[รีวิว] MIRAI: แอนิเมชั่นดีๆ มีมาอีกแล้ว ดูแล้วชอบจนน้ำตารื้นเลย
Our score
8.7

Mirai มหัศจรรย์วันสองวัย

จุดเด่น

  1. หนังทั้งซับซ้อนและดูง่าย มีความเป็นปรัชญา
  2. น่ารักมาก อบอุ่นมาก ฟีลกู้ดเลย
  3. ลายเส้นสวย เพลงเพราะ แค่นี้ก็คุ้มละ

จุดสังเกต

  1. การเล่าแบบเป็นห้วงๆ อาจสะดุดอารมณ์นิดๆ
  • คุณภาพงานสร้าง

    9.0

  • เนื้อหา ตรรกะ ความสมบูรณ์ของบท

    8.0

  • ความแปลกใหม่

    9.5

  • ความสนุก

    8.5

  • ความคุ้มค่าตั๋ว

    8.5

Play video

สนับสนุนข้อมูลโดย Major Cineplex

เรื่องย่อ

คุน เด็กชายอายุ 4 ขวบ ผู้เอาแต่ใจ ในขณะนี้เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เนื่องจากครอบครัวของเขากำลังมีสมาชิกใหม่ และเขากลัวว่าพ่อแม่ของเขาจะไม่รักเขาแล้ว ในระหว่างที่เขากำลังเผชิญกับความกดดันครั้งแรกในชีวิต เขาได้บังเอิญไปพบสวนแห่งเวทมนตร์ สวนแห่งนี้ทำให้เขาเดินทางข้ามเวลามาพบกับ มิไร น้องสาวของเขาในโลกอนาคต การผจญภัยของทั้งสองจะช่วยทำให้เขาเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับน้องสาวได้อย่างมีความสุข

เป็นหนังแอนิเมชั่นจากผู้กำกับดาวรุ่งความหวังใหม่คนหนึ่งของวงการญี่ปุ่นเลย ชื่อของเขาคือ โฮโซดะ มาโมรุ ด้วยเอกลักษณ์ลายเส้นที่ทันสมัยน่ารัก เนื้อเรื่องเกี่ยวพันกับสายสัมพันธ์ครอบครัวที่แสนอบอุ่น และมักมีองค์ประกอบความแฟนตาซีหรือไซไฟใส่ไว้อย่างสนุกสนาน นับเป็นสามปัจจัยหลักที่แฟนแอนิเมชั่นไม่อาจมองข้ามผลงานของอาจารย์ท่านนี้ได้เลย

ผู้กำกับโฮโซดะ มาเปิดตัวหนังและพบแฟนๆชาวไทย้วยตัวเองเลย ว้าวมาก

ครั้งนี้โฮโซดะ กลับมาด้วยหนังอย่าง Mirai ซึ่งเปิดตัวได้สวยงามกับการได้รับเลือกไปฉายในเทศกาลหนังระดับโลกอย่างเมืองคานส์มาแล้ว สำหรับตัวหน้าหนังเหมือนจะชู มิไร ที่เป็นชื่อตัวละครน้องสาว แต่แท้จริงแล้วกลับมีความหมายแฝงว่า อนาคต อยู่ด้วย ซึ่งตัวพลอตเรื่องย่อก็ไม่ได้ปกปิดเลยว่ามันมีเรื่องการก้าวข้ามเวลาที่ทำให้น้องสาวในอนาคตของตัวเอกอย่างเด็กชาย 4 ขวบ นาม คุนจัง ต้องได้เรียนรู้ปรับตัวกับการมีน้องสาว และเป็นพี่ชายที่ดีเสียที หนังมีปมกับตัวเอกไม่ต่างจากหนังเด็กเรื่องอื่น ๆ เท่าไร แต่ความโดดเด้งของแอนิเมชั่นเรื่องนี้คือ ความเป็นปรัชญาแบบตะวันออกในเรื่องครอบครัว สายธารรากเหง้า ที่สื่อชัดเจนว่าเราเป็นตัวเราในปัจจุบันก็เพราะสิ่งที่คนรุ่นก่อนหน้าสร้างมา เช่นเดียวกันเราในปัจจุบันก็คือสายธารต่อคนในอนาคตข้างหน้าเช่นกัน

และแม้จะดูลึกซึ้งไม่น่าอินได้ง่าย ๆ แต่เอาเข้าจริงแล้วหนังมันบันเทิง และมีจังหวะการเล่าแบบจบในตอนอยู่ในที คล้าย ๆ ทีวีซีรีส์ที่มีปมเปิดและข้ามเวลาไปเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ก่อนกลับมาเข้าใจ แล้วก็เปิดปมใหม่ข้ามเวลาใหม่ วน ๆ ไป จนเข้าฌครงเรื่องหลักในช่วงท้าย การจบปมย่อยในตอนสั้น ๆ ก็ทำให้เราได้พักหายใจเป็นระยะ ๆ แต่ก็แฝงข้อเสียที่บางคนอาจรู้สึกว่าหนังไม่ต่อเนื่องเหมือนเล่าเป็นห้วง ๆ แต่ว่ามองในแง่ที่เรานั่งดูจริง ๆ มันก็ตามไหลลื่นไปได้นะ เพราะเราเอาใจช่วยเด็กน้อย คุนจัง ไปแล้วด้วยความน่ารัก แล้วก็ยังมีมุกชวนขำไปกับความไร้เดียงสาและเอาแต่ใจของเขาด้วย

หลังจากโฮโซดะค่อนข้างเป๋ไปกับหนังเรื่องก่อนหน้าอย่าง The Boy and the Beast (2015) ที่ดูพยายามจะเป็นตัวแทนจิบลิที่ยังไม่ค่อยกลมกล่อมนัก มารอบนี้ผมว่าโฮโซดะ ตกผลึกงานตัวเองมากขึ้น แม้จะไม่ได้ซึ้งซัดแน่นแบบ Wolf Children (2012) หรือ หวือหวาวิชวลโดดเด่นแบบ Summer Wars (2009) ตลอดจนพลอตไซไฟก็ไม่ได้ซับซ้อนมากเท่าหนังสร้างชื่ออย่าง The Girl Who Leapt Through Time (2006) แต่โฮโซดะหยิบจับข้อดีข้อโดนในหนังเรื่องที่ผ่าน ๆ มาของตัวเองมาใส่ผสมได้กลมกล่อมมากขึ้น ทั้งยังมีความคารวะต่อจิบลิที่เราเห็นการอ้างอิงบางอย่าง ซึ่งก็ทำให้เรารู้สึกดีกับหนังได้มากขึ้น เพราะชวนให้นึกถึงความรุ่งเรืองแสนอบอุ่นของค่ายจิบลิในอดีตด้วย

ตัวอย่างหนังค่อนข้างจะหลอกเราอยู่เหมือนกัน เพราะเอาเข้าจริงตัวเดินเรื่องแทบจะคือ คุนจัง คนเดียวเลย ส่วนตัว มิไร ที่เป็นชื่อเรื่องนั้น โผล่มาเรื่อย ๆ แต่ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นคีย์หลักขนาดเป็นชื่อเรื่อง นั่นก็อาจเพราะผู้กำกับเองอย่างสื่อคำว่า มิไร ที่แปลว่า อนาคต เสียมากกว่า เพื่อกระตุ้นเตือนเราในปัจจุบันนี่ล่ะว่าอย่าลืมทำดีแก่กัน เพื่อคนในอนาคตด้วยล่ะ หนังดีเลยล่ะ ชอบมาก

หนังเอ็กคลูซีฟแบบนี้ กดลิ้งก์ดูรอบ จองตั๋วที่นี่สะดวกสุดแล้ว