[รีวิว] Finch : งานโชว์เดี่ยวของทอม แฮงก์ส อีกครั้งที่ดีต่อใจ
Our score
8.3

PG-13 1h 55m

Director Miguel Sapochnik

Writers Craig LuckIvor Powell

Stars Tom HanksCaleb Landry JonesMarie Wagenman

[รีวิว] Finch : งานโชว์เดี่ยวของทอม แฮงก์ส อีกครั้งที่ดีต่อใจ
Our score
8.3

จุดเด่น

  1. ทอม แฮงก์ส ยังคงคุมหนังอยู่กับงานนำเดี่ยวแบบนี้ ไม่โดนหุ่นยนต์หรือหมากลบรัศมี
  2. งานซีจีทำได้เนี้ยบ ทั้งภาพพายุทอร์นาโด และงานโมชันแคปเจอร์
  3. ออกแบบหุ่นยนต์เจฟฟ์ได้ดี ให้ออกมาสมกับเป็นงานบ้าน ๆ ทำมือประกอบเอง แต่สื่อความน่ารักน่าสงสารออกมาให้สัมผัสได้
  4. คนบ่อน้ำตาตื้นมีได้เสียน้ำตาเป็นแน่

จุดสังเกต

  1. เสียดายที่หนังไม่ได้ฉายโรง ไม่งั้นจะสัมผัสอารมณ์ความรู้สึกจากตัวหนังได้มากกว่านี้
  • ตรระกะความสมเหตุสมผลของบทภาพยตร์

    8.0

  • คุณภาพงานสร้าง

    8.0

  • คุณภาพนักแสดง

    9.0

  • ความสนุกตามแนวหนังดราม่า-ไซไฟ

    8.5

  • คุ้มค่ากับเวลาการรับชม

    8.0

Finch เป็นหนังฟอร์มใหญ่อีกเรื่อง ที่โดนผลกระทบจากสภาวะโควิด-19 แพร่ระบาด ทั้งที่หน้าหนังนี่ก็น่าจะมั่นอกมั่นใจได้เลยว่าลงโรงฉายแล้วก็น่าจะเรียกผู้ชมเข้าโรงได้อย่างมาก เพราะหนังได้ ทอม แฮงก์ส (Tom Hanks) มารับบทนำในแนวถนัดที่เล่นคนเดียว ในบทมนุษย์คนท้าย ๆ บนโลกมนุษย์ หลังเกิดวิกฤตการณ์ดวงอาทิตย์ปะทุแผ่ความร้อนสูงขึ้นถึง 60 องศาเซลเซียส ส่งผลให้ผู้คนและต้นไม้ตายเกือบหมด เหลือเพียงตัวเขาที่ต้องเอาชีวิตรอดกับหมาสุดรักตัวหนึ่ง แต่ก็อยู่ในสภาพป่วยหนัก ด้วยความที่เป็นวิศวกรจักรกลก็เลยสร้างหุ่นยนต์ขึ้นมาเพื่อให้ดูแลหมาโดยเฉพาะ ถ้าเขาต้องจากโลกนี้ไปก่อน

ความน่าสนใจของ Finch เริ่มตั้งแต่บทหนังที่เขียนโดย เครก ลักค์ (Craig Luck) และ อิวอร์ โพเวลล์ (Ivor Powell) ขาเก๋าที่คลุกคลีในงานเบื้องหลังมายาวนาน แต่เพิ่งร่วมกันเขียนบทเรื่องแรก แล้วบทก็ได้รับความสนใจจาก โรเบิร์ต เซเมกคิส (Robert Zemeckis) ผู้กำกับคู่บุญของ ทอม แฮงก์ส ด้วยเหตุนี้หนังก็เลยได้แฮงก์สมารับบทนำ แต่ยังไม่มีนายทุนให้งบสร้าง โปรเจกต์กลายเป็นที่สนใจของสตูดิโอใหญ่มากมายที่ต่างเข้าร่วมประมูลกันชิงการเป็นเจ้าของสิทธิ์ในโปรเจตก์นี้ แล้วยูนิเวอร์แซลก็เป็นผู้ชนะไป แต่เหมือนโชคดีแต่กรรมบัง เมื่อหนังสร้างเสร็จแล้ว วางกำหนดฉายไว้ว่าเป็น ตุลาคม 2020 ตอนนั้นโรงหนังก็ยังไม่เปิด หนังก็เลื่อนออกไปอีก 4 ครั้ง จนไม่ไหวละ ยูนิเวอร์แซลยอมตัดใจขายหนังให้กับ Apple Tv ที่เพิ่งปล่อยสตรีมมิงไปเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้เอง

Caleb Landry Jones

ผู้เขียนเองนั้นประทับใจกับหนังที่มีตัวเอกของเรื่องเป็นหุ่นยนต์อยู่แล้ว นับย้อนไปตั้งแต่ Short Curcuit (1986) ผ่านมาจนถึง Real Steel (2011) และ Chappie (2015) ทุกเรื่องนี้ล้วนมีจุดที่เหมือนกัน คือสร้างสรรค์คาแรกเตอร์หุ่นยนต์ให้ออกมาดูน่ารักบริสุทธิ์ ตั้งใจกันตั้งแต่ภาพลักษณ์ที่ดูเหมือนเด็ก ๆ ไร้เดียงสา และน้ำเสียงที่ดูน่าสงสาร ซึ่งหุ่นยนต์ เจฟฟ์ ใน Finch นี้ ก็ยึดตามสูตรสำเร็จนี้เป๊ะ ๆ ตรงนี้ก็ต้องชื่นชมไปถึงตัว คาเล็บ แลนดรี้ โจนส์ (Caleb Landry Jones) นักแสดงสมทบซึ่งมักจะได้บทตัวร้าย แต่ด้วยเป็นภาพลักษณ์ที่เป็นชายร่างเล็ก ผิวขาวซีด ดูบอบบางก็นับว่าเป็นตัวเลือกที่ค่อนข้างเหมาะในการสวมชุดสต็อปโมชันเป็นต้นแบบให้กับตัวหุ่นยนตร์เจฟฟ์ในเรื่องนี้ และสำคัญที่สุดคือเสียงที่โจนส์เป็นผู้ให้เสียงพากย์เอง เป็นเสียงหงอย ๆ เนิบ ๆ ทำให้เจฟฟ์ดูน่าสงสารจับใจคนดูมากขึ้นอีกเป็นกอง น่าสงสารถึงขนาดที่ว่า ทำเอาเราเข้าข้างเจฟฟ์ไปได้หมดใจเลยจนลืมไปว่าเค้าคือหุ่นยนต์ แล้วรู้สึกเคืองฟินช์เอาด้วยตอนที่ระเบิดอารมณ์ต่อว่าเจฟฟ์แรง ๆ ทีมงานออกแบบสร้างสรรค์หุ่นนี่เก่งจริง ๆ แม้กระทั่งเจ้าดิวอี้ หุ่นล้อเลื่อนที่พูดไม่ได้ มีแค่เสียง ‘ปุ๊บปิ๊บ’ ก็ยังมีบทบาทต่อใจทำให้เรารู้สึกสงสาร และเอาใจช่วยในฉากสำคัญของมันไปด้วยได้

ฟินช์ และ ดิวอี้

หนังที่มีทั้งหุ่นยนต์และหมาเป็นตัวชูโรงแบบนี้ จำเป็นเลยที่จะต้องได้นักแสดงตัวพ่อเท่านั้นถึงจะรับมืออยู่ ก็ต้องระดับทอม แฮงก์สนี่ล่ะ ซึ่งงานนำเดี่ยวแบบนี้ก็ถือว่าเป็นทางถนัดของ ทอม แฮงก์ส อยู่แล้ว ขนาด Cast Away(2000) ที่เล่นคนเดียวทั้งเรื่องก็ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์มาแล้ว ซึ่งแฮงก์สก็เอาอยู่ไม่โดนหมาโดนหุ่นกลบรัศมี ยังทำหน้าที่ศูนย์กลางเรื่องของเรื่องได้ดี ตามที่หนังใช้ชื่อ Finch ตัวละครของเขามาเป็นชื่อเรื่อง ตัวหมาก็เด่นพอควร แต่ก็ไม่ได้แสดงความแสนรู้อะไรมากนัก เพราะไม่งั้นก็จะขึ้นไปกลบความเด่นของหุ่นยนต์เจฟฟ์เข้าอีก

ด้านงานกำกับอยู่ในความรับผิดชอบของ มิเกล ชาโพชนิก (Miguel Sapochnik)มือใหม่ในวงการภาพยนตร์ แต่เป็นขาเก๋าในแวดวงซีรีส์ ผ่านงานใหญ่อย่าง Game of Thrones มาแล้วหลายเอพิโซด ซึ่งก็ถือว่างานนี้เป็นงานหิน ที่ต้องรับมือกับดาราใหญ่ ซีจีเยอะ แต่ชาโพซนิกก็คุมอยู่นะ

ที่ความยาว 1 ชั่วโมง 55 นาที เราจะได้เห็นเพียงแค่ ฟินซ์ บทของทอม แฮงก์ส, เจฟฟ์, เจ้าหมาน้อยกู๊ดเยียร์ และดิวอี้ หุ่นล้อเลื่อนที่ไม่มีเสียงพูดเพียงเท่านี้ ซึ่งบทภาพยนตร์ก็เอาอยู่ด้วยการสอดแทรกเหตุการณ์ระทึกให้ชวนลุ้นได้เป็นระยะ ๆ ทั้งการต้องหนีพายุทอร์นาโด และการไล่ล่าจากผู้รอดชีวิตกลุ่มอื่น งานซีจีของหนังเนียนมาก ๆ ทั้งฉากพายุ และงานโมชันแคปเจอร์ไม่มีช็อตไหนเป็นแผลให้สะดุดตาเลย แม้จะมีฉากลุ้นระทึกเนือง ๆ แต่ก็ต้องบอกว่าโทนหลัก ๆ ของ Finch คือดราม่า ที่มุ่งเน้นเรื่องความสัมพันธ์ของ 1คน 1หุ่นยนต์ และ 1หมา เป็นความผูกพันที่เดินหน้าไปอย่างน่ารักและชวนติดตาม

ต้องเตือนกันก่อนเลยว่าสำหรับคนบ่อน้ำตาตื้น ได้มีเสียน้ำตากันอย่างแน่นอน หนังมุ่งเน้นเรื่องความน่ากลัวของโลกมนุษย์ในวันที่กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนไร้กฏหมายควบคุม มนุษย์ด้วยกันที่เห็นแก่ปากท้องตัวเองสำคัญที่สุด กลายเป็นภัยที่น่ากลัวที่สุด กลับกันมิตรภาพจากหมาและหุ่นยนต์ที่ไม่มีชีวิต กลับกลายเป็นความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์ลึกซึ้งเสียกว่า