Play video

อัล กอร์ กลับมาอีกครั้งหลัง An Inconvenient Truth (2006) สารคดีที่แนะนำให้โลกได้ตระหนักถึงปัญหาโลกร้อนจนได้รางวัลออสการ์สารคดียอดเยี่ยม ผ่านมา 10 ปีเขากลับมาพร้อมหลักฐานที่น่าเชื่อถือมากมายตั้งแต่ภัยพิบัติจากพายุต่างๆ ที่สหรัฐเผชิญไปจนถึงเหตุการณ์พายุไห่เหยียนถล่มฟิลิปปินส์เมื่อปี 2016 เชื่อมโยงถึงปัญหาต่างๆอันเกี่ยวพันกับความเปลี่ยนแปลงของโลก โดยอุปสรรคใหญ่ที่สุดของอัล กอร์ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่คือบรรดานักการเมืองและนายทุนในระบบทุนนิยมนั่นเอง

    กว่า 30 ปีของการต่อสู้ของฮีโร่ผู้เหนื่อยล้า

หากจะว่าถึงโครงสร้างของสารคดีแล้ว ต้องบอกว่า An Inconvenient Sequel Truth to Power หรือ An Inconvenient Truth 2 ก็ยังคงรูปแบบที่ไม่ต่างจากภาคแรกมากนัก ทั้งฉากการบรรยายในห้องประชุม มีภาพกราฟฟิกแสดงกราฟสถิติอุณหภูมิต่างๆ รวมถึงฟุตเตจจากข่าวภัยพิบัติทั่วโลก ดังนั้นความเปลี่ยนแปลงเดียวที่ถูกนำมาเน้นย้ำในสารคดีภาค 2 ก็คือตัว อัล กอร์ เองที่ทั้งเหนื่อยล้าจากคำครหาของฝ่ายการเมืองและชราภาพจากกาลเวลาที่ผันผ่าน

โดยสารคดีในภาคนี้เปิดเรื่องมาด้วยภาพของน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือละลายประกอบกับเสียงที่อัดมาจากข่าวและรายการต่างๆที่เป็นข้อโต้แย้งในเชิงลบต่อตัว อัล กอร์ ซึ่งนับเป็นความชาญฉลาดในเชิงสัญญะของภาพยนตร์เพราะภาพน้ำแข็งละลายส่งผลต่อความรู้สึกของคนดูว่าโลกของเรากำลังเผชิญวิกฤติจริงๆนะ และเสียงออฟซีน (off scene) คำครหายังเป็นการสร้างอารมณ์ร่วมให้คนดูต่ออัล กอร์ซึ่งเป็นซับเจคต์ (Subject)ของสารคดีเรื่องนี้ให้ภาพของฮีโร่ผู้เหนื่อยล้า และการเป็นเหมือนมวยรองบ่อน (underdog) ในสนามการเมืองเรื่องธรรมชาติ พร้อมบทสัมภาษณ์อัล กอร์ ถึงความรู้สึกของเขาจากการต่อสู้เพื่อให้คนตระหนักถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิโลก ซึ่งจะว่าไปก็มีส่วนคล้ายกับหนังซูเปอร์ฮีโร่ภาคต่อที่ตัวฮีโร่เองอยู่ในสภาวะเพลี่ยงพล้ำ ไร้กำลัง ก่อนจะได้อาวุธและแรงสนับสนุนจากทีม

ซึ่งในกรณีของอัล กอร์ คือการหยิบยกสถานการณ์ภัยพิบัติธรรมชาติจากข่าวทั่วโลกและเนื้อหาที่สะท้อนให้เห็นความพยายามสร้างผู้นำด้านสิ่งแวดล้อมรุ่นใหม่ขึ้นมาให้เป็นกองทัพกู้โลก และไม่มากไม่น้อยหนังยังให้ภาพ อัล กอร์เป็นฮีโร่ในอุดมคติทั้งเชิงวิสัยทัศน์ทางภาพยนตร์อย่างการให้กล้องทำหน้าที่จับภาพอัล กอร์ ในฐานะผู้กอบกู้โลก (Savior) ในหลายวาระ รวมถึงการคัดเลือกสถานการณ์หรือซีนเด่น

อย่างในหนังเองก็มีฉากที่ อัล กอร์ พยายามโทรไปบลัฟบริษัทด้านโซลาร์เซลล์และธนาคารต่างๆเพื่อมอบเทคโนโลยีและเงินทุนให้อินเดียเลิกแผนตั้งโรงงานถ่านหิน เปลี่ยนมาใช้โซลาร์เซลล์แทนเพื่อให้บรรลุข้อตกลงปารีสอันมีอินเดียขวางลำอยู่ประเทศเดียว ประหนึ่งนี่คือภารกิจยิ่งใหญ่ของโลก และเป็นเหมือนไคลแมกซ์ของหนังได้อย่างดีเยี่ยมอีกทั้งสถานการณ์ดังกล่าวยังเกิดขึ้นจริงใน การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ COP21 หรือ CMP 11 ที่จัดระหว่าง 30 พ.ย.-12 ธ.ค. 2558 ณ.กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส จนประหนึ่งเป็นฉากฉลองชัยของฮีโร่อย่างอัล กอร์ ก็ไม่ปาน

วายร้ายของฮีโร่กู้โลก

ซูเปอร์ฮีโร่ต้องมี วิลเลียน (villain) หรือวายร้ายให้เขาต่อกร และคงเป็นใครไม่ได้นอกจากนักการเมือง ซึ่งหนังในครึ่งแรกได้แสดงให้เห็นว่า อัล กอร์ เคยถูกสภาคองเกรสเรียกไต่สวนและยับยั้งงบประมาณด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมรวมถึงการเก็บดาวเทียมดิสคัฟเวอร์ที่สามารถถ่ายภาพโลกได้แบบรายวันเข้ากรุเป็น 10 ปีก่อนที่โอบาม่าจะพิจารณานำมันขึ้นสู่วงโคจร แต่บอสใหญ่ของเหล่าวายร้ายคงไม่มีใครโดดเด่นเกินนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เปิดตัวในจอทีวี แล้วเรียกให้ โอบามา กลับมาแก้ปัญหา ไอซิส แทนการไปประชุม COP21/ CMP 11 ที่ปารีสซึ่งถือเป็นการสร้างคาแรกเตอร์ให้วายร้ายในฉากเดียวได้อย่างชาญฉลาด โดยคนดูรู้ได้ทันทีว่านี่คืออุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่อัล กอร์ พระเอกของเราต้องหาทางสู้ต่อไป และแน่นอนว่าหนังซูเปอร์ฮีโร่ยังมีภาคต่อ หากจะว่าถึงการทิ้งเชื้อก็คงเป็นการทิ้งเชื้อที่ชาญฉลาดมาก เพราะหนังเลือกฉากปิดคือ อัล กอร์ เดินทางไป ทรัมป์ ทาวเวอร์ เพื่อโน้มน้าวให้เขาตระหนักถึงปัญหาโลกร้อน แต่กลับได้รับการปฏิเสธ

ด้วยการปูคาแรกเตอร์ให้อัล กอร์ เป็นเหมือนซูเปอร์ฮีโร่ที่ลงพื้นที่จริงทั้งเหตุน้ำท่วมในสหรัฐและเหตุพายุไห่เหยียนถล่มฟิลิปปินส์ยังมีส่วนช่วยให้เนื้อหาที่ตามมาดูหนักแน่น น่าเชื่อถือ มากขึ้นโดยเฉพาะการยกประเด็นที่ภาคแรกได้ทำนายไว้ โดยเฉพาะภาพกราฟิกของหนังภาคแรกที่แสดงให้เห็น มวลน้ำขนาดใหญ่ท่วมอนุสาวรีย์รำลึกเหตุการณ์ 11 กันยา ซึ่งก็เกือบจะกลายเป็นเรื่องจริงเมื่อปีที่แล้วดังที่ปรากฎในหนังพร้อมฟุตเตจข่าวภัยธรรมชาติที่ดูน่าสะพรึงกลัวจนเราไม่อาจเพิกเฉยต่อปัญหาการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิโลกอีกต่อไป

ทำให้ภาพรวมของ An Inconvenient Sequel Truth to Power กลายเป็นเครื่องยืนยันถึงความตั้งใจจริงของ อัล กอร์ ในการแก้ปัญหาสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงและยังเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ชมกลับมารักโลกของเรามากขึ้นอีกด้วย แต่จะว่าไปนี่ก็คือหนังดีที่เราไม่อยากให้มีภาคต่อ เพราะหากมี Inconvenient 3 นั่นอาจหมายถึงสภาวะแวดล้อมโลกถึงขั้นโคม่าไร้ทางเยียวยาแล้วก็เป็นได้

โลกอยู่ในมือพวกเรา..และทุกท่านสามารถแสดงพลังได้ที่นี่

Play video