[รีวิว] Emergency Declartion : ดูเรื่องนี้แล้วความรู้สึกตอนขึ้นเครื่องบินจากนี้จะเปลี่ยนไป
Our score
8.0

Release Date

04/08/2022

2h 27m

ผู้กำกับ : ฮันแจริม

บทภาพยนตร์ : ฮันแจริม

นักแสดง : ซงคังโฮ, อีบยองฮอน, อิมชีวาน

[รีวิว] Emergency Declartion : ดูเรื่องนี้แล้วความรู้สึกตอนขึ้นเครื่องบินจากนี้จะเปลี่ยนไป
Our score
8.0

จุดเด่น

  1. บทภาพยนตร์เยี่ยม กระจายความสำคัญตัวละครได้ดี เล่าเรื่องราวคู่ขนานบนฟ้าและภาคพื้นได้อย่างน่าติดตาม
  2. อิมชีวอน ในบทตัวร้ายของเรื่อง ถ่ายทอดความโรคจิตออกมาได้น่ากลัว
  3. ฉากเครื่องบินดิ่งโลก ทำออกมาได้เยี่ยม สมจริง

จุดสังเกต

  1. ไวรัสดูน่ากลัวน้อยกว่าที่คิด ในพื้นที่ปิด กลับมีคนไม่ติดเชื้ออีกมาก
  2. องก์สุดท้ายค่อนข้างเนือย ทำให้รู้สึกว่าหนังยาวไปหน่อย
  • คุณภาพนักแสดง

    7.0

  • โปรดักชัน

    8.0

  • บทภาพยนตร์

    8.0

  • ความบันเทิง

    8.5

  • คุ้มค่าเวลาในการรับชม

    8.5

พล็อตดีมีชัยไปกว่าครึ่งครับ ที่เหลือก็เป็นองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น พล็อตเรื่องถูกนำไปขยายเป็นบทภาพยนตร์ที่ดี ผู้กำกับมือถึง นักแสดงมีฝีมือ โปรดักชันดี และที่สำคัญทุนสร้างที่เพียงพอ ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ Emergency Declartion มีครบครับ หนังมีพล็อตเริ่มต้นที่น่าสนใจ คนร้ายโรคจิตแอบเอาเชื้อไวรัสอันตรายถึงชีวิตซุกซ่อนขึ้นเครื่องบิน โดยหวังก่อวินาศกรรมแบบพลีชีพ จึงเลือกเอาเที่ยวบินที่มีผู้โดยสารเยอะ ๆ แล้วก็ตกลงใจเลือกเที่ยวบินจากโซล ไปฮอนโนลูลู ที่มีผู้โดยสารกว่า 150 ชีวิต เมื่อเริ่มต้นแผนการ ก็กลายเป็นความโกลาหลบนเครื่องบิน ผู้โดยสารและลูกเรือต่างทยอยล้มตาย ที่เหลือก็อยู่ในอาการอกสั่นขวัญแขวน เพราะต้องลุ้นให้ตัวเองรอดชีวิตไม่ติดเชื้อไวรัสตายไปก่อนที่เครื่องจะลงจอด แล้วก็ยังต้องลุ้นให้เครื่องลงจอดได้โดยสวัสดิภาพ เพราะกัปตันและผู้ช่วยนักบินก็ทยอยติดเชื้อกันไปทีละคน

สนับสนุนเนื้อหาโดย

ที่จริงแล้ว พล็อตที่ว่าด้วยสถานการณ์คับขันในสถานที่ปิดล้อมนี่สร้างเป็นหนังได้สนุกเสมอ ถ้าผู้กำกับไม่อ่อนด้อยประสบการณ์เกินไปนักนะ แล้วยิ่งเรื่องนี้กำหนดให้สถานที่ปิดล้อมในเรื่อง เป็นเครื่องบินที่อยู่กลางอากาศอีกด้วย แล้วยิ่งมีผู้ร่วมชะตากรรมนับร้อยคน สถานการณ์ยิ่งชวนระทึกเข้าไปใหญ่ พล็อตเริ่มต้นก็มองว่าน่าสนใจแล้ว พล็อตรองที่เติมเข้าไปก็ยิ่งเสริมเรื่องราวให้น่าติดตามมากขึ้นไปอีก ทำให้หนังสามารถเล่าเรื่องราวคู่ขนานกันไปได้ ทั้งบนเครื่องบิน และบนภาคพื้น

บนเครื่องนั้น ผู้ที่รับบทสำคัญคือ แจฮยอก คุณพ่อที่กำลังพาลูกสาวไปรักษาโรคเรื้อนกวางที่ฮาวาย รับบทโดย อีบยองฮอน พระเอกเกาหลีที่ได้โกอินเตอร์ไปฮอลลีวูด ใน G.I. Joe และซีรีส์ Squid Game เป็นบทที่เหมาะสมมากกับการเป็นจุดศูนย์กลางของเรื่อง แม้ว่าเขาจะเปิดตัวโดยที่ผู้ชมไม่รู้ที่มาที่ไปว่าเขาเป็นใครมาจากไหน แต่ก็เริ่มหยอดปริศนาน่าสงสัยเมื่อ ผู้ช่วยนักบินฮยอนซู เปิดเผยว่าเคยรู้จักกับเขาและมีความบาดหมางกันรุนแรง จนหนังเปิดเผยตัวตนของแจฮยอกในช่วงกลางเรื่อง และตัวตนของเขาก็ถูกนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างดีในองก์สุดท้ายของเรื่อง

อีบยองฮอน ในบท แจฮยอก

ส่วนภาคพื้นดินนั้น หน้าที่สำคัญตกเป็นของ อินโฮ รับบทโดย ซงคังโฮ ที่หลายคนคุ้นหน้าเขากันดีจากบทคุณพ่อใน Parasite จ่าอินโฮนั้นเป็นคนแรกที่เริ่มระแคะระคายว่าจะมีเหตุวุ่นวายบนเครื่องบิน และเริ่มลงมือสืบสวนด้วยตัวเอง จนเจอตัวตนของ จินซอก คนร้ายโรคจิตผู้ก่อเหตุ และเป็นตัวหลักที่จะพยายามหายารักษาไวรัสเพื่อช่วยชีวีตภรรยาที่บังเอิญอยู่บนเครื่องนั้นด้วย

อย่างที่เกริ่นไปว่า บทภาพยนตร์ขยายความออกมาดี ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับ ฮันแจริม ผู้กำกับที่เหมารวมหน้าที่เขียนบทเองด้วย แม้ว่า The King ผลงานก่อนหน้าของเขาเมื่อปี 2017 จะไม่เป็นที่รู้จักนัก แต่ค่ายหนังก็กล้าทุ่มเงินมหาศาล 28,000 ล้านวอน หรือประมาณ 7,xxx ล้านบาท ให้เขามาละเลงเล่นออกมาเป็นเรื่องนี้ ซึ่งงบส่วนหนึ่งก็หมดไปกับค่าตัวนักแสดงแถวหน้าของวงการหนังเกาหลีใต้นี่ล่ะ ซึ่งบทของแจริมก็สามารถกระจายบทบาทความสำคัญให้กับนักแสดงทุกคนได้ถ้วนหน้า แต่ละคนก็มีซีนสำคัญของตัวเอง

อิมชีวาน ในบท จินชอก

รายที่ผมประทับใจสุดเห็นจะเป็น จินซอก วายร้ายโรคจิตของเรื่อง บทนี้ได้ อิมชีวาน นักแสดงที่ผันตัวมาจากศิลปินวงบอยแบนด์ มารับหน้าที่ ในฐานะจุดเริ่มต้นหายนะของเรื่อง ชีวานทำหน้าที่นี้ได้ดีมาก แสดงความโรคจิตออกมาทางสีหน้าสายตาได้ดี ดูน่ากลัวและปูอารมณ์คนดูเข้าสู่นาทีแห่งความสยองขวัญได้ดี

แม้ว่าหนังจะยาวถึง 2 ชั่วโมง 40 นาที แต่หนังก็ไม่ได้ปูความกันยาวเลย แค่ 20 นาทีแรกก็พาคนดูเข้าสู่โหมดระทึกแล้ว พอผู้โดยสารคนแรกติดไวรัส หนังก็เหยียบคันเร่งเดินหน้าตลอด มีผ่อนเบาบ้างเป็นระยะแต่ไม่นานนัก ให้คนดูได้ลุ้นกับวิกฤตการณ์บนเครื่อง ว่าใครจะตายใครจะรอดบ้าง แล้วยังต้องลุ้นว่าสุดท้ายแล้วเครื่องจะลงจอดที่ไหนได้สำเร็จไหม ระหว่างนั้นก็ต้องลุ้นให้เครื่องไม่ตกอีก ฉากที่ระทึกที่สุดคือฉากที่เครื่องบินเสียการควบคุมแล้วกำลังดิ่งลงโหม่งโลก เป็นฉากที่ผู้สร้างภูมิใจ กล้องนี่หมุนติ้ว ๆ ผู้โดยสร้างในเครื่องกลิ้งกันไปมา เป็นงานภาพที่ถ่ายทอดเหตุการณ์ภายในเครื่องบินที่กำลังดิ่งได้สมจริงที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลย

เบื้องหลังความสมจริง เอานักแสดงมานั่งในเครื่องแล้วหมุนติ้วจริง ๆ

นอกจากความระทึกบนเครื่องแล้ว เราก็ยังได้สนุกกับการสืบสวนของจ่าอินโฮที่เดินควบคู่กันไป ซึ่งต้องสืบหาต้นตอของไวรัสอันตรายนี้แล้วหายารักษาให้ได้ทัน ก่อนที่เครื่องบินจะน้ำมันหมด แล้วร่วงลงโหม่งโลก ที่สอดแทรกเข้ามาระหว่างนี้ก็คือ เรื่องราวระดับการเมืองมีทั้งรัฐมนตรีคมนาคม และหัวหน้าศูนย์บรรเทาวิกฤตฉุกเฉิน ที่พยายามประสานงานไปยังประเทศต่าง ๆ เพื่อขอนุญาตให้เครื่องบินลำนี้ได้ลงจอด ขณะเดียวกันก็ต้องรับมือกับเสียงโต้แย้งของประชาชน ไม่ให้เครื่องบินลงจอด ตรงนี้ล่ะที่หนังหยิบเรื่องมนุษยธรรมเข้ามาเป็นคำถามกับคนดูได้ดี ว่าเหตุการณ์เช่นนี้ควรจะคำนึงถึง 150 ชีวิตบนเครื่องที่มีความสำคัญในฐานะพ่อแม่พี่น้องลูกเต้าของอีกหลายคน หรือจะคำนึงถึงความปลอดภัยระดับประเทศถ้าเกิดยอมให้เครื่องลงจอดแล้วควบคุมการแพร่ระบาดไม่อยู่

พอมีพล็อตที่ว่าด้วยวิกฤติในพื้นที่จำกัดแบบนี้ ที่ขาดไปไม่ได้ก็คือตัวละครที่เป็นตาลุงเห็นแก่ตัว ต้องการเอาชีวิตตัวเองรอด โดยไม่คำนึงถึงชีวิตคนอื่น และจะเป็นตัวละครที่คนดูเกลียด สาปแช่งให้ตาย ๆ ไปซะ แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็มีตัวละครแบบนี้ แต่ยังดีหน่อยที่บทหนังไม่ได้ให้เวลากับตัวละครนี้มากนัก โผล่มาแค่เป็นน้ำจิ้มเล็ก ๆ ให้คนดูหมั่นไส้เล่น

อีกจุดที่อยากชื่นชมคือดนตรีประกอบเรื่องนี้ ต้องยกย่องว่ามีบทบาทเทียบเท่านักแสดงบทสำคัญอีกคนเลย ทำหน้าที่ส่งอารมณ์ได้ดีมากโดยเฉพาะฉากตื่นเต้น Emergency Declartion จะมีจุดติก็ตรงองก์สุดท้ายนี่ล่ะ ที่ผ่อนคันเร่งลงเพื่ออัดดราม่าเข้ามาจนดูเนือยไปสักหน่อย แล้วเป็นช่วงที่หนังเลย 2 ชั่วโมงมาแล้วด้วย

เรียกว่าเป็นหนังที่ครบรสชาติครับ ตื่นเต้น สืบสวน แกล้มด้วยดราม่าพอประมาณ งานภาพเยี่ยม ดนตรีประกอบดี นักแสดงเด่น ซีจีเนียน หลังจาก Train to Busan มาก็มีเรื่องนี้ล่ะ ที่ทำได้สนุกลุ้นแบบจิกตีนในหลาย ๆ ฉาก จบได้สวยงามแล้ว ขออย่างเดียว หนังจบสมบูรณ์แล้ว อย่าสร้างภาค 2 เลย