[รีวิว] Benedetta : เมื่อราคะและศรัทธาขอเดินไปด้วยกัน
Our score
7.8

2h 11m

Director Paul Verhoeven

Writers : David Birke, Paul Verhoeven

Stars : Virginie Efira, Charlotte Rampling, Daphne Patakia

[รีวิว] Benedetta : เมื่อราคะและศรัทธาขอเดินไปด้วยกัน
Our score
7.8

[รีวิว] Benedetta : เมื่อราคะและศรัทธาขอเดินไปด้วยกัน

จุดเด่น

  1. หนังยังคงแนวรุนแรงและอื้อฉาวตามสไตล์ พอล เวอร์โฮเวน
  2. เก่งที่เล่าเรื่องราวในคอนแวนต์ และศาสนาให้ดูสนุกได้
  3. ฉากย้อนยุค และนักแสดงยอดเยี่ยมไร้ที่ติ
  4. มีปริศนาให้ชวนติดตาม และคลี่คลายได้จบสิ้น

จุดสังเกต

  1. หนังขายได้ยาก ด้วยหน้าหนังเป็นเรื่องในศาสนา และไม่มีนักแสดงระดับแม่เหล็ก
  2. หยิบประเด็นที่ล่อแหลมเกินไปมาสร้าง หลบไม่พ้นเสียงวิจารณ์จากผู้ศรัทธาในศาสนา
  • คุณภาพงานสร้าง

    8.0

  • ตรรกะ ความสมเหตุสมผลของบทภาพยนตร์

    8.5

  • คุณภาพนักแสดง

    8.0

  • ความสนุกตามแนวหนัง

    6.9

  • คุ้มค่าตั๋ว และเวลาในการรับชม

    7.5

สนับสนุนเนื้อหาโดย

พอล เวอร์โฮเวน เป็นผู้กำกับชาวดัตช์ที่มีงานชุกที่สุดคนหนึ่งในฮอลลีวูด ช่วงปลายยุค 80s จนถึงยุค 90s เขาเป็นที่รู้จักจาก ROBOCOP (1987) และประสบความสำเร็จต่อเนื่องกับ Total Recall (1990) มาถึงจุดพีกสุดใน Basic Instinct (1992) ที่กลายเป็นหนังอมตะมาจนถึงทุกวันนี้ จากนั้นเวอร์โฮเวนก็มาถึงขาลงใน Showgirls (1995), Starship Troopers (1997) และ Hollow Man (2000) หนังล้มเหลวทางด้านรายได้ทั้งสามเรื่อง แต่ทุกเรื่องก็ยังคงเป็นที่กล่าวขวัญและเป็นที่ชื่นชอบของแฟนหนังในตลาดโฮมเอนเทอร์เทนเมนต์ หลังจากนี้เวอร์โฮเวนก็กลับมาทำงานในเนเธอร์แลนด์บ้านเก่า มีผลงานออกมาเนือง ๆ แต่ก็เว้นช่วง 5-6 ปี ถึงจะมีออกมาสักเรื่อง

พอล เวอร์โฮเวน กำลังกำกับ เวอร์จินี เอฟิรา

Benedetta เป็นผลงานเรื่องล่าสุดของ พอล เวอร์โฮเวน ในวัย 83 ปี ที่เขาเลือกหยิบนิยาย Immodest Acts: The Life of a Lesbian Nun in Renaissance Italy ปี 1987 ของ จูดิธ ซี.บราวน์ มาเป็นเนื้อหาต้นฉบับ ที่ได้ เจอร์ราร์ด โซเทแมน (Gerard Soeteman) เพื่อนเก่ามาร่างบทไว้ตั้งแต่หนังสือออกมาใหม่ ๆ แต่ช่วงนั้นโวเฮอร์เวนกำลังงานชุกอยู่ในฮอลลีวูด จนผ่านเลยมาถึงในช่วงท้ายนี้ ที่เวอร์โฮเวนย้อนคิดถึงโปรเจกต์นี้แล้วหยิบบทมาปัดฝุ่นเสียที มอบหน้าที่ให้ เดวิด เบิร์ก (David Birke) รับหน้าที่เกลาบทในเวอร์ชันสุดท้าย ร่วมกับตัวเวอร์โฮเวนเอง

ภาพในนิมิตที่เบเนเดตตามองเห็นพระเยซู

แค่เห็นตัวอย่างหนัง และเรื่องย่อก็น่าจะพอสรุปได้แล้วว่า Benedetta เป็นหนังที่ช่างเข้าทางกับพอล เวอร์โฮเวนเสียจริง เพราะมีครบทั้งเซ็กซ์ ความรุนแรง และรอบนี้ช่างหมิ่นเหม่และฉาวโฉ่รุนแรงเสียเหลือเกิน เพราะเนื้อหาพูดถึงแม่ชีผู้มีตัวตนจริงในคอนแวนต์ประเทศอิตาลี ในช่วงศตวรรษที่ 17 ซึ่งเธอเป็นเลสเบี้ยนตัวจริงตามชื่อหนังสือเลยละ ซึ่งบทนำนี้ เวอร์โฮเวนเลือกใช้บริการของ เวอร์จินี เอฟิรา (Virginie Efira) นักแสดงนำจาก Elle ผลงานเรื่องก่อนหน้าของเวอร์โฮเวนเอง เนื้อหาย้อนเล่าถึง เบเนเดตตา เด็กหญิงที่เกิดในครอบครัวมั่งมี ซึ่งครอบครัวศรัทธาในศาสนาคริสต์อย่างแรงกล้า ถึงกับปลูกฝังให้เบเนเดตตาศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า และนำตัวเธอมามอบให้เป็นชีในคอนแวนต์ตั้งแต่อายุยังน้อย ในฐานะภรรยาของเยซูเจ้า แถมยังต้องจ่ายเงินค่าแรกเข้าที่แพงหูฉี่

3 นักแสดงนำของเรื่อง ชาร์ล็อต แรมพลิง, เวอร์จินี เอฟิรา และแดฟเน พาทาเกีย

เบเนเดตตาเป็นชีที่เคร่งครัดอยู่ในวินัยอยู่สำนักชีมาจนเข้าวัย 30 ชีวิตเธอก็มาถึงจุดเปลี่ยน กับการมาถึงของ บาร์โธโลเมีย (รับบทโดย แดฟเน พาทาเกีย) สาวชาวบ้านที่โดนพ่อและพี่ชายแท้ละเมิดทางเพศ จนต้องวิ่งมาขอพักพิงในสำนักชี ทำให้ทั้งคู่ใกล้ชิดสนิทสนมกัน ฝ่ายหนึ่งคือชีผู้เคร่งครัดและไม่ประสีประสากับเรื่องราวทางกามารมณ์ กับอีกฝ่ายคือสตรีผู้ช่ำชองทางเสพสังวาสทุกรูปแบบ แล้วก็เป็นทางฝ่ายบาร์โธโลเมียที่เริ่มหยอกเย้าเบเนเดตตาด้วยความคึกคะนอง แต่เหมือนกับเป็นการปลุกตัณหาด้านมืดของเบเนเดตตาที่เก็บซ่อนไว้ภายในมาตลอดชีวิตให้ลุกโชน หนังเล่าเรื่องราวในช่วงนี้ไปพร้อมกับภาวะการเกิดนิมิต มองเห็นภาพพระเยซูปรากฏตัว ทำให้เธอหลุดเข้าไปอยู่โลกในภวังค์โดยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เป็นการสร้างศรัทธาจากผู้คนรอบข้างที่มีต่อเบเนเดตตามากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าเธอคือชีผู้บริสุทธิ์ที่ได้รับเลือกจากพระเยซูตัวจริง

ประเด็นที่เร่งให้หนังชวนติดตามยิ่งขึ้น เริ่มจากตอนที่เบเนเดตตามองเห็นพระเยซูในยามถูกตรึงกางเขน แล้วเธอเกิดการหลั่งเลือดในตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์ นั่นก็คือฝ่ามือ ฝ่าเท้า และรอบศีรษะ เป็นการตอกย้ำว่าเธอคือชีผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้าตัวจริง ส่งให้เธอได้รับการแต่งตั้งเป็นคุณแม่อธิการ เจ้าคณะสั่งปลดคุณแม่อธิการคนเดิม รับบทโดย ชาร์ลอต แรมพลิง (Charlotte Rampling) นักแสดงมีชื่อคนเดียวในเรื่องนี้ กรณีนี้สร้างความกังขาและบาดหมางกับคุณแม่อธิการคนเก่าและคริสติน่า ลูกสาวของเธอที่เป็นชีอยู่ที่นี่ด้วย เรื่องราวรุนแรงขึ้นจนไปถึงหูของตัวแทนพระสันตะปาปาจากฟลอเรนซ์ ต้องมาสืบสวนและตัดสินคดีที่คอนแวนต์บ้านนอกแห่งนี้ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่กาฬโรคระบาดหนักในอิตาลี เหตุการณ์ตึงเครียดทั้งหมดล้วนเป็นการปูทางไปสู่ไคลแมกซ์ที่เข้มข้นใน 20 นาทีสุดท้ายของเรื่อง ที่เต็มไปด้วยภาพความรุนแรงแบบถนัดมือของพอล เวอร์โฮเวน ที่ทำให้แฟน ๆ รุ่นเก่าหายคิดถึงได้เลย

หนังมีความยาว 2 ชั่วโมงนิด ๆ แม้แทบทั้งเรื่องจะเล่าอยู่แค่ในสำนักชี แต่บทหนังก็หยอดเรื่องราวตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อย ให้ชวนติดตามไปได้ตลอดไม่มีช่วงเวลานาทีให้ชวนหาว โดยเฉพาะแฟนเก่าของพอล เวอร์โฮเวนที่รู้อยู่แล้วว่าจะต้องมีฉากเซ็กซ์เข้ามาอย่างแน่นอน แต่รอบนี้ก็ทำเอาตกอกตกใจว่าเวอร์โฮเวนจะหาญกล้าถึงขั้นใส่ฉากเซ็กซ์ระหว่างแม่ชีภายในสำนักชีแบบโจ๋งครึ่มเช่นนี้เลยหรือ ไม่เพียงแค่นั้น หนังยังใส่พระเยซูเข้ามาในภาพลักษณ์ที่แปลกตา เพราะมาในมาดนักรบควงดาบและฟาดฟันศัตรูแบบเลือดสาดตามไสตล์ของเวอร์โฮเวน ที่ต้องมีฉากรุนแรงแบบนี้ในหนังของเขาแทบทุกเรื่อง แน่นอนว่าหลังจากหนังออกฉาย ก็โดนเสียงก่นด่าจากคริสต์ศาสนิกชน ซึ่งเวอร์โฮเวนก็ออกมาตอบโต้อย่างร้อนแรงเช่นกัน ยิ่งออกมาประณามกันมากเข้าก็เหมือนเข้าทางเวอร์โฮเวน เพราะหนังของแกก็ล้วนดังจากกรณีอื้อฉาวแบบนี้มาทั้งนั้นตั้งแต่ Showgirls และ Basic Instinct

ฉากร่วมรักระหว่างแมชี

การที่เวอร์โฮเวนเลือกเล่าเรื่องแม่ชีเลสเบี้ยนเช่นนี้ แน่นอนว่าเป็นเรื่องราวที่หมิ่นเหม่ต่อคริสต์ศาสนา แต่หนังก็ไม่ได้ให้ท้ายการกระทำของเบเนเดตตาว่าเธอผิดหรือถูก แต่เป็นการเล่าเรื่องราวทั้ง 2 ด้านของเบเนเดตตา ว่าเป็นทั้งแม่ชีผู้มีศรัทธาแรงกล้าต่อศาสนาแต่ขณะเดียวกันเธอก็เองก็มีความเป็นปุถุชนและหลงระเริงไปกับตัณหาราคะอยู่ช่วงหนึ่ง ฉากร่วมรักระหว่างแม่ชีก็ไม่ได้พยายามถ่ายทอดออกมาในเชิงอีโรติก ไม่ได้จัดแสงสวยงาม ไม่มีดนตรีประกอบเร่งเร้าอารมณ์ แต่เป็นการนำเสนอภาพแบบดิบ ๆ ที่ดูเป็นธรรมชาติที่สุด นี่ก็คืองานที่นักแสดงหญิงเปลืองตัวสุดเช่นกัน จากช่วงแรก ๆ ที่เบเนเดตตายังอยู่ในกรอบที่เข้มงวดของแม่ชี รักนวลสงวนตัวแม้แต่กับหญิงด้วยกัน แต่แล้วเธอก็ค่อย ๆ ยอมแพ้ต่อความรู้สึกภายในตัวเอง จนในช่วงท้ายนี่เดินกันโทง ๆ ชัด ๆ แบบไม่เหลืออะไรให้จินตนาการอีกต่อไป ชวนให้ย้อนนึกไปว่า ถ้าเวอร์โฮเวนตัดสินใจสร้าง Benedetta ในยุค 80s ขึ้นมาจริง ๆ เราคงได้ดูหนังเรื่องนี้แบบมีแต่หมอกทั้งเรื่องเป็นแน่

สรุปได้ว่า Benedetta เป็นหนังที่เพียบพร้อมด้วยคุณค่าเรื่องหนึ่ง ที่สร้างสรรค์โดยผู้กำกับชั้นครูวัย 80 ปีที่เก็บบ่มวิชามาตลอดชีวิต สมค่ากับคะแนน rottentomatoes ที่ 84% โปรดักชันสร้างฉากย้อนยุคไปศตวรรษที่ 17 ได้สมจริง ทั้งอาคารบ้านเรือน และเครื่องแต่งกาย นักแสดงทุกคนแสดงได้ยอดเยี่ยมไร้ที่ติ และที่ผิดคาดก็คือหนังเล่าเรื่องได้สนุกน่าติดตาม ทั้งที่เป็นเรื่องราวในสำนักชียุคโบราณ เกี่ยวกับคริสต์ศาสนาแบบจริงจัง ตัวละครมีแต่บาทหลวง พระผู้ใหญ่และนางชี แต่เนื้อหาก็เข้าถึงได้ง่าย ไม่มีพระธรรมคำสอนของคริสต์มายัดเยียดจนชวนอึดอัด ต่อให้นับถือศาสนาไหนก็ดูเข้าใจ มีปริศนาให้ชวนติดตามและคลี่คลายได้หมดสิ้นในช่วงท้าย ส่วนการกระทำของเบเนเดตตานั้น หนังไม่ได้วิพากษ์ชัดเจนว่าเธอถูกหรือผิดอย่างใด ปล่อยไว้ให้เป็นวิจารณญาณของคนดูตัดสินกันเอาเอง