[รีวิวซีรีส์] All of Us Are Dead: หรือซอมบี้เกาหลีเสื่อมมนต์

Release Date

28/01/2022

ความยาว

12 ตอน ตอนละประมาณ 1 ชั่วโมง

[รีวิวซีรีส์] All of Us Are Dead: หรือซอมบี้เกาหลีเสื่อมมนต์
Our score
6.5

All of Us Are Dead

จุดเด่น

  1. องค์ประกอบที่รับประกันความน่ารับชมทั้งเรื่องซอมบี้เกาหลีที่มาแรง เรื่องราวเกิดในโรงเรียน และมีต้นธารจากเว็บตูน ใช้นักแสดงดาวรุ่งหลายคนแปลกตาดี การแต่งหน้าซอมบี้และโปรดักชันทำได้ค่อนข้างดี

จุดสังเกต

  1. ยังวางเส้นเรื่องได้ไม่ค่อยสวยนัก ช่วงที่น่าจะสนุกกลับไม่ค่อยสุด มีความสับสนในการวางกฎซอมบี้ในเรื่องทั้งเรื่องวิธีติดต่อและวิธีฆ่าที่ไม่แน่นอน น่าสนใจว่าซอมบี้แบบแอ่นตัวทำสะพานโค้งจะทำเรารู้สึกกลัวได้อีกนานแค่ไหนเพราะตอนนี้เริ่มเอียนแล้วเหมือนกัน
  • บท

    5.5

  • โปรดักชัน

    8.0

  • การแสดง

    5.5

  • ความสนุกตามแนวหนัง

    7.0

  • ความคุ้มค่าการรับชม

    7.0

เรื่องย่อ: “เราทุกคนจะตายกันหมด ไม่มีหวังแล้ว” โรงเรียนกลายเป็นสมรภูมิเลือดและเพื่อนของเรากลายเป็นศัตรูที่เลวร้ายที่สุด แล้วใครจะหนีรอดออกไปได้ จะฆ่าหรือจะยอมถูกฆ่า โรงเรียนปิดแล้วเนื่องในวันล้างโลก

‘All of Us Are Dead’ หรือ ‘มัธยมซอมบี้’ เป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่น่าจับตามองของเน็ตฟลิกซ์เกาหลี ด้วยองค์ประกอบที่การันตีความนิยมอย่างเช่นรุ่นพี่ที่มีมาก่อนหน้า ทั้งเป็นการใช้ภาพจำซอมบี้กายกรรมที่วิ่งเร็วบ้าคลั่ง (และชอบบิดตัวรวมถึงทำสะพานโค้งอันเป็นเอกลักษณ์) ที่ต้องยอมรับว่าเกาหลีทำซอมบี้แนวนี้จนกลายเป็นของตนเองได้แข็งแรงมากทั้งที่ไม่ใช่คนต้นคิดด้วยซ้ำ จากทั้งหนังอย่าง ‘Train to Busan’ (2016) หรือซีรีส์ ‘Kingdom’ (2019-2021) ซีรีส์เรื่องนี้ก็มาตอกย้ำภาพให้แข็งแรงขึ้นอีก

ทั้งยังเป็นการนำเนื้อหามาจากเว็บตูนผลงานของ จูดองกึน (Joo Dong-geun) ที่ฉบับภาษาไทยใช้ชื่อว่า ‘ตอนนี้ โรงเรียนของเรา..’ ซึ่งมีฐานแฟนการันตีความนิยมมาก่อนแล้ว คล้ายกับซีรีส์ ‘Sweet Home’ (2020) หรือ ‘Hellbound’ (2021) ที่ต่างเรียกกระแสความสนใจได้มากตั้งแต่แรกเช่นกัน

All of Us Are Dead

เอาจริงแค่ที่ว่ามาก็พอแล้วในการสร้างความอยากดูโดยไม่ต้องไปใช้ดารานักแสดงดัง ๆ เลย ทำให้ซีรีส์กล้าลองใช้นักแสดงวัยรุ่นอัดเต็มพิกัดแบบยกให้แบกเรื่องได้ ทั้งดัน พักจีฮู (Park Ji-Hoo) ที่เคยมีผลงานในเน็ตฟลิกซ์และรับบทนำในหนังมากรางวัลอย่าง ‘House of Hummingbird’ (2018) มารับบท อนโจ ประกบกับ ยุนชานยอง (Yoon Chan-Young) ในบท ชองซาน ที่พอบอกได้ว่าเป็นคู่นำหลัก 1 ใน 2 คู่เลยก็ว่าได้ ในขณะที่ฝั่งผู้ใหญ่ก็ไม่ได้เน้นนักแสดงเบอร์ใหญ่แต่ใช้ดาราที่มีฝีมือเคยผ่านงานหนังและซีรีส์มาเล่นช่วยประคองเรื่องราวในพาร์ตฝั่งพ่อแม่ผู้ปกครองและฝั่งการเมืองการทหารได้ลงตัว

All of Us Are Dead
แม้เป็นตัวเอก แต่ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งเลยถึงออร่าออกพอให้น่าจดจำ
All of Us Are Dead

ซีรีส์มีความยาวมากถึง 12 ตอน ตอนละเกือบ ๆ 1 ชั่วโมง และปูเรื่องในช่วงแรกได้น่าสนใจดี โดยขยายความจากเรื่องการกลั่นแกล้งกันในโรงเรียน จนหนึ่งในผู้ปกครองเด็กที่ถูกรังแกทนดูไม่ได้ที่ลูกอยากฆ่าตัวตายมากกว่าอยากจะลุกขึ้นสู้ จึงช่วยเหลือด้วยการฉีดสารกระตุ้นที่สกัดจากหนูทดลองที่จนตรอกให้กับลูกชาย และกลายสภาพเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือธรรมชาติที่เราคุ้นเคยอย่างซอมบี้เพื่อไปล้างแค้นโลกที่มันบิดเบี้ยวนี้

All of Us Are Dead

จริง ๆ มุมเรื่องตรงนี้น่าสนใจ การถกเถียงและชูปมขัดแย้งเชิงศีลธรรมของตัวละครครูวิทยาศาสตร์และเป็นผู้ปกครองที่มีลูกถูกรังแกอย่าง ครูอี กับตำรวจนั้น เป็นช่วงที่ดูสนุกและจริงจังที่สุดในซีรีส์แล้ว ในขณะที่การแสดงภาพของการกลั่นแกล้งในโรงเรียนจากแก๊งหัวโจกที่แสดงความสัมพันธ์แบบผู้ล่าและเหยื่อในโรงเรียนเองก็ปูได้อย่างเข้มข้น เช่นในฉากที่หนึ่งในกลุ่มตัวเอกอย่าง ซูฮยอก (รับบทโดย พักโซโลมอน (Park Solomon) เข้าไปช่วยเหลือพวกที่โดนรังแกแต่กลายเป็นว่าเหล่าเหยื่อยอมถูกรังแกต่อเพราะกลัวจะโดนหนักข้อขึ้นในคราวหลัง ก็แสดงความเป็นลูกไก่ในกำมือและการปลูกฝังทัศนคติแบบทาสในโรงเรียนได้น่าสนใจ

แต่พอซีรีส์เข้าฝั่งเนื้อเรื่องของปมรักหลายเส้าของพวกกลุ่มนักเรียนเพื่อขยายดราม่าให้พัฒนาเรื่องราวไปพร้อมความโกลาหล กลับพบว่าทำได้ไม่ค่อยน่าสนใจนักอาจเพราะตัวละครหลักถูกสร้างมาแบบพวกนิสัยเอื่อยเฉื่อย ไม่ค่อยแสดงออก หรือทื่อซื่อ จนมันขยับดราม่าไม่ค่อยได้มากนัก บางช่วงทำเอานึกถึงซีรีส์นักเรียนจากไต้หวันในแง่ที่ไม่ค่อยพัฒนาเรื่องหลักเลยด้วยซ้ำ

All of Us Are Dead

และแม้จะมีเวลามากมายในการเล่าเรื่องจนขยายเส้นเรื่องไปได้ทั้งในโรงเรียนและภายนอกโรงเรียน มีตัวละครหลายกลุ่มเข้ามามีส่วนร่วม สามารถปั้นดราม่าหรือฉากที่น่าจดจำได้มากมาย แต่เอาเข้าจริงแล้วมันก็พอจูงเราให้สนุกได้ถึงราวประมาณตอนที่ 5 หรือเกือบครึ่งทางเท่านั้น ก่อนจะเริ่มรู้สึกว่าตัวซีรีส์ไม่ได้พาทิศทางใหม่ ๆ ให้น่าจดจำเลย เมื่อความตื่นตาตื่นใจในเหล่าซอมบี้เริ่มจืดจางเอียนตา (ขนาดว่าช่วงหนึ่งแทบรู้สึกว่าเลิกสะพานโค้งสักทีเถอะ มันออกจะน่าขำมากกว่าแล้ว) และฝั่งดราม่าก็ไม่มีความน่าสนใจมากพอ ภาพรวมของซีรีส์จึงเป็นความรู้สึกว่าใช้เวลาได้ไม่คุ้มค่าในการเล่าเรื่อง และขาดการพัฒนากราฟความสนุกที่ดี กลายเป็นว่ายิ่งดูยิ่งรู้สึกร่วมน้อยลงเรื่อย ๆ

All of Us Are Dead

และหลายครั้งตัวซีรีส์ก็ไม่สามารถก้าวข้ามความน่าหงุดหงิดในการตัดสินใจของตัวละครที่ดูไม่สมจริงในแต่ละสถานการณ์ ความเฉยชาเกินปกติ หรือแม้แต่ลำดับเวลาในเรื่องก็เหมือนจะดูสับสนเมื่อมีการขยายความออกไปนอกพื้นที่โรงเรียน ระดับการรับมือกับเรื่องราวดูไม่ค่อยสมจริงนัก ถ้าไม่มากไปก็ดูน้อยไปในหลายครั้ง รวมถึงการวางกฎของซอมบี้ในเรื่องก็ชวนสับสน ในบางช่วงการติดต่อดูง่ายดายแค่เลือดโดนแผลก็ติด แต่บางช่วงเลือดท่วมใส่หน้าใส่ตาดันไม่ติด หรือการฆ่าซอมบี้เหมือนจะต้องใช้มีดแทงคอเท่านั้นถึงจะตาย แต่บางช่วงยิงหัวก็ตายได้ หาความแน่นอนไม่ได้

All of Us Are Dead

ปัญหาหลัก ๆ หนึ่งที่สำคัญมากคือซีรีส์ขาดตัวร้ายที่ดีพอ แม้ปมเรื่องการกลั่นแกล้งที่ถูกปูพื้นและเตรียมขยายความมาอย่างมีประสิทธิภาพ

อาจสปอย กดเพื่ออ่าน
และสร้างตัวร้ายหลักอดีตเด็กเกเรที่กลายพันธุ์ ฆ่าไม่ตาย มีสติปัญญาแบบคน แถมมีแรงแค้นเต็มเหนี่ยว ดูมีศักยภาพทำให้เรื่องราวกดดันฝั่งตัวเอกได้มาก แต่กลับเป็นว่าตัวร้ายนี้ดันมุ่งหมายจะฆ่าตัวเอกอย่างชองซานอยู่คนเดียวเท่านั้นแทบไม่สนใจคนอื่น ๆ เลยจนกลายเป็นกรอบจำกัดความน่ากลัวลงไป ลองนึกภาพว่าตัวร้ายเหนือมนุษย์นี้ฉลาดในการใช้ประโยชน์ที่ตัวเองจะไม่ถูกซอมบี้จู่โจมแล้ววางแผนฆ่ากลุ่มตัวเอกทั้งหมดไม่เลือกหน้า มันจะน่าสนุกขนาดไหน
All of Us Are Dead

ในขณะเดียวกันฝั่งตัวละครสีเทาอย่างเด็กนักเรียนหญิงที่เป็นเหยื่อที่ถูกกลั่นแกล้งอย่างหนักและก็ได้ความสามารถมาเช่นกันในภายหลัง กลับมีเส้นเรื่องในการล้างแค้นแบบเรียบมาก ๆ ทั้งที่การดึงตัวละครนี้ไปฟาดฟันกับตัวร้ายหลักหรือกลุ่มตัวเอกแล้วเกิดสงคราม 3 ฝ่ายเป็นอะไรที่ผู้ชมน่าจะความสะใจและยกระดับซีรีส์ได้มาก แต่ซีรีส์ก็เลือกการเดินเรื่องที่มันไม่ค่อยสนุกแทนอย่างน่าเสียดายเหมือนไม่รู้ว่าคนดูอยากดูอะไร

สรุปแล้ว ‘All of Us Are Dead’ เป็นซีรีส์ที่เอามาแก้ขัดช่วงที่ขาดหนังหรือซีรีส์แนวซอมบี้เกาหลีได้บ้าง แต่ยังขาดเอกลักษณ์ที่น่าจดจำ บางตัวละครและหลายฉากมีกลิ่นอายของการลอกงานหนังหรือซีรีส์ก่อนหน้าในแนวนี้มาชัดเกินไปเช่นตัวละคร นัมรา (รับบทโดย โชอีฮยอน (Cho Yi-Hyun) ที่แทบจะเอาคาแรกเตอร์ ฮิโรมิ ใน ‘I Am a Hero’ (2015) มาใช้เลยก็ว่าได้ และจะว่าไปเมื่อเทียบกับหนังที่สนุกกลาง ๆ พอกันอย่าง ‘#Alive’ (2020) หนังเรื่องนั้นก็ยังมีอะไรให้น่าจดจำมากกว่าเสียอีก

All of Us Are Dead

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส