนทำมัน และพวกเขาก็บอกกับไมเคิลต่อหน้าผมเลยในช่วงบ่ายวันหนึ่งของเดือนกันยายนปี 1977” สตีเวน ไอวอรีรำลึก “พวกเรารอคอยที่จะโปรดิวซ์อัลบั้มของพวกเราเองมานานแล้ว” แจ็กกีพูดขึ้นมาถึงความดีใจที่จะได้โปรดิวซ์อัลบั้ม Destiny ของ The Jacksons “และหลังจากอัลบั้มชุดนี้ไมเคิลก็จะทำงานเดี่ยวของตัวเองอีกอัลบั้ม ซึ่งเขาก็คุยไว้กับใครหลาย ๆ คน แต่เขาก็คิดจะเก็บเรื่องนี้ไว้ให้กับครอบครัวและตั้งใจจะให้พวกเราโปรดิวซ์งานให้กับเขา ใช่มั้ย, ไมค์ ? ” จากนั้นไมเคิลก็หันมองไปทางอื่น ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น ความเงียบงันของเขาคือคำตอบ

ต่อมาแจ็กสันได้เจอกับโปรดิวเซอร์ ‘ตัวจริง’ ที่จะพาเขาไปสู่ยุคแห่งความเรืองรอง ในปี 1977 ในขณะที่เขากำลังถ่ายหนังเรื่อง ‘The Wiz’ กับ ไดอานา รอส (Diana Ross) เขาก็ได้พบกับ ‘ควินซี โจนส์’ (Quincy Jones) ผู้ที่ทำหน้าที่ควบคุมด้านดนตรีและเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับหนังเรื่องนี้ ในหนังเรื่องนี้แจ็กสันรับบทเป็น ‘หุ่นไล่กา’ และได้รับคำชื่นชมอย่างมากในการแสดงของเขา

ควินซี โจนส์ได้โปรดิวซ์อัลบั้ม Off The Wall และให้เครดิตโปรดิวซ์ร่วมกับแจ็กสันในเพลงที่เขามีส่วนร่วมในการแต่ง มีนักแต่งเพลงและนักดนตรีที่มีชื่อเสียงมากมายได้ทำงานร่วมกับแจ็กสันในอัลบั้มนี้ อาทิ ร็อด เทมเพอร์ตัน (Rod Temperton) จากวง Heatwave , พอล แม็คคาร์ตนีย์ (Paul MaCartney), สตีวี วันเดอร์ (Stevie Wonder) แพตตี ออสติน (Patti Austin), เดวิด ฟอสเตอร์ (David Foster) และอีกมากมาย การบันทึกเสียงทั้งหมดเกิดขึ้นใน 3 สตูดิโอในลอสแองเจลิสในช่วงวันที่ 4 ธันวาคม 1978 ถึง 3 มิถุนายน 1979 พวกเขาอัดภาคริทึ่มและร้องที่สตูดิโอ Allen Zentz ส่วนเครื่องเป่าอัดที่ Westlake Audio เครื่องสายอัดที่ Cherokee Studios ในเวสต์ฮอลลีวูด ส่วนการมิกซ์เสียงนั้นทำโดยมือรางวัลแกรมมี่ บรู๊ซ สวีเดียน (Bruce Swedien) ที่ Westlake Audio หลังจากนั้นเทปมาสเตอร์ก็ถูกส่งไปที่สตูดิโอ A&M ในแอลเอเพื่อทำมาสเตอร์ ต่อมาสวีเดียนได้ทำการมิกซ์เสียงให้กับแจ็กสันในอัลบั้มต่อ ๆ มารวมถึงอัลบั้มอันโด่งดังในปี 1982 ‘Thriller’

ไมเคิล แจ็กสัน และ ควินซี โจนส์

“She’s Out of My Life” เป็นเพลงที่เขียนโดย ทอม บาห์เลอร์ (Tom Bahler) ซึ่งเขียนให้กับโจนส์ไว้เมื่อ 3 ปีก่อนหน้าที่จะทำอัลบั้มนี้ ต่อมาแจ็กสันได้ยินและชอบเพลงนี้มากโจนส์เลยอนุญาตให้เขาเอาเพลงนี้ไปใช้บันทึกเสียงสำหรับอัลบั้ม โจนส์ก็เลยเรียกมือคีย์บอร์ดจากวง Heatwave นั่นก็คือ ร็อด เทมเพอร์ตัน มาเขียนอีก 3 เพลง ในตอนแรกร็อดตั้งใจจะเขียนมาเพื่อให้แจ็กสันและโจนส์เลือกมาใช้ 1 เพลงแต่สุดท้ายแล้วแจ็กสันชอบมันทั้งหมดเลยตัดสินใจใช้ทั้ง 3 เพลงที่ร็อดเขียน ก่อนที่จะอัดเสียงแจ็กสันใช้เวลาตลอดคืนเพื่อทำความเข้าใจเนื้อเพลงของเพลงทั้ง 3 ที่ร็อดเขียน แจ็กสันเสร็จการบันทึกเสียงร้อง 3 เพลงนี้ในการบันทึกเสียง 2 ครั้ง ส่วนร็อดนั้นได้ใช้วิธีการเขียนเพลงที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละเพลงหลังจากได้ใช้เวลาในการศึกษาและทำความเข้าใจภูมิหลังทางชีวิตและดนตรีของแจ็กสัน ร็อดได้ผสมเอาการแต่งทำนองแบบเดิมเข้ากับไอเดียใหม่ที่ผสมโน้ตเสียงสั้น ๆ เพื่อให้เหมาะกับสไตล์การร้องของแจ็กสัน ส่วนเพลง “Don’t Stop ‘Til You Get Enough” นั้นแจ็กสันเขียนขึ้นหลังจากที่เขาฮัมเมโลดี้ได้ในห้องครัว หลังจากที่ได้หมักบ่มกันจนได้ที่ในที่สุดแจ็กสันและโจนส์ก็ตัดสินใจที่จะทำการบันทึกเสียงกัน ควินซี โจนส์เชื่อว่าพวกเขาได้ลองเสี่ยงอย่างเต็มที่ในการที่จะผลิตงานเพลงอัลบั้ม Off The Wall และตัดสินใจทำมันให้ถึงที่สุด แม้กระทั่งงานปกพวกเขาก็ให้ความสำคัญด้วยซึ่งมันถือว่าเป็นปกอัลบั้มที่เป็นภาพจำเลยทีเดียว โดยเป็นภาพของแจ็กสันพร้อมรอยยิ้มสดใส กำลังสวมใส่สูททักซิโด้และถุงเท้าที่ถูกทำเบลอแต่ส่งประกายขาวโอโม่ ซึ่งจอห์น บรังคา (John Branca)  ผู้จัดการส่วนตัวของแจ็กสันกล่าวว่าทักซิโด้นั้นเป็นไอเดียของเขาและทีมงานส่วนถุงเท้านั้นเป็นไอเดียของแจ็กสัน

ปกอัลบั้ม Off The Wall

Off The Wall เป็นอัลบั้มที่กลมกล่อมไปด้วยแนวดนตรีอันหลากหลายไม่ว่าจะเป็นฟังก์ ดิสโก้ ป๊อป โซล ซอฟต์ร็อก รวมไปถึงบัลลาดป๊อปเพราะ ๆ เช่นเพลง “She’s Out of My Life” ส่วนเพลงที่เป็นแนวฟังก์ก็คือ “Workin’ Day and Night” ส่วนดิสโก้ก็จะเป็นเพลง “Get on the Floor” แต่ถ้าอยากฟังแจ๊สก็ต้องฟัง “I Can’t Help It” ควินซี โจนส์ เคยกล่าวเปรียบเทียบแจ็กสันกับนักร้องเพลงแจ๊สระดับตำนานไว้มากมายโดยเขากล่าวว่าเนื้อเสียงของแจ็กสันนั้นมีคุณภาพที่ใกล้เคียงกับนักร้องเพลงแจ๊สผู้ยิ่งใหญ่ที่เขาเคยร่วมงานด้วยไม่ว่าจะเป็น เอลลา ซินาตรา อาเรธา หรือว่าเรย์ ชาร์ลส์ พวกเขาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีน้ำเสียงที่บริสุทธิ์และลายเซ็นอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งพาพวกเขาให้ไปสู่ความยิ่งใหญ่ “She’s Out of My Life” เป็นเพลงบัลลาดป๊อปที่ทำให้เราเห็นถึงการร้องถ่ายทอดอารมณ์อย่างลึกซึ้งของแจ็กสัน เนลสัน จอร์จ (Nelson George) นักวิจารณ์ดนตรีได้บอกว่าเพลงนี้ได้กลายมาเป็นลายเซ็นของแจ็กสันแบบเดียวกันกับที่ “My Way” คือลายเซ็นของซินาตราทั้งความอ่อนไหวในอารมณ์ผนวกกับความเปราะบางซึ่งหลอมเข้าไปในบุคลิกนิสัยของแจ็กสันซึ่งได้ผ่านการถ่ายทอดอารมณ์ที่ลุ่มลึกในบทเพลงบัลลาดบทเพลงนี้ ส่วน “Rock with You” ก็เป็นเพลงจังหวะชวนโยกเบา ๆ ที่มีกลิ่นความโรแมนติกอบอวล เพลงในอัลบั้มนี้มีท่วงท่าและลีลาที่หลากหลายตั้งแต่เพลงช้าอารมณ์ซึ้งอย่าง  “She’s Out of My Life” ไปจนถึงเพลงเร็วเท้าไฟอย่างเพลง “Workin’ Day and Night” นอกจากนี้ยังมีเพลงเพราะติดหู “It’s the Falling in Love” ที่ได้นักร้อง R&B แพตตี ออสติน มาเป็นเกสต์ ซึ่งจริง ๆ แล้วเพลงนี้ไม่ได้เป็นเพลงออริจินอล แต่เป็นคัฟเวอร์เวอชันมาจากต้นฉบับของ แคโรล ไบเออร์ เซเกอร์ (Carole Bayer Sager) ซึ่งบันทึกเสียงครั้งแรกในอัลบั้ม ‘…Too’ ในปี 1978 ซึ่งแคโรลเขียนเพลงนี้ร่วมกับเดวิด ฟอสเตอร์เจ้าพ่อเพลงฮิตนั่นเอง

ถึงแม้ ‘Off The Wall’ จะไม่ใช่อัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของไมเคิล แจ็กสัน แต่มันคืองานเพลงชุดแรกที่แจ็กสันกล้าที่จะทิ้งอดีตแต่หนหลังเมื่อครั้งยังอยู่กับ The Jacksons และโมทาวน์เพื่อก้าวมาสู่พรมแดนใหม่ที่จะทำให้เขาได้กลายเป็นราชาเพลงป๊อปผู้เขย่าเวทีทั่วโลกให้สะเทือนและเขย่าหัวใจของแฟนเพลงให้เต้นระทึก เนื้อหาของเพลงในอัลบั้มพูดหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการปลดปล่อยตนเองไปตามจินตนาการ, ความเหงาอ้างว้าง, การเชิดชูความสุข และ เรื่องราวของความรัก

ท่วงทำนองและใจความจากเพลง “Off The Wall” ไตเติลแทร็กของอัลบั้ม คือสิ่งสำคัญที่บอกเราว่าไมเคิล แจ็กสันคิดอย่างไรเมื่อตอนทำงานเพลงอัลบั้มนี้ และเขามีความปรารถนาที่จะทำในสิ่งใดต่อไป คำว่า “Off The Wall” นั้นเป็นสำนวนหมายถึงการทำตัว “แปลก” “ประหลาด” “ไม่อยู่ในร่องในรอย” ซึ่งในที่นี้แจ็กสันคงอยากจะบอกว่าขอเขาทำตัว “หลุดโลก” ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระแบบไม่มีอะไรมาขวางกั้นดูสักครั้งบ้างซิน่า  “Life ain’t so bad at all If you live it off the wall” (ชีวิตนั้นมันไม่เลวร้ายเลย หากเธอได้ใช้ชีวิตสุดขั้วรั่วตามปรารถนาเสียบ้าง)

So tonight gotta leave that nine to five upon the shelf

And just enjoy yourself

Groove, let the madness in the music get to you

Life ain’t so bad at all

If you live it off the wall

Life ain’t so bad at all (live life off the wall)

Live your life off the wall (live it off the wall)

แจ็กสันได้วางอดีตเอาไว้ข้างหลัง ไม่ว่าจะเป็นความเข้มงวดกวดขันอันหนักหน่วงจากพ่อของเขา หรือความไม่มั่นใจที่จะก้าวออกมาอยู่ท่ามกลางสปอตไลต์ในฐานะศิลปิน เขาได้สลัดความขี้อายและความไม่มั่นใจนี้ออกไปและพร้อมทะยานไปข้างหน้าอย่างสุดตัวพร้อมท่วงทำนองที่ติดหูทันทีเมื่อได้ฟัง ทั้งสนุก เปี่ยมไปด้วยพลัง และงดงามอันผสมผสานขึ้นมาจากท่วงทำนองของดนตรี R&B ดิสโก้และแนวอื่น ๆ นู่นนิดนี่หน่อยพออร่อยและพร้อมจะพาคนฟังเต้นตามกันไปทั้งบ้านทั้งเมือง จนได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในอัลบั้มดิสโก้ที่ยอดเยี่ยมที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องที่ตลกดีที่ในตอนแรกควินซี โจนส์นั้นเกือบจะเอาความเป็นดิสโก้ออกไปจากอัลบั้มนี้แล้ว “จริง ๆ แล้วแผนการในตอนแรกของเราก็คือเราตั้งใจที่จะเอาดิสโก้ออกไป ผมเลื่อมใสในดนตรีดิสโก้นะอย่าเข้าใจผมผิด แต่ผมแค่คิดว่ามันมาไกลพอแล้วล่ะ” 

นักวิจารณ์มักจะเอาอัลบั้มนี้ไปเทียบกับ ‘Thriller’ ซึ่งหลายคนยกย่องว่าเป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดของแจ็กสัน Off The Wall มียอดขายกว่า 20 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลกทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในอัลบั้มขายดีที่สุดตลอดกาล เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ปี 2021 อัลบั้มชุดนี้ก็ได้รับการันตีระดับ 9x แพลตตินัมจาก RIAA และเมื่อปี 1980 ในงานประกาศผลรางวัลแกรมมี่อัลบั้มนี้ก็ได้เข้าชิงถึง 2 สาขารางวัลด้วยกันและทำให้แจ็กสันชนะรางวัลการแสดงเพลงร้องอาร์แอนด์บียอดเยี่ยมสำหรับเพลง “Don’t Stop ‘Til You Get Enough” และในปี 2008 Off The Wall ก็ได้รับการบรรจุให้เข้าไปอยู่ใน Grammy Hall of Fame

ไมเคิล แจ็กสัน

อัลบั้มนี้คือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของไมเคิล แจ็กสัน ที่แฟนเพลงและนักฟังเพลงทั่วโลกต่างให้การยกย่องและยังคงย้อนกลับไปฟังมันอยู่เสมอซึ่งเมื่อวันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมาอัลบั้มชุดนี้ก็มีอายุครบ 42 ปีแล้ว ด้วยความชาญฉลาดอันเปี่ยมไปด้วยอารมณ์อันลุ่มลึกของแจ็กสัน สัมผัสทางด้านจังหวะที่เฉียบคมและบริสุทธิ์ รวมไปถึงธรรมชาติของแจ็กสันที่มีความเป็นอินโทรเวิร์ต ล้วนแล้วแต่เป็นส่วมผสมที่สำคัญสำหรับศิลปินหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังจะแนะนำตัวตนที่แท้จริงของเขาให้กับสาธารณชนได้รับรู้เพื่อที่จะก้าวไปสู่การเป็นซูปเปอร์สตาร์ผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคตและได้กลายเป็นตำนานแห่งวงการดนตรีไปในที่สุด

Source

1 /2 /3

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส