เรล์ฟ ไฟนส์ กับบท ลอร์ดโวลเดอมอร์ ในแฟรนไชส์ Harry Potter

เรล์ฟ ไฟนส์ ก็เป็นนักแสดงชาวอังกฤษอีกคนหนึ่ง เข้าวงการด้วยงานแสดงทีวีซีรีส์ 3 เรื่อง ก่อนที่ผลงานจะไปเข้าตาพ่อมดฮอลลีวูด สตีเวน สปิลเบิร์ก ที่ได้หยิบยื่นบทบาทสำคัญ เอมอน เกิธ นายทหารนาซีจอมโหดใน Schindler’s List (1993) ที่เรล์ฟเล่นได้โหดและเลวจนคนดูจดจำได้แม่น กลายเป็นบทแจ้งเกิดที่ทำให้เขากลายเป็นพระเอกคนใหม่ของฮอลลีวูดในวันนั้น เรล์ฟมีผลงานต่อเนื่องหลายเรื่อง Quiz Show (1994), Strange Days (1995) และ The English Patient (1996) หลังจากนั้นเขาก็ยังได้รับบทนำในหนังอีกหลายเรื่อง แต่ก็เป็นผลงานในระดับกลาง ๆ ไม่ได้มีบทบาทที่น่าจดจำ
จนมาถึงปี 2005 โอกาสสำคัญก็มาถึงเขาอีกครั้ง เมื่อเขาได้รับข้อเสนอให้เป็น ลอร์ดโวลเดอเมอร์ วายร้ายตัวฉกาจคู่ปรับของ แฮร์รี่ พอตเตอร์ แน่นอนว่าบทสำคัญในแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องแบบนี้ น่าจะเป็นที่หมายปองของนักแสดงทั่วทั้งฮอลลีวูด แต่ไม่ใช่กับ เรล์ฟ ไฟนส์ ที่เขาบอกปัดไปอย่างหน้าตาเฉย เพราะในวันนั้นเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ Harry Potterเอาเสียเลย
“ความจริงก็คือ ตอนนั้นผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ Harry Potter เลยไม่ว่าจะหนังหรือหนังสือ พอผมได้รับข้อเสนอให้รับบทเป็นเจ้าแห่งด้านมืด ผมก็คิดแค่ว่าบทนี้มันไม่เหมาะกับผม”
ใครที่ได้ดู Harry Potter น่าจะเห็นพ้องต้องกันว่า เรล์ฟ ไฟนส์ สามารถถ่ายทอดบทบาทของลอร์ดโวลเดอมอร์ออกมาได้ทั้งน่ากลัวและน่าเกรงขาม ตรงตามตัวหนังสือที่ เจ.เค. โรว์ลิง ได้บรรยายไว้ ถ้าไม่ใช่ เรล์ฟ ไฟนส์ ในบทนี้เราก็นึกไม่ออกว่าจะมีใครเหมาะสมไปกว่านี้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น เราก็เกือบไม่ได้เห็นเรล์ฟ ไฟนส์ ในบทนี้แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะพี่สาวและหลาน ๆ ของเขาเป็นผู้โน้มน้าวให้เรล์ฟเปลี่ยนใจ เหตุมันเริ่มจากเรล์ฟไปเล่าให้พี่สาวฟังว่า เขาได้รับการติดต่อจากค่ายวอร์เนอร์ให้ไปรับบทเป็นลอร์ดโวลเดอมอร์ แน่ล่ะว่าคนที่เป็นแม่ลูกสาม จะต้องรู้จัก Harry Potter เป็นอย่างดี ซึ่งทำเอาเธอตื่นเต้นมาก เธอจึงได้อธิบายให้เรล์ฟเข้าใจว่าบทบาทนี้มันยิ่งใหญ่ขนาดไหน และคะยั้นคะยอให้เขาเปลี่ยนใจตอบรับบทนี้ได้ในที่สุด
แม้ว่าวันนี้เรื่องราวของ Harry Potter ในแฟรนไชส์หลักจะสิ้นสุดไปแล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องราวลอร์ดโวลเดอมอร์ ได้กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในฐานะวายร้ายที่น่ากลัวที่สุดรายหนึ่งบนโลกภาพยนตร์ นิตยสาร Empire ได้เคยจัดโพลให้ผู้อ่านเสนอชื่อวายร้ายตัวฉกาจในโลกภาพยนตร์ ชื่อของลอร์ดโวลเดอมอร์นั้นอยู่ในลำดับที่ 9 เหนือกว่าวายร้ายคลาสสิกอย่าง นอร์แมน เบตส์, เฟรดดี้ ครูเกอร์ และไมเคิล มายเออร์ เสียอีก
คริส เฮมส์เวิร์ธ กับบท เทพเจ้าธอร์ ในแฟรนไชส์ Thor

ในกลุ่มซูเปอร์ฮีโรหลัก ๆ ของมาร์เวลเลย คริส เฮมส์เวิร์ธ นี่เรียกได้ว่าเป็นนักแสดงคนเดียวในกลุ่มนี้ที่โนเนมสุด ๆ ก่อนที่จะได้มาสวมผ้าคลุมแดง ควงค้อนโยเนียร์นั้น เขาเป็นนักแสดงชาวออสเตรเลียที่มีบทนำอยู่ใน Home and Away ทีวีซีรีส์สัญชาติออสเตรเลีย ที่เขากะหากินยาว ๆ เพราะสร้างต่อเนื่องมา 3 ซีซันแล้ว ซึ่งก็เป็นแนวที่คริสพึงพอใจด้วย เขาไม่ต้องดิ้นรนไปหางานอื่น แต่ด้วยใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรและส่วนสูงถึง 190 ซม. รูปร่างหน้าตาแบบนี้ล่ะที่ไปลงล็อกพอดีกับบท เทพเจ้าธอร์ ที่มาร์เวลตามหาอยู่พอดี ทางมาร์เวลก็เลยยื่นข้อเสนอผ่านไปทางเอเยนต์ของคริส เฮมส์เวิร์ธ
คริส เฮมส์เวิร์ธ ย้อนเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า วันนั้นเขากำลังเดินข้ามถนนอยู่ในแวนคูเวอร์ เอเยนต์ของเขาก็โทรเข้ามาแจ้งข่าวว่า มาร์เวลต้องการตัวคริสไปรับบทเป็นเทพเจ้าธอร์ เป็นข่าวที่ตัวเอเยนต์ตื่นเต้นมากกว่าเขาเสียอีก แต่มีเงื่อนไขว่าต้องเซ็นสัญญาต่อเนื่อง 6 เรื่อง ตรงจุดนี้ล่ะที่ทำให้คริสรู้สึกลังเลใจที่จะตอบรับ ซึ่งเอเยนต์ของเขาเองก็ยอมรับว่ามันเป็นสัญญาที่ค่อนข้างผูกพันในระยะยาว
“ตอนนั้นเราเหมือนกับว่ามันเป็นสัญญาที่เซ็นไปแล้วค่อนข้างหนักหนาเอาการ เราจึงเลือกบอกปฏิเสธไปจะดีกว่า”
แม้ว่าเขาจะบอกปฏิเสธข้อเสนอนี้ไปแล้ว แต่กลายเป็นว่าคริสไม่สามารถตัดข้อเสนอนี้ออกจากหัวไปได้ เสียงในหัวยังคงตอกย้ำกับเขาอยู่เสมอว่า โอกาสแบบนี้มันช่างเหมือนกับฝันเป็นจริงเลยนะ คริสเลยกลับมาทบทวนอีกครั้งประมาณว่า ช่างมันวะ! เสี่ยงเป็นเสี่ยงกัน และนั่นคือจุดที่ทำให้เราได้เห็น คริส เฮมส์เวิร์ธ ในภาพลักษณ์เทพเจ้าธอร์ และเป็นซูเปอร์ฮีโรมาร์เวลเพียงคนเดียวที่จะมีหนังเดี่ยวลากยาวมาได้ถึงภาค 4 เลยด้วย
เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ กับบท แคตนิส เอเวอร์ดีน ในแฟรนไชส์ The Hunger Games

เป็นนักแสดงอีกคนที่ความสำเร็จมาถึงตัวอย่างรวดเร็วจนตั้งตัวแทบไม่ติด เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ เข้าวงการแสดงมาในปี 2006 เหมือนกับหลาย ๆ คน เธอเริ่มต้นด้วยการแสดงในทีวีซีรีส์ แต่ด้วยพรสวรรค์ทางด้านการแสดง ทำให้ผลงานของเธอใน Winter’s Bone ภาพยนตร์ปี 2010 ถูกกล่าวขวัญอย่างมากจากบรรดานักวิจารณ์ แม้จะเป็นภาพยนตร์ฟอร์มเล็ก ๆ และเป็นหนังยาวเรื่องที่ 4 ของเธอ แต่ก็สามารถส่งให้เธอเข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงนำยอดเยี่ยมได้เลย ชื่อของ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ กลายเป็นที่จับตามองในวงการตั้งแต่วันนั้น งานแสดงก็เริ่มหลั่งใหลเข้ามา
บทบาทสำคัญที่หยิบยื่นให้เธอหลังจาก Winter’s Bone ก็คือการได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกใน X-Men กับบท มิสติก มนุษย์กลายพันธุ์ที่มีความสามารถในการปลอมแปลงร่าง เป็นแฟรนไชส์ที่ผูกพันกับเธอไปถึง 3 ภาค แม้ว่าจะเป็นหนังในระดับบล็อกบัสเตอร์ แต่เธอก็เป็นหนึ่งในทีมนักแสดงชุดใหญ่และมักปรากฏตัวในภาพลักษณ์ที่ย้อมสีฟ้าทั้งตัว จึงยังไม่ใช่บทที่ส่งให้เธอเป็นที่จดจำในวงกว้างมากนัก
โอกาสสำคัญจริง ๆ มาถึงในปีถัดมา เมื่อ The Hunger Games นิยายขายดีถูกพัฒนามาเป็นภาพยนตร์และผู้สร้างเลือกให้เธอมารับบทนำเป็น แคตนิส เอเวอร์ดีน เมื่อโอกาสแบบนี้ถูกหยิบยื่นมาให้ เธอน่าจะโห่ร้องด้วยความยินดี แต่กลายเป็นว่าเจนนิเฟอร์กลับรู้สึกลังเลใจที่จะตอบรับ ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอโปรดปรานนิยาย The Hunger Games นี้มาก และด้วยประสบการณ์ที่เห็นหนังที่สร้างจากนิยายชั้นดีหลายต่อหลายเรื่องไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นภาพได้สมคุณค่า เธอจึงไม่อยากมีส่วนร่วมในการทำร้ายนิยายที่เธอรัก
จนกระทั่งเธอได้มีโอกาสพูดคุยกับ แกร์รี่ รอส ผู้กำกับภาคแรก ที่ให้ความมั่นใจกับเธอว่า เขาเข้าใจสิ่งที่เธอกังวลและเขาสัญญาว่าจะถ่ายทอดคุณค่าและเนื้อหาของนิยายออกมาให้ได้ครบถ้วน เพราะนี่คือโพรเจกต์ที่สร้างโดยแฟนนิยายเพื่อแฟนนิยาย
ผ่านไปได้เปลาะหนึ่ง แต่ความกังวลของเจนนิเฟอร์ยังไม่หมดไป เพราะในวันนั้นชื่อเสียงเธอยังอยู่ในระดับกลาง ๆ และเธอเป็นนักแสดงที่มาทางสายอินดี้ขายฝีมือ เมื่อต้องเข้ามารับบทนำในหนังฟอร์มใหญ่ระดับบล็อกบัสเตอร์ที่คนทั่วโลกคอยจับตามอง การตอบรับบทในระดับนี้เป็นก้าวสำคัญในชีวิตซึ่งจะส่งผลต่อเส้นทางในอาชีพของเธอในอนาคต และเป็นก้าวที่เสี่ยงอย่างมาก คือถ้าดีก็ดีเลย แต่ถ้าผลลัพธ์ออกมาตรงกันข้าม ชื่อเสียงเธอก็อาจจะดิ่งเลย
“การตอบรับแสดงเรื่องนี้มันเท่ากับเปลี่ยนชีวิตฉันไปเลยก็ได้ ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่ามันจะออกมาดีไหม ฉันกังวลที่สุดคือผลตอบรับหลังจากหนังออกฉายแล้ว แต่ก็นะ คุณไม่สามารถวิ่งหนีสิ่งที่คุณกลัวได้ ก็มีแต่ต้องลุยไปกับมันสักตั้งนั่นแหละ”
ถึงวันนี้เราต่างก็เห็นแล้วว่าผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างไร ในวัย 30 ปี เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ เข้าชิงออสการ์มาแล้วถึง 4 ครั้ง และคว้ามาได้สำเร็จจากหนัง Silver Linings Playbook (2012) แต่ถึงอย่างนั้น แฟน ๆ ทั่วโลกก็จดจำเธอได้ในภาพลักษณ์ของ แคตนิส เอเวอร์ดีน อยู่ดี
คริส แพรตต์ กับบท สตาร์ลอร์ด ใน Guardians of the Galaxy

คริส แพรตต์ เข้าวงการแสดงมาตั้งแต่ปี 2000 มีผลงานแสดงทั้งทีวีซีรีส์และภาพยนตร์มากมายหลายเรื่อง เขามีโอกาสได้ร่วมแสดงในหนังดังหลายเรื่องทั้ง Bride Wars (2009), Moneyball (2011), Zero Dark Thirty (2012) แต่ก็ไม่เคยได้บทที่น่าจดจำ แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนหรือดิ้นรนพยายามอะไรมาก เพราะอย่างน้อยเขาก็เป็นหนึ่งในทีมนักแสดงนำประจำซิตคอม Parks and Recreation ที่ลากยาวมาตั้งแต่ปี 2009 และบท แอนดี้ ดไวเยอร์ ของเขานั้น ถูกกำหนดบุคลิกลักษณะไว้ว่าเป็นชายร่างตุ้ยนุ้ย ทำให้คริส แพรตต์ จึงต้องเพิ่มน้ำหนักตัวเองตามบทนี้
แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นในปี 2013 เมื่อเขาได้รับการทาบทามจากมาร์เวล ให้มาออดิชันบท ปีเตอร์ ควิลล์ ฉายา สตาร์ลอร์ด ดีใจก็ดีใจ สับสนก็สับสนว่าทีมงานมาร์เวลมองเห็นอะไรในตัวเขา ทั้งที่ตอนนั้นเขาอ้วนมาก หนักถึง 136 กิโลกรัม บวกกับคริสเคยมีประสบการณ์เลวร้ายกับหนังฟอร์มใหญ่ที่เขายังไม่ลืม
“ผมไม่ต้องการเจอประสบการณ์น่าอับอายขายหน้าอีกแล้ว เหมือนตอนที่ผมไปออดิชันบทในหนัง G.I. Joe เมื่อ 2 ปีก่อน ตอนที่ผมไปที่นั่น ผมผ่านขั้นตอนไปได้ครึ่งทางแล้วผมก็เห็นสายตาผู้กำกับที่ทำท่ากลอกตาบนใส่ผม”
แต่สุดท้ายคริสก็ขอลองดูอีกสักครั้ง เขาพยายามลืมประสบการณ์อันน่าอับอายในอดีต แล้วพิสูจน์ตัวเองว่าเขาสามารถเป็นพระเอกได้ ด้วยการมุมานะเข้ายิมแล้วลดน้ำหนักจนฟิตหุ่นได้เฟิร์มอย่างที่เราเห็นเขาในภาพลักษณ์ของ ปีเตอร์ ควิลล์ ในปัจจุบันนี้
เอ็มมา สโตน กับบท มิอา โดแลน จาก La La Land

แม้ว่า La La Land จะไม่ใช่หนังที่สร้างชื่อให้กับ เอ็มมา สโตน เพราะก่อนหน้าเรื่องนี้ เอ็มมาก็มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงกว้างมาก่อนแล้วจาก Zombieland, The Amazing Spider-Man ทั้ง 2 ภาค และ Gangster Squad แต่ La La Land คือหนังที่ส่งเธอไปสู่จุดสูงสุดในอาชีพการแสดง ทำให้เธอคว้าออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงมาได้ ด้านรายได้ หนังยังทำเงินแบบถล่มทลายด้วยรายรับ 447 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างเพียงแค่ 30 ล้านเหรียญ เธอยังได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากจากคนดูและนักวิจารณ์ถึงความสามารถทั้งด้านร้องและเต้นของเธอ
แต่รู้ไหมครับว่าแรกเริ่มเดิมทีตอนที่ผู้กำกับ แดเมียน ชาเซลล์ มาทาบทามให้รับบทเป็น มิอา โดแลน นั้น เธอเคยบอกปฏิเสธบทนี้มาแล้ว ส่วนเหตุผลของเธอนั้นก็ฟังขึ้นเสียด้วย เพราะในช่วงนั้น เอ็มมาเธอรับบทนำในละครเวทีเรื่อง Cabaret ซึ่งละครเวทีนั้นต้องแสดงซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้กี่รอบ ทำให้เอ็มมารู้สึกเพลียมาก ร่างกายก็อ่อนเพลียจากการเต้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ส่วนสภาพจิตที่ต้องฟังเพลงเดิมเป็นร้อย ๆ รอบ ทำให้เธอเบื่อละครเพลงเข้าขั้นสุด
“เสียงฉันหายไปแล้วตอนนั้น แต่ฉันก็ยังต้องพยายามดิ้นรนแสดงจนจบให้ได้ แล้วเรื่องที่จะให้ฉันไปแสดงหนังเพลงอีกน่ะเหรอ ถ้าฉันรับงานแปลว่าฉันเสียสติไปแล้วแน่ ๆ หลังจากจบ Cabaret ฉันปฏิญาณเลยว่าฉันจะไม่ขอร้องและเต้นอีกแล้ว”
ถึงแม้ว่าเอ็มมาจะยืนกรานเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่ผู้กำกับแดเมียน ชาเซลล์ ก็ไม่ใช่คนยอมแพ้อะไรง่าย ๆ เขาติดต่อขอพูดคุยกับเอ็มมา อีกสักรอบ ครั้งนี้แดเมียนเอาเพลงที่จะใช้ในหนังมาเปิดให้เอ็มมาฟังด้วย ระหว่างที่เปิดเพลงไป เขาก็อธิบายภาพที่จะถ่ายในแต่ละฉากไปด้วย กลายเป็นว่าไอเดียการนำเสนอของแดเมียนครั้งนี้ได้ผล เอ็มมาอินตามภาพที่เขาบรรยายแล้วตอบตกลงในที่สุด แล้วเราก็ได้เห็นว่า La La Land มีผลต่อเส้นทางอาชีพการแสดงของเธอเพียงใด ถ้าเธอปฏิเสธไปจริง ๆ บอกไม่ถูกเลยว่าเธอจะต้องเสียใจถ้าพลาดโอกาสนี้ขนาดไหน
บรี ลาร์สัน กับบท แครอล เดนเวอร์ส ใน Captain Marvel

บรี ลาร์สัน เป็นนักแสดงอีกคนหนึ่งที่มาจากสายรางวัล และซีเรียสจริงจังกับงานแสดงขายฝีมือ จากหลาย ๆ คนที่เล่ามาก่อนหน้านี้ อย่าง เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ และ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ที่มาจากสายขายฝีมือการแสดง มักจะลังเลใจที่จะรับงานแสดงในหนังเมนสตรีม หรือหนังที่หวังผลทางการตลาด บรี ลาร์สัน เองก็เช่นกัน เธอมาจากสายหนังอินดี้ แล้วเธอก็ประสบความสำเร็จกับ Room หนังที่ส่งให้เธอคว้าออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงมาได้สำเร็จ ซึ่งเธอบอกว่าพึงพอใจมาก ๆ กับงานแสดงในแนวนี้ เธอชอบแสดงในหนังดราม่า และบทบาทที่มีความเป็นส่วนตัวสูง
หลังประสบความสำเร็จจาก Room เธอก็ได้รับการติดต่อจากมาร์เวลให้มารับบทเป็น แครอล เดนเวอร์ส หรือฉายา Captain Marvel แน่นอนว่าเธอไม่ได้ตอบรับในทันที แต่เก็บเอามาพิจารณาอยู่หลายเดือนก่อนที่จะตอบรับไป ด้วยเหตุผลที่ว่า หนังบล็อกบัสเตอร์นั้นแตกต่างจากแนวทางที่เธอชอบอย่างมาก
“ฉันไม่เคยจินตนาการตัวเองอยู่ในหนังแบบนี้มาก่อนเลย สาเหตุหลัก ๆ ก็เพราะฉันพอใจที่จะเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จักเสียมากกว่า เวลารับบทไหนฉันมักจะปล่อยตัวเองให้ถูกกลืนหายไปในบทบาทนั้น ๆ ตอนนี้ฉันรู้สึกได้ว่าฉันอยู่ในสายตาของผู้คนมากเกินไปแล้ว ซึ่งมันอาจจะจำกัดขอบเขตการแสดงของฉันในอนาคต”
ส่วนสาเหตุที่ทำให้เธอเปลี่ยนใจมายอมรับบทบาท แครอล เดนเวอร์ส นั่นก็เพราะเธอได้ลองสวมชุด Captain Marvel แล้วรู้สึกว่าเธอได้มีโอกาสลองทิศทางการแสดงใหม่ ๆ
“มันเป็นบทบาทที่มีพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ เธอสามารถพูดสิ่งที่เธอรู้สึกและสิ่งที่เธอคิดออกมาได้หมด โดยไม่ยอมให้ใครมาขัดขวางหนทางของเธอ”
แล้ว บรี ลาร์สัน ก็แสดงให้เห็นว่าเธอคือตัวเลือกที่เหมาะสม เธอเป็นนักแสดงที่มีพรสวรรค์ แล้วเธอก็นำความสามารถนั้นมาหล่อหลอมเข้ากับบทบาท แครอล เดนเวอร์ส ซึ่งเธอก็ถ่ายทอดให้เรารู้สึกถึงพลังอันน่าเกรงขามของ Captain Marvel ออกมาได้จริง