[รีวิว] Future World สงครามล่าคนเหล็ก – ปรัชญาลากยาว ชวนหาวด้วยพลอตซ้ำซาก
Our score
2.6

Future World

จุดเด่น

  1. ไม่มี

จุดสังเกต

  1. เนื้อเรื่องยัดปรัชญาจนดูปลอม
  2. กำกับฉากแอ็คชั่นน่าเบื่อ
  3. งานอาร์ตไดเรกชั่นดูปลอมมาก
  4. เล่าเรื่องไม่สนุก
  5. นักแสดงสาวฮอตในอดีตดูน่าเวทนามาก
  • คุณภาพงานสร้าง

    3.0

  • เนื้อหา ตรรกะ ความสมบูรณ์ของบท

    3.0

  • ความแปลกใหม่

    3.0

  • ความสนุก

    2.0

  • ความคุ้มค่าตั๋ว

    2.0

Play video

สนับสนุนเนื้อหาโดย Major Cineplex

หลังพบว่าราชินี (ลูซี หลิว) ป่วยหนัก ทำให้ เจ้าชายแห่งโอเอซิส (เจฟฟรีย์ วาห์ลเบิร์ก) ต้องออกเดินทางสู่ดินแดนรกร้างเพื่อตามหายารักษา ไข้แดง โรคระบาดในยุคหลังโลกล่มสลาย เขาต้องผจญการตามล่าจาก วอร์ลอร์ด (เจมส์ ฟรังโก) หัวหน้าโจรโฉด โดยมี แอช (ซูกี วอร์เตอร์เฮาส์) แอนดรอยด์สาวที่ถูกวอร์ลอร์ดโปรแกรมเพื่อสนองตัณหา กลับใจมาช่วยเขาตามหายารักษาแม่ยังดินแดน พาราไดซ์บีช แต่หลังหนีการตามล่าอันแสนทรหด เขาก็ได้ปรากฎตัวยังดินแดนแห่งยาของ ดรักลอร์ด (มิลลา โจโววิช) ราชินียานรกที่ยื่นข้อเสนอให้เขาเล่นตามเกมของเธอเพื่อแลกกับยารักษา งานนี้ เจ้าชาย จำต้องค้นหาความกล้า และบ้าบิ่นในตัวเพื่อเป้าหมายสำคัญ.

 

บอกตรงๆว่าสิ่งเดียวที่คิดได้หลังดูจบคือ แอบจินตนาการไปว่า เจมส์ ฟรังโก และ บรูซ เธียร์รี ชวง สองผู้กำกับและทีมเขียนบทคงเป็นทีมโปรดักชันสายควันแน่ๆ ถึงทำหนังออกมาได้เมายาขนาดนี้ ตั้งแต่เรื่องราวที่จับแพะชนแกะ มีทั้งพลอตหนังโลกหลังล่มสลายแบบหนังชุด Mad Max มีทั้งแอนดรอยด์-มนุษย์เทียมที่ตามหาความหมายของชีวิตแบบหนังอย่าง Blade Runner แล้วเอามายำกันแบบไม่ต้องสนเหตุผล โดยมีเสียงบรรยายของ แอช ที่น่าจะถูกเพิ่มเข้ามาเพื่อตัดปะฉากต่างๆไม่ให้มันดูสับสนและวายป่วงเกินไป

แต่โดยภาพรวมซึ่งเราไม่จำเป็นต้องเอาไปเทียบกับหนังสตูดิโอใหญ่หรอกนะ เอาแค่หนังเกรดบี อย่างพวก Cyborg (1989) หรือ No Escape (1994) ที่หนังดูจะได้อิทธิพลมาไม่น้อย ตัวหนังเองยังด้อยในเรื่องความสนุกอย่างไม่น่าอภัย แถมยังยัดเยียดปรัชญา – ความเชื่อทางศาสนามาแบบผิดที่ผิดทาง จนหนังออกมาแปร่งปร่าและชวนสับสนว่าหนังจะไปทางไหนกันแน่ จะปรัชญาก็ดูยัดเยียด จะแอ็คชั่นก็กำกับซีนออกมาดูหน่อมแน้มเหลือเกิน  แถมยิ่งหนังเดินเรื่องไปก็ยิ่งออกทะเลจนต้องมีซีนต่อสู้ที่ตบให้เรื่องราวกลับมาจบให้ลงอีกต่างหาก

และที่น่าเวทนาสุดๆคือ การปรากฏตัวของบรรดาขวัญใจหนุ่มๆยุค 90 ตั้งแต่ ลูซี หลิว อดีต นางฟ้าชาร์ลีที่กลายร่างเป็นอาซิ้มปากซีดที่ร่างกายขาดแป๊ะก๊วย แถมแว่บแรกที่เห็นเธอก็ชวนกังขาทันทีว่า ฝ่ายแคสติ้งอาจ “โดนมาหลายตัว” ไม่แพ้ทีมเขียนบท เพราะ แม่นาง ลูซี่ ถูกแคสมาเป็นแม่ ของบทเจ้าชายของ เจฟฟรีย์ วาห์ลเบิร์ก (หลานชายพี่มาร์ค สุดล่ำ) โดยทิ้งตรรกะเรื่องเชื้อชาติ ความคล้ายคลึง แบบต้องอุทาน แบบนี้ก็ได้หรา! ส่วนอีกคนที่ดูแล้วเวทนาไม่แพ้กันคือ มิลลา โจโววิช ที่เคยหากินกับหนังชุด Resident Evils มาหลายปี และหวังว่าการพลิกคาแรคเตอร์มารับบท หญิงบ้าสุดโฉด จะช่วยต่ออายุทางการแสดงของเธอ แต่ขอโทษนะ ด้วยบทที่เขียนมาแบบคนดูยังงงว่าหนังจะมีตัวละครอย่างเธอทำไม ทั้งที่ เจมส์ ฟรังโก เองก็รับบทผู้ร้ายสติแตกไปแล้ว ก็ยิ่งทำให้การมีอยู่ของมิลลา คือหลักฐานชั้นดี ว่าบางทีเธออาจต้องหาทางพาตัวเองไปอยู่ในหนังที่ทำให้เธอเป็นผู้เป็นคนมากกว่านี้ หรือไม่ก็เปลี่ยนอาชีพไปทำอย่างอื่นเสียที

ด้าน ซูกี วอเตอร์เฮาส์ ดาราสาวสวยแปลกที่มารับบท แอนดรอยด์สาวหุ่นเซ็กซี่ ก็ไม่ได้มีชะตากรรมที่ต่างกันนัก เพราะแม้หนังเขียนบทให้เล่าในมุมมองของเธอ แต่เอาเข้าจริงการมีอยู่ของ แอช ก็ไม่ได้มีอะไรมากกว่าการออกมาพูดปรัชญางงๆยัดเยียดให้หนังดูมี ‘อะไร’ แถมยังถูกทำร้ายด้วยงานอาร์ตแบบลวกๆ โดยเฉพาะแผลถูกยิงที่ช็อตนึงมีน้ำฟ้าๆผิวหนังเหมือนยางพาราเปื่อยๆถูกเย็บด้วยแม็กซ์ แต่พอเปลี่ยนซีน เฮ้ย!ใครเอาน้ำมันเหลืองตราแม่สมถวิลไปละเลงหน้าท้องน้องเขาอ่ะ เลื้องเหลือง… ไม่ได้ต่อเนื่องกับซีนก่อนหน้า จนงงว่า ฝ่ายคอนตินิว นี่ก็น่าจะสายควันไม่แพ้กัน

สรุปสั้นๆคือ เฮ้อ….

สรุปยาวอีกนิดคือ เฮ้ออออออออ.

อ่ะสรุปจริงๆคือ หนังมันเละเทะมาก จะเอามันส์ก็ไม่ได้ จะเอาเนื้อหาลึกล้ำก็ดูยัดเยียด ได้แต่หวังว่า เจมส์ ฟรังโก จะไม่พาตัวเองมาเกี่ยวข้องกับหนังที่ไม่ได้ส่งเสริมอาชีพการงานแบบนี้อีก บอกตรงๆเสียดายฝีมือทางการแสดงจริงๆ

ใครอยากลองของไม่ว่ากัน คลิกซื้อตั๋วจากเมเจอร์ด้านล่างเลย.