[รีวิว] Call Me Chihiro: เหงา เศร้า ยิ้ม เราต่างเปลี่ยนไปผ่านการพบเจอใครสักคน
Our score
6.0

Release Date

23/02/2023

ความยาว

134 นาที

[รีวิว] Call Me Chihiro: เหงา เศร้า ยิ้ม เราต่างเปลี่ยนไปผ่านการพบเจอใครสักคน
Our score
6.0

Call Me Chihiro

จุดเด่น

  1. บทและการถ่ายทอดเรื่องราวที่น้อยแต่มาก สวยงามแต่แฝงความเศร้า สร้างความลึกของตัวละครและเรื่องราวได้น่าสนใจ แต่ไม่เครียดเลย เป็นหนังที่ดูแล้วยิ้มแล้วรู้สึกดีกับชีวิตได้มาก ๆ นักแสดงทำหน้าที่ได้ดีส่งเสริมหนังอย่างลงตัว

จุดสังเกต

  1. หนังยาวมาก และถ่ายทอดผ่านภาพหรือบทสนทนาเล็ก ๆ ที่ต้องตั้งใจเก็บรายละเอียดด้วย อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ไม่มีเวลาหรือสมาธิรับชม
  • บท

    7.5

  • โปรดักชัน

    6.5

  • การแสดง

    7.5

  • ความสนุกตามแนวหนัง

    6.5

  • ความคุ้มค่าการรับชม

    6.5

เรื่องย่อ: จิฮิโระเป็นอดีตหญิงขายบริการที่ทำงานในร้านเบนโตะเล็ก ๆ ในเมืองริมทะเล เธอได้พบเจอคนมากมายและถ่ายทอดวิธีการใช้ชีวิตในแบบของตัวเองในยุคที่ใคร ๆ ก็มีเรื่องให้ต้องดิ้นรนไม่มากก็น้อยในชีวิต

จากผลงานมังงะที่เริ่มตีพิมพ์ในปี 2013 เรื่อง ‘Chihiro-san (ちひろさん)’ ของอาจารย์ยาสุดะ ฮิโระยุกิ (Yasuda Hiroyuki) ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เดินต่อมาจากมังงะชื่อ ‘Chihiro (ちひろ)’ ในปี 1999 ว่าด้วยจิฮิโระที่เป็นหญิงขายบริการในภาคแรกได้ออกจากงานเดิมและออกเดินทางครั้งใหม่ โดยเริ่มต้นจากการเป็นพนักงานพาร์ตไทม์ของร้านขายข้าวกล่องญี่ปุ่นหรือเบนโตะในเมืองแห่งหนึ่ง

Call Me Chihiro

เมื่อถูกนำมาดัดแปลงเป็นหนังผ่านทางเน็ตฟลิกซ์ ก็ได้ผู้กำกับหนุ่มดาวรุ่งที่ล่ารางวัลมาจากหลายเวทีก่อนหน้าโดยเฉพาะ Tokyo International Film Festival ในปี 2022 ที่เป็นปีของ อิมาอิซึมิ ริกิยะ (Imaizumi Rikiya) อย่างแท้จริงจากหนัง ‘By the Window’ (2022) ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ของสามีที่จับได้ว่าภรรยานอกใจ เป็นดราม่าที่มีความเป็นผู้ใหญ่แต่นำเสนออย่างละเมียดผ่านตัวละครในวงการวรรณกรรม ด้วยบทบาททั้งกำกับและเขียนบทเองทำให้อิมาอิซึมิเป็นตัวเลือกที่ดีทีเดียวสำหรับการดัดแปลงมังงะที่มีเอกลักษณ์ส่วนตัวสูงและมีความยากในแบบต้องทั้งมียิ้มและมีน้ำตาอย่างจิฮิโระ

และน่าสนใจทีเดียวว่าอิมาอิซึมิได้เลือกนำเสนอจิฮิโระในแบบหญิงสาวปริศนาที่พลังงานบวกล้นเหลือ เธอเปล่งประกายความสุขและคุณค่าชีวิตไปยังผู้คนรอบข้างได้อย่างน่าอัศจรรย์ ในขณะเดียวกันเธอก็มีด้านที่ชวนสงสัย เช่นว่าเธอมักยอมรับอย่างตาซื่อว่าเคยทำงานขายบริการทั้งที่เป็นเรื่องน่ารังเกียจของสังคม หรือปมอดีตเกี่ยวกับครอบครัวของเธอที่ถ่ายทอดผ่านแววตาอันว่างเปล่าและชวนเศร้าจนน่าสนใจว่าเธอผ่านอะไรมา เคยมองเห็นโลกในแบบไหนมาก่อน

Call Me Chihiro

แต่อิมาอิซึมิก็ยังไม่ลืมว่าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่เพียงแค่ต้องทำให้เหล่าตัวละครมากหน้าหลายตาในชีวิตของจิฮิโระรู้สึก แต่ต้องสื่อพลังงานบวกไปผู้ชมได้ด้วย หนังจึงเต็มไปด้วยฉากที่สวยงาม-เนิบนิ่งให้ใจสงบ แต่ก็มีการแสดงและบทสนทนาที่ชวนยิ้มและตื้นตันร่วมไปด้วยกับตัวละครได้ เมื่อรวมกับพลังของดนตรีที่กินใจ หนังมันจึงมีเสน่ห์จากทั้งแรงจูงเราให้ตกภวังค์โลกสวย ในขณะเดียวกันก็คอยตบแก้มให้เรามีสติและกลับมานั่งคำนึงว่าภายใต้ความสวยงามมันมีความเศร้าอะไรซ่อนเอาไว้มากมายขนาดไหน

ทั้งนี้ความสำเร็จที่ว่ามาจะไปไม่รอดเลยถ้านักแสดงพาไปไม่ถึง โดยเฉพาะตัวละครนำอย่างจิฮิโระ แม้ว่า อาริมุระ คาซุมิ (Arimura Kasumi) จะเคยผ่านงานหนังใหญ่มาหลากหลายแนวทั้งบทนำในหนังจากมังงะซามูไรพเนจร ‘Rurouni Kenshin’ (2021) ทั้ง 2 ภาค หนังดราม่าปาฏิหาริย์ ‘Cafe Funiculi Funicula’ (2018) และล่าสุดในดราม่าโรแมนติก ‘Phases of the Moon’ (2022)

Call Me Chihiro

แต่กับเรื่องนี้น่าจะเรียกได้ว่าอาริมุระต้องดึงเอาเสน่ห์ทั้งหมดในตัวมาใช้เลยทีเดียว เพราะเธอต้องดึงสายตาคนดูตลอดทั้งเรื่องขณะเดียวกันหลายฉากบทก็ไม่ได้เปิดโอกาสให้ใช้ทักษะการแสดงทั่วไปเอาตัวรอด เพราะบางครั้งเธอแทบจะต้องสื่อสารผ่านแค่สายตากับการเคลื่อนไหวเล็กน้อยเท่านั้น แต่กระนั้นเราก็รู้สึกเลยว่าอาริมุระตรึงเราได้และยังเข้าใจมวลอารมณ์ในฉากนั้นโดยไม่ถูกเธอฉายแสงทับไป พูดได้ว่าจิฮิโระที่เป็นตัวละครซับซ้อนและมีความลึกหลายชั้น แต่อาริมุระก็คลี่อ่านอย่างละเอียดและถ่ายทอดมาได้อย่างกลมกล่อมทีเดียว

นอกจากนี้นักแสดงสมทบทั้งหลายก็สามารถถ่ายทอดเหล่าผู้คนบนโลกนี้ที่หลงลืมวิธียิ้มไปจากเรื่องราวแต่ละวันที่พบเจอไปแล้วได้อย่างดี หลายตัวละครทำให้เราฉุกคิดว่าเราเป็นพวกเขาอยู่ไหมในตอนนี้ เราไหลไปกับชีวิตจนลืมที่จะมีความสุขและมีชีวิตหรือเปล่า แต่ตัวละครจิฮิโระก็มีความฉลาดในการที่จะปลุกให้เราดูว่าคิ้วเราขมวดโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า หลายปัญหาที่มันเกิดขึ้นหนังก็ไม่ได้บอกว่ามันจะต้องแก้อย่างไร หนำซ้ำบางตัวละครไม่ได้จัดการกับปัญหานั้นได้แบบแฮปปีเอนดิงในหนังตามสูตรทั้งหลายด้วยซ้ำ แต่จิฮิโระก็แค่คอยเตือนเราว่า พวกเราไม่ได้อมทุกข์มาตั้งแต่เกิด เราเคยยิ้มเคยหัวเราะมาก่อน และบางครั้งในยามที่รู้สึกแย่หรือไร้คนแยแส มันก็แค่นึกให้ออกว่าเราเคยยิ้มและหัวเราะได้ยังไง

Call Me Chihiro

แต่ละผู้คนแต่ละชีวิตที่จิฮิโระพบเจอสอนเราว่า เราส่งอิทธิพลเปลี่ยนคนอื่นไม่มากก็น้อยในทุกการพบเจอ และเมื่อหนังเดินไปจนเราตกหลุมรักจิฮิโระที่เต็มไปด้วยบาดแผลอย่างไม่รู้ตัว เราก็ลุ้นเอาใจช่วยให้เธอได้พบความสุขที่แท้จริงเสียที ซึ่งนี้น่าจะเป็นความสำเร็จที่ต้องปรบมือให้ทั้งนักแสดงและผู้กำกับจริง ๆ หนังดูง่ายเพลินและทำให้รู้สึกดีมาก อยากให้รับพลังงานบวกกันดูครับ

Call Me Chihiro

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส