[รีวิว] Homatagia อัตภาวกาล – ความตาย สายน้ำ ครอบครัว
Our score
7.8

อัตภาวกาล

จุดเด่น

  1. หนังเป็นการทดลองเล่าเรื่องราวส่วนตัวได้อย่างสร้างสรรค์
  2. ความแปลกใหม่ในการนำเสนออาจไม่มาก แต่พอเรื่องราวทั้ง 2 ส่วนรวมกันแล้วกลับลงตัวอย่างน่าประหลาด
  3. เรื่องราวครอบครัวผู้กำกับส่วนสารคดีคือไฮไลต์สำคัญ เพราะเรื่องราวที่บอกเล่าค่อนข้างน่าสนใจและดรามาติดในตัวมันเอง

จุดสังเกต

  1. การกำกับนักแสดงในส่วนของหนังเล่าเรื่องช่วงแรกยังไม่ลงตัวนัก
  • ความสมบูรณ์ของบทภาพยนตร์

    8.0

  • คุณภาพนักแสดง

    7.5

  • คุณภาพงานสร้าง

    7.5

  • ความแปลกใหม่ของไอเดียเรื่องราว

    8.0

  • ความคุ้มค่าตั๋ว

    8.0

ป. เด็กหนุ่มผู้ยืนระหว่างรอยร้าวของครอบครัว และในวงเวียนวัฒจักรชีวิตของเขาทั้งผู้คนรายล้อมและหลากหลายเหตุการณ์ว่ายวนดั่งสายน้ำตั้งแต่ ตาและยายที่ต้องดูแลกันในวัยไม่ใกล้ฝั่ง พ่อที่ห่างเหินกับการเดินทางไปเพื่อค้นพบทั้งเศษซากของครอบครัวและความทรงจำที่กระจัดกระจาย และในขณะที่เรื่องเล่าอันเติมแต่งไหลเวียนไปเหมือนชีวิตที่ยังไม่เจอจุดบรรจบ กลับถูกต่อเติมด้วยเรื่องราวสารคดีในชีวิตของปลื้มทั้งความเป็นมาตั้งแต่เกิด บ้านยาย บ้านที่พ่อแม่สร้าง จนความล่มสลายที่กลายเกิดเป็นบ้านหลังปัจจุบัน บ้านที่เขาเลือกกลับไปเล่ามันอีกครั้งพร้อมทบทวนถึงรอยร้าวและความเป็นมาที่สร้างให้เกิดตัวตนของ ปลื้ม ชนสรณ์ ชัยกิตติภรณ์

มีคำกล่าวว่าหนังก็คือตัวตนของผู้สร้างที่ถูกเติมแต่งรสชาติให้ถูกใจคนดู แต่คำกล่าวนั้นคงนำมาจำกัดความ  Homatagia  ได้ไม่เต็ม 100% นัก เพราะสิ่งที่ ชนสรณ์ ชัยกิตติภรณ์ หรือ ปลื้ม เลือกนำมาบอกเล่ากลับกลายเป็นเรื่องราวของครอบครัวของเขาแบบที่ทำให้เราเข้าใจตัวตนและความคิดของเด็กหนุ่มจากอุตรดิษฐ์คนนี้ในเวลาเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น และจริงอยู่ว่าการแบ่งเรื่องราวเป็น 2 ส่วนทั้งเรื่องแต่งและสารคดีจะไม่ใช่ของใหม่ แต่อย่างน้อยนี่ก็เป็นอีกก้าวที่กล้าและบ้าบิ่นของปลื้มในการเปิดเปลือยตัวตนและครอบครัวที่คนส่วนใหญ่มักเก็บงำและปิดล็อกกุญแจมันไว้ในบันทึกส่วนตัว และแม้เรื่องราวที่ถูกเล่าจะไม่ได้เอาใจคนดูทั่วไปนักแต่ด้วยจังหวะและความน่าสนใจของงานภาพและเสียงก็ทำให้เราไม่อาจไถ่ถอนจากอาการจมดิ่งสู่วังวนของครอบครัวอันแตกร้าวและการดำเนินชีวิตต่อไปอย่างเข้มแข็งหลังการสูญเสียได้อย่างสัมผัสหัวจิตหัวใจคนดู

ในส่วนของเรื่องเล่าในครึ่งแรกของหนัง คงเดาไม่ยากว่า ป. ก็คือตัวแทนของปลื้ม และตัวละครรายล้อมก็ถูกเล่าแทนบุคคลรอบด้านในชีวิตจริงของปลื้ม เพียงแต่เรื่องราวในส่วนนี้มันกลับถูกบอกเล่าในลักษณะห้วงคำนึงเสียมากกว่า และตามธรรมชาติของการเป็นหนังนักศึกษาที่จะขอทดลองและถ่ายทอดเรื่องเล่าตามอัตวิสัยของตน แน่นอนละสิ่งที่เล่ามันอาจไม่ได้เอาใจคนดูนักทั้งซีน ป. อาบน้ำแล้วสำเร็จความใคร่เป็นเวลานาน หรือภาพซ้อนแบบ Double Exposure ที่ทำให้ภาพสองภาพ 2 เหตุการณ์ซ้อนกันเป็นหนึ่งเดียวแบบแทบจะไม่ได้เล่าเรื่องราวให้คืบหน้า หรือกระทั้งการกำกับฉากดราม่าที่อาจยังไม่คมมากนัก แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดจริง ๆ ก็คือในเรื่องเล่าที่เหมือนไม่ปะติปะต่อในส่วนของหนังเล่าเรื่องกลับไปเติมเต็มช่องว่าง หรือตอบปริศนาแบบแยกเฉลยคำตอบไว้ เพื่อรอให้เราไปพบโจทย์และข้อข้องใจของคนทำหนังในเรื่องราวสารคดีส่วนที่สอง

WHAT THE FACT รีวิว Homatagia

วัลลภ เถียรทอง ใน อัตภาวกาล Homatagia

สำหรับการกำกับในส่วนนี้ต้องยอมรับว่าปลื้มเองก็เพลย์เซฟด้วยการนำนักแสดงประกอบมืออาชีพมารับบทสำคัญทั้งคุณตา ที่ได้ วัลลภ เถียรทอง ที่เราได้เจอในหนังไทยกับบทประเภทนักการเมืองโฉดอยู่เสมอ หรือแม้กระทั่งการถ่ายภาพธรรมชาติเป็นภาพอินเสิร์ตแทรกเข้ามาเป็นระยะเพื่อคั่นช่วงระหว่างเรื่องราวตัวละครหนึ่งไปบอกเล่าเรื่องราวอีกหลายตัวละคร ซึ่งข้อดีคือมันทำให้เรื่องราวกระจัดกระจายเป็นเอกภาพด้วยไอเดียแบบปรัชญาทั้งภาพสายน้ำที่เชื่อมโยงไปสู่เรื่องราวส่วนที่ 2 หรือ ต้นไม้ที่ไหวตามกระแสลมก็แทนการยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้ดี และหากเรามองให้พ้นเหนือความบกพร่องในงานกำกับที่ยังไม่คมพอที่จะใช้งานภาพเชิงกวีมาใช้กับนักแสดงได้ หรือ การร้องเพลง พรหมลิขิต ของตาแล้วเกิดดราม่าตัวละครร้องไห้แต่กลับยังไม่นำพาอารมณ์คนดูนัก ก็ถือได้ว่าเรื่องราวที่เป็นส่วน Fiction คือการทดลองอันบ้าบิ่นดีแต่เหนืออื่นใดมันคือชิ้นส่วนความทรงจำที่ถูกปรุงแต่งโดยคนทำหนังที่เราต้องไปสานต่อกับเรื่องราวส่วนที่สองเอานั่นเอง

เมื่อเรื่องเล่าได้ผ่านไปแบบไม่ได้ให้คำตอบหรือปิดม่านเรื่องราวให้สมบูรณ์นัก อยู่ดี ๆ คนดูก็ถูกพามาสู่จังหวัดอุตรดิษฐ์ บ้านเกิดของปลื้มและบุคคลแรกที่ปลื้มพาเราไปพบคือ คุณยายที่มาบอกเล่าเรื่องราวความรักความผูกพันกับตาที่เพิ่งจากไป ซึ่งแน่นอนว่ามันคงไม่ใช่เรื่องเล่าประเภทความรักอันหวานชื่นเสียทีเดียว เรื่องราวการทะเลาะเบาะแว้ง เดี๋ยวรักเดี๋ยวเลิก ได้กลายเป็นความทรงจำอันแสนหวานขมและมันยังเป็นเหมือนข้อคิดเตือนใจถึงทัศนคติชีวิตคู่ของคนรุ่นเก่าที่ต่อให้ร้ายต่อกันแค่ไหนสุดท้ายความผูกพันธ์ก็ยังอยู่เหนือความโกรธเกลียดและวาระสุดท้ายที่คุณยายดูแลคุณตาก็เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมั่นคงของความรักคนรุ่นก่อนและลูกก็ยังเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวให้ครอบครัวยังเป็นครอบครัวแม้ว่าลูกบางคนจะนำความเดือดร้อนให้แม่แต่แม่ก็ยังเลี้ยงดูและแบ่งเบาทุกข์ให้เสมอ ที่สำคัญคือภาพของคนเก่าแก่รุ่นเบบี้บูมที่สุดแสนขยันยังทำให้เรา ๆ ในยุคไถสมาร์ตโฟนต้องหน้าชาไม่น้อยเลยทีเดียว

WHAT THE FACT รีวิว Homatagia

อัตภาวกาล Homatagia

และแน่นอนว่ามันจะเป็นสารคดีส่วนตัวไม่ได้เลยหากขาดบุคคลสำคัญในชีวิตของปลื้มคือคุณแม่ ซึ่งนอกจากใบหน้าอ่อนเยาว์จนเราแทบไม่เชื่อว่าเธออายุเลยหลัก 50 มาแล้วยังรวมถึงทัศนคติและการตอบคำถามลูกแบบไม่มีอะไรปิดบังทั้งเรื่องความสัมพันธ์กับพ่อ จนถึงชีวิตคู่ในวัยปัจจุบันที่มีผู้หญิงอีกคนเข้ามาร่วมทาง และแม้เราจะรับรู้เรื่องพ่อจากปากของแม่ปลื้มในลักษณะความเห็นข้างเดียว แต่โดยส่วนตัวแล้วเรื่องราวในส่วนฟิกชันน่าจะเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นที่ขาดนี้ได้ดี แม้เมื่อนำมาต่อกันแล้วเราจะยังพบว่าชิ้นส่วนมันไม่พอดีกัน แต่อย่างน้อยเรื่องราวของพ่อ ป. ที่บอกเล่ามาในเรื่องราวส่วนแรกก็ทำให้เราไม่มองเขาในแง่ร้ายมากเกินไปนัก และนั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้ Homatagia เป็นงานส่วนตัวที่พยายามปรับสมดุลระหว่างบทบันทึกครอบครัวกับความทรงจำในลักษณะเรื่องเล่าที่ปรุงแต่งได้อย่างมีเสน่ห์ไม่น้อยเลยทีเดียว

หนังมีจุดบกพร่องประปรายตามประสาหนังนักศึกษาดั่งที่กล่าวมาแล้ว แต่ด้วยความโดดเด่นในการกล้าเล่าเรื่องครอบครัวแบบ Up Close and Personal จนน่าตกใจและการเติมความเห็นผ่านงานภาพที่ประดิษฐ์มาได้อย่างบ้าบิ่นและไม่ประนีประนอมก็ทำให้ Homatagia โดดเด่นด้วยตัวมันเองและการชมหนังในโรงภาพยนตร์คือคำแนะนำเดียวในการดูหนังเรื่องนี้จริง ๆ โดยหนังเข้าฉายที่โรง ลิโด้คอนเนกต์ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ติดตามรอบฉายได้ที่เพจ Documentary Club และเช็ครอบ ซื้อบัตรชมภาพยนตร์ผ่าน Ticket Melon คลิกที่นี่ได้เลย 

 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส