ในโลกอนาคตอันใกล้ประเทศเกาหลีใต้อยู่ในสภาวะเสื่อมโทรม เศรษฐกิจพังพินาศ และเมื่อมองไม่เห็นชีวิตที่ดีกว่ามันเลยผลักให้ 4 อาชญากรมือใหม่อย่าง คีฮุน (ชเวอูชิค จาก Parasite) จางโฮ (อันแจฮง) จุนซอก (อีแจฮุน) และ ซางซู (พัคจองมิน) คิดปล้นคาสิโนเพื่อเป้าหมายคือการหนีจากชีวิตเส็งเคร็งแล้วย้ายไปยังเกาะสวรรค์ แต่ที่พวกเขาไม่รู้คือเงินก้อนนี้กำลังจะพาหายนะมาสู่ชีวิตของพวกเขาเมื่อมีนักล่าสุดโหดมาทวงฮาร์ดดิสก์บันทึกการทุจริตของตำรวจกับพวกเขาแบบถึงชีวิต งานนี้มีเพียงพระเจ้าที่จะได้รู้ว่าพวกเขาจะรอดหรือไม่

Play video

Time to hunt เริ่มจากการเป็นโพรเจกต์เจ้าปัญหากรณีพิพาทระหว่าง 2 บริษัทร่วมทุนสร้างและเมื่อในที่สุด Netflix ได้สิทธิในการสตรีมมิงอย่างเป็นทางการหลังต้องเลื่อนจากกำหนดเดิมวันที่ 10 เมษายน 2563 มาเป็นวันนี้ (23 เมษายน 2563) ก็ถึงเวลาที่เราจะได้พิสูจน์ความยอดเยี่ยมของตัวหนังกันแล้ว โดยผู้กำกับอย่าง ยูนซังฮยอน ที่ถนัดทำหนังวิพากษ์สังคมมาลองเสี่ยงจับทางหนังไซไฟแอ็กชันดูบ้าง ซึ่งแค่การมาจับหนังฟอร์มยักษ์เรื่องแรกก็พาเขาไปสู่เทศกาลหนังเบอร์ลินได้อย่างสมศักดิ์ศรี

WHAT THE FACT รีวิว Netflix Time to hunt

WHAT THE FACT รีวิว Netflix Time to hunt

หากจะถามว่าตัวหนังไปในแนวทางไหนก็ต้องบอกว่ามันมีส่วนผสมระหว่างการบรรยายความสิ้นหวังเหมือนอย่างหนังแบบ Children of Men แต่ความเป็นไซไฟหรือการกล่าวถึงสภาพสังคมเลวร้ายจะเบาบางกว่าเยอะมากเหมือนเป็นแค่แบ็คกราวด์ของเรื่องเฉย ๆ ซึ่งก็ถือเป็นการเอาจุดเด่นที่เป็นตัวขายกลายเป็นจุดด้อยอย่างน่าเสียดาย แต่หากพ้นจากภาพลักษณ์ไซไฟแล้ว มันกลับไปใกล้เคียงหนังอาชญากรรมปล้นสไตล์หนังฮอลลีวูดพวก Ocean’s 11  แต่เป็นแบบเกรดบีดูดิบ ๆ มาผสมกับหนังนักฆ่าไล่ล่าสไตล์ No country for old men ซึ่งในส่วนฉากแอ็กชันไล่ล่าก็ต้องยอมรับว่าการที่หนังตั้งใจทำมาฉายโรงมันเลยออกมาดูดีมีราคามากอย่างที่หวังเลยล่ะ

WHAT THE FACT รีวิว Netflix Time to hunt WHAT THE FACT รีวิว Netflix Time to hunt

ส่วนตัวบทภาพยนตร์ต้องยอมรับว่าหนังมาในสายบันเทิงมากกว่าจะวิพากษ์อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แม้ว่าจะมีการกล่าวถึงครอบครัวของ คีฮูน ว่ามีพ่อแม่ที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากอยู่บ้างแต่หนังก็ไปเน้นที่การหนีตายของตัวละครมากกว่า ซึ่งเรื่องราวในส่วนนี้ถือว่ามีน้อยมากในหนังและดราม่าส่วนใหญ่ก็เกี่ยวข้องกับความเป็นเพื่อนและมิตรภาพระหว่างเพื่อนมากกว่าเลยทำให้พาร์ตดราม่าไม่เด่นเท่าที่ควร ผิดกับฉากแอ็กชันและเรื่องราวการทุจริตของตำรวจที่หนังเล่าได้น่าสนใจดี จะมีจุดที่น่าพูดถึงคือบทสรุปที่ขอบอกแบบไม่สปอยล์แต่กล่าวได้ว่าไม่น่าจะถูกใจคนดูทุกคน

ด้านนักแสดงแต่ละคนก็แสดงได้สมบทบาทดีอย่าง ชเวอูชิค ที่เพิ่งโด่งดังจาก Parasite ก็รับบทดราม่าได้ดีแต่อาจได้เวลาบนจอน้อยไปหน่อยแม้จะเป็นชื่อที่ใช้ขายหนังในระดับนานาชาติก็ตาม แต่ที่รับบทนำและทำหน้าที่ได้น่าชื่นชมเห็นจะเป็น อีแจฮุน ในบทจุนซอกหัวหอกของทีมปล้นที่ทั้งต้องแบกรับความผิดบาปที่พาเพื่อนมาสู่การไล่ล่าที่ดูไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนตกนรกได้อย่างยอดเยี่ยม และทำให้ทุกฉากที่มีตัวละครนี้ช่วยให้หนังดูเข้มข้นและมีอะไรน่าค้นหามากขึ้น.

โดยภาพรวมแล้วต้องยอมรับว่า Time to hunt คือหนังฟอร์มดีที่มาเสิร์ฟกันถึง Netflix และน่าจะแจ้งเกิดในไทยได้ไม่ยาก อย่าคิดมากรีบคลิกไปดูกันเลย  ชม Time to hunt กดตรงนี้เลย

 

 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส