[รีวิว] BNK48 Girls Don’t Cry: เผาทุ่งลาเวนเดอร์ให้ราบ

90

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Major Cineplex

เรื่องย่อ

BNK48 คือ Idol Girl Group ที่มีสมาชิกรุ่นแรกเป็นหญิงสาวตั้งแต่อายุ 13 – 23 ปี รวมทั้งหมด 26 คน โดยคอนเซ็ปต์ของวงคือ‘เด็กหญิงธรรมดาๆ ที่มีความพยายาม’ ในการออกแต่ละซิงเกิ้ลจะมีสมาชิกเพียง 16 คนจากทั้งหมด เท่านั้นที่จะได้รับเลือกให้มีผลงาน สมาชิกทุกคนจึงพยายามทุ่มเทให้กับ การฝึกซ้อมและพัฒนาตัวเอง แต่แล้ววันหนึ่ง…ทุกคนก็เรียนรู้ว่าความพยายามอย่างเดียวอาจไม่พอและ ปลายทางของ ความพยายาม นอกจากความสําเร็จแล้ว มันยังมีอย่างอื่น ที่ไม่คาดคิดรออยู่เช่นกัน

นี่คืองานสารคดียาวแบบเต็มตัวเรื่องที่ 2 ของ เต๋อ-นวพล ธำรงรัตนฤทธิ ผู้กำกับเจ้าพ่อฮิปสเตอร์ของเด็กไทย โดยการทาบทามจาก BNK48 Office และ Salmon House ที่รับดูแลควบคุมการทำสารคดีนี้ ซึ่งเต๋อก็สารภาพว่านี่คืองานที่สานฝันของเขาเมื่อครั้งที่ยังหลงใหลเพลงอาร์เอส จนอยากทำสารคดีของแก๊งคามิคาเซ่ ในฐานะวัยรุ่นที่ต้องกลายเป็นศิลปินยอดนิยมอย่างรวดเร็ว มองในแง่หนึ่ง BNK48 เองก็คือโมเดลธุรกิจที่ใช้สูตรสำเร็จจากเจ้าของแฟรนไชส์ที่ญี่ปุ่นเพื่อแสวงหากำไรไม่ต่างจากวงการบันเทิงอื่น ๆ ด้วย

เต๋อ มักเข้าใจเองว่า “ผมไม่เห็นหน้าเหมือนโคจิม่าตรงไหนเลย”

หากแต่ตระกูล 48 นั้น มีจุดขายที่ทำให้ได้รับความนิยมสูงจนกลายเป็นปรากฏการณ์ในหลายประเทศ คือการคัดสมาชิกวงจากเด็กสาวที่ยังพัฒนาตัวได้อีกมาก พูดอีกแบบคือยังไม่สมบูรณ์แบบในการเป็นไอดอล อาจไม่เก่งร้อง เต้น หรือเอาใจแฟนคลับ เอามาฝึกอย่างเข้มข้น ให้แฟน ๆ ได้เห็นความทุ่มเทและพัฒนาการ จะได้เอาใจช่วยและผูกพันกับสมาชิกแต่ละคนนั่นเอง มอง ๆ ไป ก็คล้าย ๆ รูปแบบเรียลิตี้ทีวีที่ฮิต ๆ กันอยู่พักหนึ่ง หากแต่นี่เปลี่ยนจากกล้องวงจรปิดที่ติดตามห้อง มากลายเป็นเวทีหรืออีเว้นท์ตามที่ต่าง ๆ ที่เราสามารถไปพบปะตัวจริงได้เลย ตามคอนเซ็ปต์ “สาวข้างบ้าน” หรือ “ไอดอลที่คุณเข้าถึงได้” นั่นเอง

การที่เด็กสาววัยกำลังเปลี่ยนผ่านต้องเข้าสู่โมเดลธุรกิจบางอย่าง ที่ถูกออกแบบให้มีการแข่งขันและสร้างชนชั้นขึ้นภายในกลุ่ม เพื่อเป้าหมายในการบีบให้พวกเขาต้องพัฒนาตัวอย่างก้าวกระโดด สู่การเป็นขวัญใจมหาชน หรือพูดในมุมอุตสาหกรรมจะเรียกว่า สินค้าที่มีมูลค่าสูงทำกำไรได้มาก ก็ไม่ผิดนัก นี่จึงเป็นเนื้อหาที่แข็งแรงมาก ๆ ในการนำเสนอภาพที่จริงโคตร ๆ ของโลกความเป็นจริงสีเทา ๆ และยังสร้างความสั่นสะเทือนต่อจิตใจของเรา ๆ ที่เคยได้รับเพียงภาพฉาบหน้าที่สดใส และความร่าเริงสนุกสนานของพวกเขาพวกเธอเท่านั้นด้วย

ในแง่หนึ่ง BNK48 ก็เหมือน กลุ่มทดลองทางสังคมในหนังจากเรื่องจริง The Stanford Prison Experiment ที่ทุกคนถูกบทบาทสมมุติเล่นงาน ไม่ว่าจะทั้งเหยื่อและตัวผู้คุมเอง

ในการแนะนำนี้ผมมองกลุ่มคนที่จะไปดูเป็น 3 กลุ่ม

  • กลุ่มแรกสำหรับโอตะ นี่คือหนังสารคดีที่คุณจะได้เข้าไปสัมผัสแง่มุมที่คุณอาจจะรู้อยู่แล้ว แต่คุณจะไม่มีทางได้เห็นด้วยตาตัวเองมาก่อน เพราะแม้แต่งานจับมือมันก็ยังคือหน้าฉากที่ถูกออกแบบมาให้เรา ๆ รู้จักเท่านั้น หนังเรื่องนี้จะพาเดินอ้อมไปด้านหลังความเป็นไอดอล คือความเป็นเด็กสาวธรรมดาที่ต้องคิดแก้ปัญหาในชีวิตมากมายเกินกว่าที่เพื่อนวัยเดียวกันจะต้องเจอ เหมือนสินค้าที่ฉีดยากระตุ้นให้รีบโตรีบมีคุณค่า มันจึงเป็นภาวะที่น่าสนใจไม่เบาเลยล่ะ บางฉากบางคำพูดเราคงไม่สามารถได้ยินจากที่ไหนจริง ๆ และอาจเสียน้ำตาให้กับพวกเธอได้ง่าย ๆ เลย ทั้งคนที่คุณรู้จักดีแต่ไม่รู้ความคิดลึก ๆ ของเขา หรือคนที่คุณเองอาจจำชื่อไม่ได้ คุณก็จะจำได้ขึ้นใจรอบนี้ล่ะ ต้องขอบคุณความกล้าให้เล่าของ BNK48 Office และตัวน้อง ๆ เองที่ยอมเปลือยความรู้สึกบางแง่มุมออกมาให้เราได้เห็น
  • กลุ่มต่อมาคือแฟน ๆ ของพี่เต๋อ กลุ่มนี้อาจชอบในฝีไม้ลายมือของเต๋อโดยเฉพาะ ก็ขอบอกเลยว่านี่คือหนังที่เต๋อเองมีเครดิตทั้ง กำกับ เขียนบท ถ่ายภาพ และตัดต่อ มากกว่าหนังเรื่องไหน ๆ ที่ผ่านมา นี่คือหนังที่เต๋อใช้เวลาสัมภาษณ์น้อง ๆ แต่ละคนนานกว่าคนละ 2-3 ชั่วโมง รวมฟุตเทจเฉพาะสัมภาษณ์ไปกว่า 60 ชั่วโมง ยังไม่นับฟุตเทจที่ไปถ่ายติดตามการซ้อมการแสดง และยังฟุตเทจที่ทาง BNK48 Office เก็บไว้ตลอดกว่า 1 ปีกว่า ๆ ตั้งแต่เปิดออดิชั่นจนถึงวันนี้อีกด้วย แม้ด้วยลีลาความเป็นสารคดีอาจไม่เอื้อให้เห็นเทคนิคสีสันแพรวพราวอย่างหนังเต๋อเรื่องที่ผ่านมา แต่เต๋อก็โชว์ความเก๋าได้แบบไม่ยอมย่อต่อธรรมชาติของสารคดีเลย ทั้งการดีไซน์ฉากสัมภาษณ์ที่คับแคบ สะท้อนถึงความกดดันของแต่ละคน ในอีกด้านหนึ่งเต๋อก็ให้เกร็ดว่า เขาเลือกฉากสัมภาษณ์แบบนี้เพราะมันทำให้เขารู้สึกเหมือนเวลาที่ต้องรอเข้าห้องน้ำบนเครื่องบินที่ทางเดินมืด ๆ แล้วมีคนรอเข้าด้วยกันอยู่ ภาวะนี้เอื้อให้เราพูดคุย และความเงียบของเครื่องบินก็มากพอให้เราอาจเล่าเรื่องลับ ๆ แก่กันด้วย นี่ล่ะคือความเป็นคนช่างคิดของเต๋อ ดังนั้นสารคดีธรรมดามันไม่ธรรมดาแน่ ๆ ส่วนความกวนทีนก็หายห่วง ใส่มาแบบ โอ่ย เล่นงี้เลยเรอะ 555 แต่กับส่วนตัวผมเลยนะ ให้เทียบกับสารคดีอย่าง เดอะมาสเตอร์ ที่เต๋อเคยทำ ผมว่าอันนั้นเต๋อเล่ามันมือกว่า สนุกกว่า อาจเพราะเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเขากว่า และอาจเพราะว่าในเรื่องนี้เขาเกรงใจน้อง ๆ พอสมควร หรือพูดอีกแบบ เขาอาจเป็นคนไม่ชอบเห็นน้ำตาผู้หญิงก็ได้มั้ง
    ใบหน้าของเต๋อที่ไม่อยากเห็นแคปเฌอร้องไห้
  • กลุ่มสุดท้าย คิดว่าเป็นกลุ่มที่หนังเรื่องนี้ตั้งใจทำให้ดูที่สุดแล้วล่ะ นั่นคือคนทั่วไปเลย ถ้าคุณคิดว่าอยู่ในกลุ่มนี้ล่ะ แล้วอ่านมาถึงจุดนี้ได้ ผมว่าก็สนใจอยากรู้จัก BNK48 พอประมาณเลยล่ะ ผมจะบอกว่าหนังเรื่องนี้ทำให้คุณเข้าใจปรากฏการณ์ฮิตทั้้งบ้านทั้งเมืองนี้มากขึ้น และมากกว่าเข้าใจ คือคุณจะเข้าอกเข้าใจเห็นอกเห็นใจในมนุษย์ยุคนี้มากขึ้น มันคือภาพสะท้อนของคนที่ต้องดิ้นรนเพราะความฝัน ความอยาก ความต้องการมีความสุข ซึ่งโลกสีเทา ๆ ของเรามันไม่ได้ยอมปล่อยเราไปจุดนั้นง่าย ๆ สิ่งที่เราเห็นว่ามันช่างสดใสและง่ายดายเหลือเกินสำหรับบางคน มันอาจมีมากกว่าทุ่งลาเวนเดอร์ในใจเราก็ได้ ข้างใต้ดอกลาเวนเดอร์พวกนั้นอาจเป็นปุ๋ยเคมีที่มีพิษข้างเคียงโดยที่เขาไม่ได้แสดงให้เรารู้ความเจ็บปวด ผมว่าคนทุกคนสามารถรู้สึกและได้ข้อคิดต่อหนังเรื่องนี้ในมุมที่แตกต่างกัน ไม่ว่าคุณจะเป็น พ่อ แม่ ลูก เพื่อน พี่ น้อง คนที่ทำงาน หรือเป็นสถานะความสัมพันธ์แบบไหนกับใครสักคน คุณจะได้มุมมองชีวิตบางอย่างกลับไปทบทวนแน่นอน

พูดกันมาขนาดนี้ อยากบอกว่าไม่ต้องกลัวความเป็นสารคดีในหนังเรื่องนี้ เพราะทุกเรื่องที่เราเอามาแนะนำเราก็เชื่อว่าทุกคนดูได้ไม่หลับไม่ง่วงแน่นอน (ไอ้เรื่องที่น่าเบื่อ ๆ ดูยาก ๆ เราคงไม่มาเสียเวลาแนะนำ) และเราก็อยากให้ได้ดูหนังไทยที่ทำออกมาดี ๆ อย่างเรื่องนี้ด้วย ไปเผาทุ่งลาเวนเดอร์กันให้ราบ จะได้มองเห็นว่าจริง ๆ แล้วผืนดินตรงนี้มันอาจเหมาะกับการทำอย่างอื่นที่ได้ประโยชน์มากกว่านั้นก็ได้

จองตั๋วหนัง ดูรอบหนัง BNK48 ได้ทันใจเพียงคลิ๊กที่นี่ เย่

 

 

 

 

BNK48 Girls Don't Cry
คุณภาพงานสร้าง
85
นักแสดง
100
ความแปลกใหม่
90
ความสนุก ไม่ทำง่วง
85
ความคุ้มค่าตั๋ว
90
จุดเด่น
โอตะต้องดู
คนรู้จัก BNK48 ควรดู
มนุษย์ที่แสวงหาคุณค่าและไตร่ตรองชีวิตควรดู
จุดสังเกต
หนังสารคดีอ่ะ บางคนไม่ชอบสารคดีจริงๆก็ชอบยากล่ะ
90