[รีวิว] Bridgerton SS2: รักน้ำเน่าของท่านเคานต์มีปม
Our score
7.6

ผลงานสร้างของ

Shondaland

จำนวนตอน

8 ตอน

[รีวิว] Bridgerton SS2: รักน้ำเน่าของท่านเคานต์มีปม
Our score
7.6

จุดเด่น

  1. คอสตูมอลังการรักษามาตรฐานที่ทำไว้ไม่มีแผ่ว
  2. ในความเป็นซีรีส์โรมานซ์ที่สร้างมาจากนิยายถือว่าเป็นการดัดแปลงที่ทำให้เห็นมุมมองของผู้สร้างได้ดี และมีเนื้อหาที่แน่นขึ้นน่าติดตาม
  3. คอนิยายให้ลืมนิยายไปค่ะ แล้วการรับชมจะมีอรรถรสไปอีกแบบ

จุดสังเกต

  1. บทกระจายความสำคัญและชูการปูไปถึงซีซัน 3 มากไปจนทำให้คู่เอกดอร์ปลงไปกว่าที่ควรจะเป็น
  2. การเปลี่ยนแปลงบทในหลาย ๆ ฉากของตัวแสดงหลัก ทำให้คู่หลักขาดเรื่องราวที่เป็นไคล์แม็กซ์ไปมาก
  • ความสมบูรณ์ของบท

    6.0

  • คุณภาพนักแสดง

    8.0

  • คุณภาพงานสร้าง

    9.0

  • คุณภาพการเล่าเรื่อง

    7.0

  • ความคุ้มค่าในการรับชม

    8.0

หลังจากที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก สำหรับซีรีส์ Love Drama Comedy ‘Bridgerton’ ที่สร้างมาจากผลงานอันเลื่องชื่อของ ‘จูเลีย ควินน์’ (Julia Quinn) นักเขียนนิยายมือรางวัลที่มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่งในกลุ่มนิยายโรมานซ์ ซีซันแรกเป็นเรื่องราวของ ดาฟนีและดยุคแห่งเฮสติงส์ ซีซันนี้จะโฟกัสไปที่เรื่องราวความรักระหว่างพี่ชายคนโตแห่งตระกูลบริดเจอร์ตัน คือ แอนโทนี บริดเจอร์ตัน และเคท ชาร์มา

Bridgerton

สำหรับซีรีส์ชุดนี้ทางผู้สร้างก็ได้ประกาศไว้แล้วนะคะว่าจะผลิตออกมาถึง 4 ซีซันจากหนังสือชุดบริดเจอร์ตัน 4 เล่ม ซึ่งจะเป็นเล่มไหนบ้างนั้นก็เป็นเรื่องที่คงต้องเดากันไปก่อน เพราะเขาไม่ได้บอกเอาไว้แฮะ แต่ถ้าจะให้ผู้เขียนเดาละก็ อาจจะเรียงลำดับ 1-4 หรืออาจจะจับเอาเรื่องที่โด่งดังที่สุดในบรรดา 8 เล่มมาทำก็เป็นได้ เพราะจากซีซันแรกที่เล่าเรื่องราวในเล่มที่ 1 ‘ดยุคในดวงใจ’ (The Duke & I) ผู้สร้างก็สานต่อเรื่องราวในเล่มที่ 2 ทันทีคือ ‘ไวส์เคานต์ที่เฝ้ารอ’ (The Viscount Who Loved Me) และทั้งสองเรื่องก็เป็นเรื่องที่เข้ารอบสุดท้ายในรางวัล RITA ประเภท Long Historical RITAs ซึ่งผลงานชุดบริดเจอร์ตันเข้ารอบสุดท้ายถึง 4 เรื่องและคว้ารางวัลนี้มาได้ 1 เรื่องคือเล่มที่ 8 ‘วิวาห์ชะตารัก’ (On The Way To The Wedding)

(*รางวัลริต้า คือรางวัลที่เป็นเกียรติยศสูงสุดของงานแนวโรมานซ์ ตั้งชื่อตาม ริตา เคลย์ เอสตราดา (Rita Clay Estrada) เจ้าแม่นิยายโรมานซ์ผู้มีชื่อเสียงและเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งสมาคมนักเขียนนิยายโรมานซ์แห่งอเมริกา)

เรื่องมันเน่าขอเล่าเข้ม ๆ

จากซีซัน 1 หากจะมีใครสักคนจำได้แอนโทนี เป็นพี่ชายคนโตที่ไม่เชื่อในความรักแต่เขาก็มีคู่นอนเป็นนักร้องโอเปร่าคนหนึ่ง เกือบจะคิดจริงจังแล้วเชียวแต่ก็ถูกปฏิเสธจากเธอในที่สุด ในหนังสือมีการกล่าวถึงนักร้องโอเปร่านิดเดียวค่ะ แต่ในซีรีส์โผล่มาหลายฉากซะเหลือเกิน ก็เป็นการปูเอาไว้นะคะว่าแอนโทนีนั้นเสเพลได้ใจ เลดี้วิสเซิลดาวน์จะคิดว่าเขาไม่มองหญิงใดเลยก็คงจะไม่แปลก และเรื่องราวต่าง ๆ มันก็เริ่มแบบยุ่ง ๆ ด้วยเสียงซุบซิบจากเลดี้วิสเซิลดาวน์อีกแล้ว

แอนโทนี บริดเจอร์ตัน

..ฤดูออกงานของปี 1814 คงมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย แต่ผู้เขียนเชื่อว่า แอนโทนี บริดเจอร์ตันผู้หวงแหนสถานภาพชายโสดของตนอย่างยิ่งยวดคงเป็นข้อยกเว้น ขุนนางหนุ่มผู้นี้ดูไม่มีท่าทีอยากจะแต่งงานเลยแม้แต่น้อยและในความเป็นจริง เขาจะอยากลงหลักปักฐานไปทำไมเล่า ในเมื่อเขาเล่นบทชายเสเพลได้ดีเกินหน้าบุรุษใด..

–หนังสือพิมพ์ข่าวสังคมของเลดี้วิสเซิลดาวน์, เมษายน 1814–

แต่ครั้งนี้นักเขียนคอลัมน์ข่าวซุบซิบเดาผิดเพราะ ‘แอนโทนี บริดเจอร์ตัน’ (โจนาธาน เบลีย์) เพิ่งตัดสินใจที่จะแต่งงาน เพราะคิดว่าตัวเองจะต้องจากโลกนี้ไปไวแน่ ๆ จากความหลังฝังใจที่พ่อของเขาถูกผึ้งต่อยเสียชีวิต เมื่อเขาพบว่า ‘เอ็ดวินา ชาร์มา’ (ชาริธรา ชานดรัน) เป็นเพชรน้ำเอกแห่งฤดูกาลหาคู่ครั้งนี้ เขาก็ตั้งใจแต่งงานกับหล่อนทันที แต่อุปสรรคหนึ่งเดียวของเขาก็คือ พี่สาวของว่าที่ภรรยา ‘เคท ชาร์มา’ (ซีโมน แอชลีย์) ที่รับรู้ชื่อเสียงในแง่ลบของเขาจากหูของตัวเองและจากข่าวซุบซิบของเลดี้วิสเซิลดาวน์ หล่อนจึงตั้งใจจะขัดขวางเขาไม่ให้แต่งงานกับน้องสาวของหล่อนทุกวิถีทาง ทั้งคู่ปะทะคารมณ์กันตั้งแต่งานเลี้ยงไปจนถึงทุก ๆ สถานที่ที่พบเจอ จนเกิดเป็นความรักระหว่างรบ (ด้วยฝีปาก) ในที่สุด

เคท-เอ็ดวินา ชาร์มา

เรื่องราวของพี่น้องตระกูลบริดเจอร์ตัน เป็นเรื่องราวน้ำเน่าอยู่แล้วนะคะ ซึ่งใน 2 ซีซันนี้ หรือว่ากันง่าย ๆ ก็คือหนังสือสองเล่มนี้มีสิ่งหนึ่งคล้าย ๆ กันก็คือ ความมีปมของพระเอก อารมณ์กาสะลองซ้องปีบเลยจ้ะ ในซีซันแรกท่านดยุคแห่งเฮสติงส์ มีปมเรื่องการมีลูก อยากมีเมียแต่ฉันจะไม่มีลูกกับเธอเด็ดขาด ส่วนพระเอกซีซันนี้ก็มีปมเรื่องความรัก ไม่อยากรักใครเพราะไม่อยากให้เมียต้องเศร้ามากถ้าเขาตายไปก่อน เพราะฉะนั้นผู้ที่ตั้งใจมาเสพ ก็เตรียมตัวเอาไว้เลยว่า คุณจะเจอกับเรื่องราวน้ำเน่าสุดพรรณาที่เป็นแบบฉบับของนิยายโรมานซ์ทั่วโลก เน่าทุกประเทศนั่นแหละจ้ะไม่มีใครน้อยหน้ากัน

จากนิยายเป็นละครที่ล้างไส้จนเกือบหมด

ซีรีส์ชุดนี้เขาชูเรื่องการเปลี่ยนแปลงเอาไว้อยู่แล้วจากซีซันแรกที่เราเห็น และมากมายขึ้นไปอีกที่ซีซันนี้อย่างที่หรี่ตามองก็ยังเห็นชัดซะด้วยสิ สำหรับคอนิยายอาจไม่ชอบใจจนถึงขั้นไม่อินกับการปรับเปลี่ยนชนิดล้างตระกูลกันไปเลย ด้วยการให้ตระกูลเชฟฟิลด์ ที่เป็นตระกูลฐานะปานกลางในลอนดอนกลายเป็นตระกูล ชาร์มา ตระกูลผู้ดีตกอับที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากอินเดีย แถมเรื่องราวของพระนางที่กว่าจะได้แต่งงานกันก็นู่นแน่ะเกือบจะจบเรื่อง ทั้งที่การแต่งงานของทั้งคู่ในนิยายเริ่มต้นมาจากการดูดพิษผึ้งที่หน้าอกท่ามกลางสายตาของผู้คน จนกลายเป็นเรื่องฉาวโฉ่ที่ทำให้สองคนต้องแต่งงานกันและกลายเป็นคู่รักคู่กัดกันอย่างดุเดือด

เคท-แอนโทนี

ซีรีส์ทำซีนนี้ออกมาเบา ๆ แบบเร้าอมรมณ์นิด ๆ ค่ะโดยการให้พระเอกตกใจมากจนนางเอกต้องดึงมือมาจับที่หน้าอกแล้วบอกว่า “แค่ผึ้งต่อยเอง ฉันไม่เป็นไร ดูสิ” แล้วตรงนั้นก็ไร้ผู้คนอีกต่างหาก ทำเอาคนดูอย่างอิฉันที่รอคอยซีนนี้เริ่มสงสัยแล้วว่าเขาจะเขียนให้เริ่มแต่งงานกันตอนไหนเนี่ย แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยคือความเข้มข้นที่ทั้งนิยายและซีรีส์ทำได้ดีกว่าซีซันแรก เรียกว่ามีเนื้อหาที่เข้มขนกว่าไม่เพ้อฝันเท่าซีซันแรก การเป็นคู่กัดยังคงอยู่แต่เพิ่มเติมคือกัดกันนานเชียวกว่าจะได้ครองคู่ เรียกว่าเหลือเอาไว้แต่โครงสร้าง เนื้อหนังมังสา ตับไตไส้พุงพี่แกเปลี่ยนแหลกลาญจนแทบจะกลายเป็นคนละคนกันเลยเชียว

พเนโลปี้ ฟีเธอริงตัน

ที่มากไปกว่านั้นก็คือการเล่าเรื่องแบบคู่ขนาน ที่อีกฝั่งก็เล่าเรื่องของคู่เอกกับเส้นทางการลับฝีปาก ส่วนอีกฝั่งก็เล่าถึงการตามหาเลดี้ วิซเซิลดาวน์อย่างจริงจังเหลือเกิน จากที่เฉลยตัวตนที่แท้จริงไว้แล้วในท้ายซีซันแรกว่าคือ ‘พเนโลปี้ ฟีเธอริงตัน’ (นิโคลา โคแลน) ด้วยการทุ่มสุดตัวของ ‘เอโลอิส บริดเจอร์ตัน’ (คลอเดีย เจสซี) ซึ่งฤดูการนี้ถึงคราวที่เธอจะเป็นสาวเดบูตองต์กับเขาแล้ว เรียกได้ว่าตีคู่กันมากับเส้นเรื่องหลักจนทำให้ความโดดเด่นของพระนางแลดูหมอง ๆ ลงไป ในมุมมองหนึ่งก็ดูจะมากไปแต่ก็เป็นไปได้ว่าผู้เขียนบทอาจปูทางไว้เพื่อให้ไปต่อในซีซัน 3

ครอบครัวบริดเจอร์ตัน

จุดนี้ทำให้เกิดการคาดเดาว่าซีซัน 3 ที่จะผลิตออกมาในอนาคตจะเอาเล่มไหนมาทำกันแน่ ด้วยเรื่องราวที่เน้นไปที่ตัวเลดี้ วิซเซิลดาวน์เหลือเกิน ทำให้ในซีซัน 3 ผู้เขียนขอบังอาจเดาว่าอาจจะเป็นเล่ม 4 ‘บริดเจอร์ตันที่ฝันใฝ่’ Romancing Mr Bridgerton ที่เป็นเรื่องราวของเพเนโลพีกับคอลิน โดยข้ามเล่ม 3 ‘สุภาพบุรุษสุดที่รัก’ An Offer From a Gentleman ที่เป็นเรื่องราวของเบเนดิกกับโซฟีไปเลยก็ได้ แล้วไปจบซีซัน 4 ที่ เล่ม 8 ‘วิวาห์ชะตารัก’ On The Way To The Wedding เรื่องราวของเกรกอรี ที่ได้รางวัล Best Long Historical Romance of the year จาก RITA Awards RITAs ในปี 2007 ทั้งหมดที่ว่ามานี่ เดาล้วน ๆ เลยนะจ๊ะ

การจิกกัด เหน็บแนม ที่ยังคงอยู่ไม่เสื่อมคลาย

เรื่องคอสตูมอลังการนี่ไม่ต้องพูดถึงค่ะ เพราะการประโคมโหมใส่อย่างวิจิตรมีให้เห็นอยู่แล้วอย่างไม่ต้องผิดหวัง ทรงผมฟองตางเก (The Fontange) ของราชินียังคงหัวสูงกว่าชาวบ้านอยู่คนเดียวอย่างสวยงาม เดินผ่านโคมเทียนไม่ได้นะคะ ไฟไหม้วังกันได้ง่าย ๆ จุดนี้ไม่มีแผ่วพอ ๆ กับเรื่องของการจิกกัดเสียดสีสังคม ในหนังสือว่าจิกกัดแล้ว ในซีรีส์จิกกัดยิ่งกว่าด้วยการไม่พูดพล่ามทำเพลงกับการตีความใหม่ของตัวแสดงที่เราแทบจะเคยชินอยู่แล้วจากซีซัน 1 คือการให้คนผิวสีมีบทบาทในสังคมชั้นสูงโดยที่สภาพความเป็นจริงในสมัยนั้นไม่มีวันที่จะผงาดขึ้นมาได้

บริดเจอร์ตัน

แต่ซีซันนี้เพิ่มเติมเข้าไปอีกด้วยการให้เห็นอีกมุมของวงสังคมไฮโซว่า ความรุ่มรวยที่เห็นนั้นได้แอบซ่อนปัญหาหน้าบางของผู้ดีเอาไว้อย่างร้ายกาจ คือฝั่งครอบครัวฟีเธอริงตัน ที่ผู้เป็นแม่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของครอบครัวด้วยวิธีการน่ารักเกียจที่สังคมภายนอกคงยากจะเข้าใจ เพื่อให้ตัวเองดูดีมีฐานะอยู่ตลอดเวลาทั้งที่ความจริงแล้วกำลังถังแตกขั้นสุด และการเป็นม้านอกสายตาของพเนโลปี้ ที่รูปลักษณ์ภายนอกของเธอไม่เป็นที่เตะตาของชายหนุ่ม ไม่มีใครสนใจเธอและไม่เคยมีใครเห็นเธอเป็นคนสำคัญ จนทำให้เธอต้องหาแสงให้ตัวเองด้วยการเป็นเลดี้วิสเซิลดาวน์ ถึงแม้ว่าต้องทำร้ายคนทั้งเมืองด้วยเสียงซุบซิบก็ตามที

ครอบครัวฟีเธอริงตัน

และที่มากไปกว่านั้นก็คือการชูความสามารถของผู้หญิงที่ผู้ชายมองข้ามมาตลอด พวกเธอเหล่านั้นอาจเป็นช้างเท้าหลังในวงสังคม แต่เบื้องหลังของเหตุการณ์ทั้งดีและร้าย มีสองมือแม่นี้ที่ครองโลกอยู่อย่างเห็นได้ชัด คืดหัตถาครองพิภพจบในตอนกันเลยจ้ะ

เนื้อหาแน่นขึ้น ฉากเซอร์วิสลดลงเยอะ

ใครที่คาดหวังว่าจะได้เห็นฉากเผ็ดร้อนแซ่บซี๊ดและมากมายจนประเคนกันแล้วประเคนกันอีกอย่างซีซันแรก ไม่มีจ้ะ กว่าเขาจะเข้าด้ายเข้าเข็มก็นู่นรอไปจนเกือบจะจบเรื่องนั่นแหละ เพราะซีซันนี้เน้นไปที่เนื้อหาของประเด็นสังคมมากกว่า ความเหลื่อมล้ำของฐานะ ความไม่เท่าเทียมโดยเฉพาะทางเพศ การแสวงหาผลประโยชน์จากความไว้ใจ จนเนื้อความของคู่พระนางแผ่วลงไปและออกจะรวบรัดในตอนท้าย ๆ เสียด้วยซ้ำ แง่ดีก็คือเราได้เห็นเนื้อหาในมุมอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น เข้มข้นขึ้น น่าติดตามขึ้นสมกับความเป็นนิยายและการตามต่อในซีซันต่อไปที่ดึงดูดให้ติดตามอยู่พอสมควร

เคท หญิงแกร่งแห่งยุครีเจนซี่

ส่วนความฟินของคู่พระนางนั้น น้อย สั้นแต่กลับเหมาะสมกันดีไม่ต่างจากซีซันแรก กับบทบาทที่ปั้นให้เคทเป็นผู้หญิงเก่งที่แทบจะเป็นผู้นำครอบครัว แทนที่จะเป็นจอมจุ้นจ้านแบบในนิยาย พอ ๆ กับแอนโทนีที่แบกภาระไว้บนบ่า ใบหน้าคม ๆ และคารมที่ไม่ยอมใครของซีโมน แอชลีย์ ที่มารับบทเคท ชาร์มาเหมาะสมมาก แต่อาจไม่เป็นที่นิยมของสาวกนิยายเท่าไหร่นัก ในบทนี้เคทเป็นตัวแทนของหญิงแกร่งที่สู้เพื่อแม่และน้องอย่างแท้จริง แถมสามีในอนาคตยังมีปมอมพะนำพระเอ๊กพระเอกว่างั้นเถอะ

ดูไปดูมานึกว่าดอกฟ้าและโดมผู้จองหอง ที่สลับหญิงชายกันเท่านั้น เน่ากว่านี้คงไม่มีอีกแล้วละ แต่ก็ดูไปยิ้มไป สาแก่ใจในบางฉาก ขัดใจในบางเวลา แต่ก็เป็นเนื้อเรื่องเรียบ ๆ ที่ดูรวดเดียวได้จบแบบไม่เบื่อ แล้วพบกันใหม่ซีซัน 3 นะจ๊ะ เลดี้วิสเซิลดาวน์ กล่าวไว้

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส