[รีวิว] Triple Frontier ปล้น ล่า ท้านรก – อัตราแลกเปลี่ยนของสงครามและศักดิ์ศรี
Our score
7.7

Triple Frontier

จุดเด่น

  1. หนังพูดถึงปฏิบัติการทางทหารได้น่าเชื่อถือดี
  2. มีเหตุการณ์ที่ทำให้ลุ้นอยู่บ้าง

จุดสังเกต

  1. ไม่ปูให้เราได้รู้จักตัวละครแต่ละตัว จนไม่เกิดความผูกพัน
  2. การกระทำของตัวละครดูไร้เหตุผล
  3. ตรรกะในการปฏิบัติภารกิจไม่ค่่อยน่าเชื่อถือนัก
  • ตรรกะและความสมบูรณ์ของบท

    7.0

  • คุณภาพของงานสร้าง

    9.0

  • ความแปลกใหม่

    7.5

  • ความสนุก

    8.0

  • ความคุ้มค่าเวลาในก่ารชม

    7.0

เมื่อสงครามปราบยาเสพติดในบราซิลกำลังสะเด็ดน้ำ โป๊บ (ออสการ์ ไอแซค) สบช่องคิดแผนเผด็จศึกพ่อค้ายาและปล้นเงินจำนวนมหาศาลติดปลายนวม และเพื่อให้ปล้นแล้วรวย เขาจึงรวบรวมอดีตเพื่อนร่วมรบทั้ง เรดฟลาย (เบน เอฟเฟล็ก) ทหารผ่านศึกหัวเสธจอมวางแผน, ไอรอนเฮด (ชาร์ลี ฮันแนม) และ เบน (แกร์เรต เฮดลันด์) พี่น้องนักสู้โคตรระห่ำ และ แคตฟิช (เปโดร ปาสคาล) นักบินติดแบล็กลิสต์ และแม้ว่าพวกเขาจะคิดแผนมาเนี๊ยบเพียงไรแต่ความโลภ และอันตรายของผู้มีอิทธิพลก็ไม่ปล่อยพวกเขาลอยนวลไปง่ายๆ 

นับได้ว่า Triple Frontier เป็นอีกหนึ่งโปรเจคต์สุดทะเยอทะยานของ Netflix ทั้งการทุ่มงบกับโปรดักชั่นและการลงทุนจ้างนักแสดงดังๆมารับบทนำ ซึ่งหากมองผิวเผินดูจากหน้าหนัง หลายคนคงคิดว่าตัวหนังคงมาทางสงครามสุดระห่ำ ยิงกันหูดับตับไหม้แน่ๆ ทั้งที่จริงแล้วกว่า 70% ของหนังเป็นการวางแผนและการเอาตัวรอดของทีมปฏิบัติการปล้นครั้งนี้ที่สะท้อนให้เห็นภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของสงครามในยุคหลังที่ สหรัฐอเมริกา เอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวโดยมีผลประโยชน์มหาศาลอยู่เบื้องหลัง ซึ่งพลอตดราม่าและปมซับซ้อนแบบนี้ก็ไม่คณามือ เจ ซี แชนเดอร์ ผู้กำกับที่เคยชิงออสการ์สาขาบทดั้งเดิมจาก Margin Call ในปี 2011 โดยคราวนี้ก็ได้นักข่าวสายทหารตัวจริงที่ผันอาชีพมาเขียนบทหนังแนวทหารอย่าง มาร์ค โบล จนได้ชิงออสการ์จาก The Hurt Locker ในปี 2008 มาร่วมเขียนบทซึ่งก็ทำให้รายละเอียดหลายอย่างในหนังสร้างความน่าเชื่อถือได้ดี ทั้งลักษณะบ้านและการซ่อนเงินของพ่อค้ายาและแผนปฏิบัติการทางทหารที่พอผ่านปากนักแสดงแล้วก็ทำให้น่าเชื่อถุือว่าทหารเขาพูดแบบนี้จริงๆเป็นต้น แต่กระนั้นบทหนังกลับมีปัญหาในการสร้างความน่าเชื่อถืออย่างร้ายแรง คือเราแทบไม่เชื่อเลยว่าแต่ละคนจะยอมเอาชีวิตมาทิ้งในบราซิลเพียงเพราะลมปากของทหารคนเดียว  อีกทั้งการตัดสินใจของทหารแต่ละคนในเรื่องก็ดูแอบเซิร์ด ไร้เหตุผลจนแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าพวกเขารอดจากสมรภูมิรบมาได้อย่างไร รวมถึงตรรกะในการทำงานครั้งนี้ที่ว่าเอเยนซี่เป็นคนจ้างให้ฆ่าพ่อค้ายาและปล้นเงินม่าแต่กลับไม่มีอะไรซัพพอร์ตให้เลย โดยทีมต้องใช้วาทะศิลป์สัญญาว่าจะให้เงินแก่ คนจัดหา ฮอ หรือ เจ้าของเรือ จนรู้สึกว่าบางทีทหารกลุ่มนี้ก็โชคดีไปหน่อย จนตลอดเวลาร่วม 2 ชั่วโมงที่ดูต้องคอยหาเหตุผลมาหลอกตัวเองเพื่อให้เราดูหนังได้จนจบ

และแม้ว่าหนังจะสร้างความบันเทิงให้เราได้พอลุ้นกับการขนเงินข้ามพรหมแดนได้บ้าง แต่ก็ยังไม่เพียงพอให้เราอภัยกับความโง่เขลาของตัวละครแบบดูไปต้องคอยถามไปว่า “เอ็งจะทำไปเพื่อ…?” ในหลายๆเหตุการณ์ตั้งแต่ปล้นบ้านพ่อค้ายา ขนเงินเกินน้ำหนักด้วยเครื่องบินจนแทบบินไต่ระดับไม่ได้ หรือการพยายามเจรจากับชาวบ้านหลังสังหารคนในหมู่บ้านไปด้วยความตกใจ เหล่านี้เราเลยไม่รู้ว่าจะยกย่องให้พวกเขาเป็นวีรบุรุษที่เราต้องเอาใจช่วยดีหรือไม่ ยิ่งหนังไม่พยายามปูพื้นสร้างความผูกพันธ์ให้เรารู้จักตัวละครแต่ละตัวมากนักด้วย มิหนำซ้ำหนังยังมาตกม้าตายกับบทสรุปแบบจับยัดแถมไม่เข้ากับประเด็นที่หนังพยายามปูมาแต่ต้นจนน่าเสียดาย ทั้งที่ฟอร์มหนังที่ทำตัวอย่างมาน่าดูมากๆและเสียดายชื่อดาราดังที่ต้องเอาตัวเองมาเสียเวลากับหนังที่ไม่ส่งเสริมภาพลักษณ์และเป็นเครดิตการแสดงที่น่าจดจำเท่าใดนัก

สิ่งเดียวที่เราจะพอชื่นชมตัวหนังได้หนีไม่พ้นงานถ่ายภาพที่สวยงามโดย โรมัน วอสยานอฟ จาก Fury (2014) และ Suicide Squad (2016) ที่เก็บทิวทัศน์บรรยากาศป่าดงดิบและหุบเขาอันแสนหนาวเหน็บได้อย่างเปี่ยมอารมณ์และเป็นจุดที่พอทำให้เราเข้าใจตัวละครอยู่บ้าง แม้เราจะปวดขมับกับการกระทำและตัดสินใจที่แสนจะน่าปวดหัวของพวกเขาตลอดเวลาก็ตาม