ในช่วงนี้กระแสภาพยนตร์ที่สร้างจากเกมเริ่มเป็นประเด็นให้คนพูดถึงอีกครั้ง เมื่อภาพยนตร์เรื่อง ‘Resident Evil Welcome to Raccoon City’ ฉายในต่างประเทศและมีคำวิจารณ์ในเว็บไซต์ ‘Rotten Tomatoes’ ออกมา ซึ่งสวนทางระหว่างนักวิจารณ์และคนดูจนทำให้เกิดประเด็นถกเถียงกันว่าภาพยนตร์มันดีจริงไหม ของฝ่ายที่สนับสนุนภาพยนตร์ กับฝ่ายที่ต่อว่าภาพยนตร์ที่ดูจากตัวอย่างว่าหนังคงแย่แน่ ๆ จนกลายเป็นการถกเถียงอยู่ตามสื่อต่าง ๆ ว่าเว็บไซต์วิจารณ์ภาพยนตร์เหล่านี้เชื่อถือได้ไหม เพราะในกรณีล่าสุดอย่าง ‘Eternals’ ที่ฝั่งนักวิจารณ์ให้มะเขือเน่า 48% ขณะที่คนดูนั้นกลับให้คะแนนตรงข้ามว่าน่าดูถึง 80% ที่ขัดแย้งกัน ซึ่งเมื่อเทียบกับเว็บไซต์อื่น ๆ ‘Rotten Tomatoes’ ค่อนข้างน่าเชื่อถือในอันดับต้น ๆ โดยเฉพาะฝั่งนักวิจารณ์ที่จะอ้างอิงจากนักวิจารณ์ที่เชื่อถือได้ ดังนั้นการมองของทั้งสองฝ่ายจึงต่างกันชัดเจนเมื่อเทียบกับที่อื่น ที่คนนอกสามารถมาอยู่ฝั่งนักวิจารณ์ได้ แต่ก็มีหลายครั้งที่นักวิจารณ์กับคนดูเห็นตรงกัน โดยเฉพาะภาพยนตร์ที่มาจากเกม จะมีภาพยนตร์จากเกมเรื่องอะไร ที่นักวิจารณ์กับคนดูเห็นตรงกันบ้างมาดูพร้อมกันเลย

Resident Evil Welcome to Raccoon City นักวิจารณ์ให้มะเขือเน่า 26% ฝั่งคนดูให้น่าดู 58% สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น

Resident Evil Welcome to Raccoon City

เริ่มต้นเรื่องแรกกับภาพยนตร์ที่หลายคนคงอยากจะรู้ ว่าภาพยนตร์เรื่องใหม่ของซีรีส์ ‘Resident Evil’ อย่าง ‘Resident Evil Welcome to Raccoon City’ ที่ตั้งแต่ตัวภาพยนตร์ประกาศสร้างจนปล่อยภาพในกองถ่ายและตัวอย่างออกมา ก็ทำให้บ้านเราเกิดเสียงแตกออกมา 3 ทางคือ ด่าว่าหนังต้องห่วยแน่ ๆ กับฝั่งที่บอกว่าต้องดีซิ กับฝ่ายที่ 3 บอกว่ารอดูหนังก่อนอย่างเพิ่งไปตัดสิน ซึ่งในต่างประเทศได้มีการฉายในรอบปกติไปแล้วและได้เสียงวิจารณ์จากฝั่งสื่อจาก 35 สำนักให้คะแนนมะเขือเน่า 26% ขณะที่ฝั่งคนดูนั้นตัวเลขเปลี่ยนไปมาตลอด เพราะในวันที่หาข้อมูลยังได้คะแนนน่าดูอยู่ที่ 62% แต่ตอนนี้กลับลดลงเหลือเททิ้งได้แค่ 58% เรียกว่าทั้งฝั่งชอบและไม่ชอบต่างถกเถียงให้คะแนนกัน โดยฝ่ายนักวิจารณ์บางส่วนบอกว่า “ทำไมต้องสร้างภาพยนตร์ที่แตกต่างจากขอบเขตที่มันมี ในเมื่อคุณสามารถสร้างภาพยนตร์ที่มันมีต้นแบบดีอยู่แล้ว” อีกคนบอกว่า “ตัวภาพยนตร์ให้ความตึงเครียดและเต็มไปด้วยการแสดงความเคารพต่อเกมดั้งเดิม แต่แยกตัวเองออกเป็นเรื่องราวของตนเองที่น่าตื่นเต้นและน่าสะพรึงกลัว” ส่วนฝั่งคนดูให้ความเห็นว่า “เป็นการผจญภัยที่สนุกสนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเป็นแฟนตัวยงของ ‘Resident Evil’ ถ้าคุณไม่ชอบหนังเรื่องนี้ คุณไม่ใช่ ‘RE Fan’ ตัวจริง” ส่วนคนที่ติติงบอกว่า “น่าผิดหวังจริง ๆ พวกเขาเปลี่ยนเรื่องราวของตัวละครมากมาย รู้สึกเหมือนพวกเขาต้องการหากำไรจากชื่อ ‘Resident Evil’ แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้สนใจแฟน ๆ เกมนี้เลย” ถ้าให้สรุปคงต้องบอกว่าตัวภาพยนตร์ค่อนข้างสนุกแต่เนื้อหานั้นต่างจากเกมมาก คงต้องรอดูว่าจะสนุกหรือไม่เอาไว้รอดูในโรงภาพยนตร์ดีกว่า

Resident Evil Welcome to Raccoon City

House of the Dead นักวิจารณ์ให้มะเขือเน่า 3% ฝั่งคนดูให้เททิ้ง 10% นี่สนุกแล้วหรอ

House of the Dead

ยังคงอยู่กับหนังซอมบี้แต่เปลี่ยนมาดูภาพยนตร์จากเกมที่ได้คะแนนต่ำเตี้ยเรี่ยดิน จากทั้งฝั่งนักวิจารณ์และฝั่งคนดูที่ต่างเทคะแนนทิ้งให้ภาพยนตร์เรื่อง ‘House of the Dead’ ที่ฉายในปี 2003 กับคะแนนฝั่งนักวิจารณ์จาก 61 สำนักให้มะเขือเน่า 3% ส่วนฝั่งคนดูเกินกว่า 25,000 ก็ให้เททิ้งสูงถึง 10% โดยเนื้อหาของภาพยนตร์นั้นจะเล่าถึงกลุ่มวัยรุ่นที่ไปเที่ยวเกาะร้างกลางทะเล ก่อนจะโดนซอมบี้บนเกาะฆ่า ซึ่งถ้าคุณเป็นคนเล่นเกมจะรู้ว่าเรื่องราวนี้เกิดขึ้นก่อนเกมภาคแรก โดยฝั่งนักวิจารณ์ที่ชมก็บอกว่า “ด้วยงบประมาณที่จำกัดแต่ตัวภาพยนตร์ก็ชดเชยด้วยฉากต่อสู้ที่เร้าใจ ทดแทนส่วนของเนื้อเรื่องฉากตัวละครได้” ส่วนฝ่ายที่ติติงก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าภาพยนตร์ขาดความสนุกเนื้อเรื่องไม่น่าสนใจ “ตัวภาพยนตร์ถือว่าสนุกแต่ขาดความน่าติดตาม แต่เพียงเพราะมันสร้างด้วยวิธีที่ไร้ความประณีตและไม่เป็นมืออาชีพ (คิดภาพไม่ออกให้คิดถึง เลว 2018 อะไรแบบนั้น) จนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์” ส่วนฝั่งคนดูที่หาคนให้เกิน 3 ดาวไม่ได้เลย ส่วนมากจะต่อว่าเรื่องราวของเนื้อหาที่ไม่ตรงในเกม จนบางทีไม่ต้องใช้ชื่อ ‘House of the Dead’ คงไม่โดนด่าแบบนี้ “เกลียดมาก แต่ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น โอเค แย่หน่อยก็ได้” ส่วนอีกคนบอกว่า “ประหยัดเวลาของคุณ จงหลีกเลี่ยงภาพยนตร์เรื่องนี้” ใครที่อยากรู้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้แย่อย่างที่ว่าไหมก็ไปหาดูได้ ตัวภาพยนตร์มี 2 ภาคเลยทีเดียว

House of the Dead

Super Mario Bros นักวิจารณ์ให้มะเขือเน่า 28% ฝั่งคนดูให้เททิ้ง 29% ถ้าอยากล้างสมองก็ควรไปดู

Super Mario Bros

ถ้าพูดถึงภาพยนตร์ที่สร้างมาจากเกมแล้ว ไม่พูดถึงภาพยนตร์ระดับตำนานอย่าง ‘Super Mario Bros’ บทความนี้คงขาดความสมบูรณ์ไปในทันที เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้คือภาพยนตร์จากวิดีโอเกมเรื่องแรกในประวัติศาสตร์วงการเกมที่ต้องจดบันทึกเอาไว้ และนี่เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ ‘Nintendo’ ยอมเอาตัวละครในค่ายตัวเองมาทำเป็นภาพยนตร์  โดยเรื่องราวจะกล่าวถึงสองพี่น้องที่ต้องไปช่วยเจ้าหญิง ที่ถูกเหล่าไดโนเสาร์จากมิติโลกคู่ขนานจับไป ซึ่งเรื่องราวเนื้อหาไปจนถึงตัวละครไม่มีความเป็นเกมอยู่เลย นอกจากหนวดนักแสดงในเรื่อง และด้วยความดีงามนี้เองจึงทำให้เหล่านักวิจารณ์กว่า 43 สำนักให้มะเขือเน่าไป 28% ส่วนคนดูเกินกว่า 100,000 คนให้เททิ้งไป 29% โดยส่วนนักวิจารณ์จะชื่นชมในส่วนของเนื้อหาภาพยนตร์ที่ถูกสร้างได้ลงตัว ดูสนุกถ้าเรื่องนี้ไม่แปะชื่อเกม ซึ่งคะแนนที่ถูกเทให้ทางมะเขือเน่าก็เพราะเรื่องราวไม่ตรงในเกมเลย หรือต้องเรียกว่าไม่ใช่เลย “ภาพยนตร์เรื่องนี้คือต้นแบบที่ดี เกี่ยวกับคำถามที่ว่าทำไมวิดีโอเกมถึงไม่สร้างภาพยนตร์ที่ดีออกมา” ซึ่งก็ตรงกับฝั่งคนดูที่คิดแบบเดียวกัน “พระเจ้า ทำไมคุณปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ฉันสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้า และภาวนาว่าภาพยนตร์ ‘Super Mario’ ที่จะมาถึงในปีหน้านี้ไม่ใช่กองขยะเหมือนเรื่องนี้” อีกคนบอกว่า “ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำลายเกมโปรดของฉัน ทำไม ‘Nintendo’ ทำแบบนี้” สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นไปดูเอาเองแล้วคุณจะรู้ว่ามันสนุกหรือไม่

Super Mario Bros

Silent Hill Revelation นักวิจารณ์ให้มะเขือเน่า 10% ฝั่งคนดูให้เททิ้ง 35% ถ้าชอบหนังผีก็ควรดูถ้าเล่นเกมมาก็ข้ามไปเถอะ

Silent Hill Revelation

มาดูภาพยนตร์สยองขวัญกันบ้าง กับภาพยนตร์ที่สร้างจากเกมที่หลายคนรู้จักอย่าง ‘Silent Hill’ กับภาพยนตร์เรื่อง ‘Silent Hill Revelation’ ที่เป็นภาคต่อจากภาพยนตร์ภาคแรกที่ความหลอนจากมิตินรกและการตามล่าจากปีศาจยังตามหลอกหลอนสาวน้อย จนเธอต้องหาทางยุติมันด้วยตัวเอง ตัวภาพยนตร์ต่อจากภาคที่แล้วแต่ถ้าไม่เคยดูภาคแรกมาก่อนก็สามารถดูได้ โดยคะแนนฝั่งนักวิจารณ์สวนทางกับคนดูไปคนละทาง จะให้มะเขือเน่ากับเททิ้งเหมือนกันก็ตาม ซึ่งส่วนมากจะชื่นชมภาคแรกว่าทำดีกว่า โดยฝั่งนักวิจารณ์ 60 สำนักให้มะเขือเน่า 10% ส่วนฝั่งคนดูเกิน 25,000 คนให้เททิ้ง 35% โดยฝั่งนักวิจารณ์บอกว่า “ต้องมีใครซักคนที่สามารถดัดแปลงวิดีโอเกมให้ประสบความสำเร็จได้ เพราะศรัทธากำลังสูญเสียไปทุกปี และ ‘Silent Hill Revelation’ ก็ทำไม่ได้และเราก็หวังว่ามันจะมีวันเป็นจริง” หรือ “เมือง ‘Silent Hill’ ไม่ใช่สถานที่ที่คุณอยากไป และมันก็ใช้ได้กับผู้ชมเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์” หรือฝั่งคนดูก็ชื่นชมภาคแรกที่ทำออกมาน่าสนใจและมีความเป็น ‘Silent Hill’ กว่าภาคนี้ “หนังเรื่องนี้แย่มากน่าจะมีคะแนนติดลบ แม้ว่าภาพยนตร์เรื่อง ‘Silent Hill’ เรื่องแรกจะน่าทึ่ง แต่เรื่องนี้เป็นการเสียเวลาและทรัพยากรโดยสิ้นเชิง” อีกคนบอกว่า “เป็นความคิดที่บ้ามาก ฉันรักเกมนี้และคงจะเก็บภาพยนตร์เรื่องนี้ไปฝันแน่นอน รวมถึงนางพยาบาลและเจ้า Pyramid Head ที่จะฝังแน่นในหัวของฉันตลอดไป” สรุปถ้าคุณเป็นแฟนเกมนี้ควรดูแค่ภาคแรกก็พอ เพราะหลายส่วนค่อนข้างตรงกับเกม ส่วนภาค 2 ของภาพยนตร์นั้นไม่มีอะไรที่เหมือนในเกมภาค 3 เลย แต่ถ้าคุณชอบนางพยาบาลกับ Pyramid Head ก็ดูได้เลย

Silent Hill Revelation

(อ่านต่อหน้า 2)

Assassin’s Creed นักวิจารณ์ให้มะเขือเน่า 18% ฝั่งคนดูให้เททิ้ง 42% ถ้าเล่นเกมมาก็พอดูได้แต่ถ้าไม่รู้จักเกมเลยมาดูคงไม่ชอบ

Assassin's Creed

ถ้าเรื่องราวที่แต่งขึ้นมาใหม่มันอาจจะทำให้เกมไม่สนุก ถ้าอย่างนั้นก็สร้างเรื่องราวในภาพยนตร์ให้เชื่อมกับเกมไปเลย อย่างที่ภาพยนตร์ ‘Assassin’s Creed’ ทำ กับเรื่องราวการย้อนเวลากลับไปในยุคอดีตผ่านความทรงจำของผู้ร่วมสายเลือดในยุคนั้น ที่ตัวภาพยนตร์พยายามเชื่อมโยงหลาย ๆ สิ่งเข้ากับเกม ซึ่งคนที่ไม่เคยเล่นเกมมาก่อนมาดูอาจจะงงและเข้าไม่ถึงเท่าคนที่เล่นเกมมาแล้ว แต่ถึงแบบนั้นภาพยนตร์ก็ไม่ถูกใจทั้งฝั่งนักวิจารณ์กว่า 225 สำนักที่ให้ให้มะเขือเน่า 18% ส่วนฝั่งคนดูเกิน 50,000 คนให้เททิ้ง 42% ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างให้ความเห็นที่คล้ายกันว่า ตัวภาพยนตร์รีบเล่าเนื้อหาและงุนงงกับเหตุการณ์รวมถึงบทที่ไม่น่าสนใจ ซึ่งคนที่ไม่ได้เล่นเกมมาจะงงในทันที “ภาพยนตร์ ‘Assassin’s Creed’ ไม่อนุญาตให้เราถือคอนโทรลเลอร์เพราะมันคือภาพยนตร์ แต่คุณก็ต้องการดูต่อว่าเรื่องราวจะคลี่คลายอย่างไรต่อไป” อีกคนบอกว่า “การเล่าเรื่องจาก 2 ช่วงเวลาทำให้เรื่องน่าสนใจ แต่บทสนทนาที่คลุมเครืองุนงงมากเกินไป และมักคลุมเครืออย่างยิ่งขึ้นในตอนท้าย ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ยากจะติดตาม โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้เล่นเกมมาก่อน” ส่วนฝั่งผู้ชมให้ความเห็นว่า “90% ของหนังเสียเวลาไปกับการอธิบายเครื่องย้อนเวลา ในขณะที่ฉากแอ็กชันช่วงยุคอดีตทำได้ยอดเยี่ยมมาก ตัวละครค่อนข้างงี่เง่าเรื่องมากจนคนดูไม่ชอบ” อีกคนบอกว่า “แม้หนังจะรักษาเรื่องราวที่อิงกับเกมได้ดีและยอดเยี่ยม แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ขาดตัวละครและบทสนทนาที่น่าสนใจ” ตัวภาพยนตร์อ้างอิงในเกมได้ดีแต่ถ้าคุณไม่เคยเล่นเกมนี้ก่อนบอกเลยว่างงแน่นอน

Assassin's Creed

Doom นักวิจารณ์ให้มะเขือเน่า 18% ฝั่งคนดูให้เททิ้ง 34% TheRock ก็ช่วยให้หนังสนุกขึ้นไม่ได้

Doom

ย้อนกลับไปในอดีตที่ ‘The Rock’ หรือ ดเวย์น จอห์นสัน (Dwayne Johnson)  นักมวยปล้ำชื่อดังที่ผันตัวเองมาเป็นนักแสดงและกำลังสร้างชื่อในวงการ หนึ่งในภาพยนตร์ที่เขาแสดงนั้นมีภาพยนตร์จากเกมเรื่อง ‘Doom’ อยู่ด้วย โดยเรื่องราวในภาพยนตร์จะเล่าถึงสถานีบนดาวอังคารที่ขาดการติดต่อจนต้องส่งหน่วยพิเศษไปดู ซึ่งเนื้อหานั้นจะอ้างอิงมาจากเกม ‘Doom 3’ ที่อ้างอิงมาได้ดีและมี ‘The Rock’ แต่ก็ไม่ช่วยให้ภาพยนตร์เรื่องนี้พ้นจากคะแนนมะเขือเน่าจากนักวิจารณ์จาก 138 สำนักให้มะเขือเน่า 18% ส่วนฝั่งคนดูเกิน 250,000 คนเทคะแนนแง่ลบให้จนได้คะแนนเททิ้งที่ 34% โดยฝั่งนักวิจารณ์ก็ให้ความคิดไปหลายทางทั้งชอบไม่ชอบ เพราะเนื้อหาในภาพยนตร์มันซ้ำซากไม่มีอะไรใหม่เช่น “เรื่องนี้สนุกแต่ไม่สนุกเท่าเล่นเกม Doom ด้วยตัวเอง” อีกคนบอกว่า “ฉันแนะนำให้กลับบ้านเปิดเกม ‘Doom’ เล่น จะมีความสนุกกว่าจ่ายเงินไปดูเรื่องนี้” ส่วนฝั่งคนดูที่มีทั้งชอบและไม่ชอบบอกว่า “ภาพยนตร์เรื่องนี้ในตอนแรกที่ดูเหมือนมันจะเป็นการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ ที่มีตัวละครซึ่งได้รับการพัฒนามาอย่างดี แต่ไม่นานหลังจากนั้นมันก็กลายเป็นนักฆ่าสัตว์ประหลาดแบบสุ่ม เดี๋ยวก่อนนะ มันทำให้ผมนึกถึงอะไรบางอย่าง ใช่แล้วผมนึกถึงเกม ‘Doom’ นั่นเอง” อีกคนบอกว่า “ภาพยนตร์เรื่องนี้เกือบจะฆ่าอาชีพนักแสดงของ ‘The Rock’ โชคดีที่มันไม่แย่ในแง่ของภาพยนตร์แอ็กชัน” ถ้าคุณชอบ ‘The Rock’ และอยากหาภาพยนตร์สัตว์ประหลาดก็ดูได้เลย

Doom

Street Fighter นักวิจารณ์ให้มะเขือเน่า 13% ฝั่งคนดูให้เททิ้ง 20% สาบานว่านี่คือหนังจากเกม

Street Fighter

ย้อนเวลากลับไปในช่วงยุค 90s ภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกในตอนนั้น คือภาพยนตร์แนวอเมริกันฮีโรข้าคนเดียวลุยทั้งกองทัพ ซึ่งสิ่งนั้นก็ส่งผลถึงภาพยนตร์ที่สร้างจากเกมอย่าง ‘Street Fighter’ ที่ตัวภาพยนตร์เปลี่ยนเนื้อหาของเกมทั้งหมดใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนตัวพระเอกไปจนถึงการจัดตัวละครต่าง ๆ ในเกมให้มาอยู่ในหนัง จนกลายเป็นหนังแอ็กชันระเบิดภูเขาเผากระท่อมถล่มตึกที่แฟนเกมในยุคนั้นไม่ชอบ ขนาดฝั่งนักวิจารณ์ 40 สำนักให้มะเขือเน่า 13% ส่วนฝั่งคนดูเกิน 50,000 ให้เททิ้ง 20% โดยฝั่งนักวิจารณ์บอกว่า “ตอนนั้นฉันอายุเพียง 11 ปี ฉันก็ยังรู้เลยว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มันแย่ในแง่ของภาพยนตร์ที่สร้างจากเกม  ในขณะที่เกมนั้นช่างเหลือเชื่อ” อีกคนบอกว่า “ฉากศิลปะการต่อสู้ที่ตัดต่อได้ไม่ดี แถมบทของตัวละครก็แบ่งกันมั่วไม่ค่อยน่าสนใจ” ส่วนทางฝั่งคนดูให้ความเห็นว่า “หลังจากที่เคยดูเรื่องนี้เมื่อ 30 ปีที่แล้วในโรงภาพยนตร์ มันก็ยังคงเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่แย่ที่สุดที่ฉันเคยจ่ายเงินเพื่อดู อาจเป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากวิดีโอเกมที่แย่ที่สุดในยุค 90s เลย” อีกคนบอกว่า “ไม่เหมือนวิดีโอเกมเลย” ซึ่งทั้งสองฝั่งต่างลงความเห็นว่าตัวภาพยนตร์นั้นก็เป็นแนวแอ็กชันทั่วไปที่มีอยู่เกลื่อนตลาดในยุคนั้น แถมด้วยเนื้อหาที่ไม่ต้องกับในเกมเข้าไปอีก เลยทำให้เรื่องนี้ถูกสาปส่งจากแฟน ๆ เกม

Street Fighter

Tomb Raider นักวิจารณ์ให้มะเขือเน่า 52% ฝั่งคนดูให้เททิ้ง 55% เกือบดีแต่ก็ยังไม่ดี

Tomb Raider

เชื่อว่าหลายคนที่รู้จักซีรีส์เกม ‘Tomb Raider’ คงจะคุ้นเคยกับภาพยนตร์ ‘Tomb Raider’ ทั้งสองภาค ที่ได้นักแสดงเจ้าบทบาทอย่าง แอนเจลีนา โจลี (Angelina Jolie) มาแสดง ที่ก็ได้รับเสียงตอบรับในทางลบจากแฟน ๆ กับมะเขือเน่า 20% กับคะแนนเททิ้งจากคนดูไป 47% ขณะที่ ‘Tomb Raider’ ฉบับใหม่ที่ฉายในปี 2018 กับเรื่องราวที่เล่าใหม่ โดยอ้างอิงเนื้อเรื่องในเกม ‘Tomb Raider’ ฉบับปี 2013 มาสร้าง กับการตามหาเรื่องราวของเกาะลึกลับเพื่อสานต่องานของพ่อ ที่เรื่องราวตรงกับในเกมแค่ช่วงแรก ก่อนที่เนื้อหาจะถูกเปลี่ยนจนแฟน ๆ รับไม่ได้ จนทำให้ภาพยนตร์ได้คะแนนจากฝั่งนักวิจารณ์ 321 สำนักให้มะเขือเน่า 52% ขณะที่ฝั่งคนดูกว่า 10,000 คนให้เททิ้ง 55% ซึ่งเกือบทั้งหมดบอกว่า ‘Tomb Raider’ ฉบับนี้ดีกว่าของเก่า และชื่นชม อลิเซีย วิกันเดอร์ (Alicia Vikander) ว่าเล่นสมบทบาท “มันไม่สมบูรณ์แบบ แต่มีความบันเทิงเพียงพอที่จะไปดูรอบตั๋วครึ่งราคา” อีกคนบอกว่า ‘ผู้กำกับคนเขียนบทน่าจะคุยกับทีมพัฒนามากกว่านี้ เรื่องราวในภาพยนตร์จะได้ดีกว่านี้” ส่วนฝั่งคนดูที่เทคะแนนทิ้งก็บ่นเรื่องเนื้อหา ที่เปลี่ยนแปลงจากเกมหลายจุด แต่ก็สิ่งดีงามเดียวกันคือนักแสดง “ตัวหนังอาจไม่ใช่การดัดแปลงที่แฟน ๆ ของเกมอาจใฝ่ฝัน แต่มันก็ยังคงเป็นหนังแอ็กชันผจญภัยที่สนุกสนาน” อีกคนบอกว่า “เทคนิคพิเศษ 1.0  เสียง 0.5 การแสดง 0.5 เนื้อเรื่อง 1.0” ตัวภาพยนตร์ดูสนุกกว่าฉบับเก่า ตัวละครเป็นมนุษย์สมจริงมากขึ้น แต่ถ้าเนื้อเรื่องคล้ายเกมจะดีกว่านี้

Tomb Raider

Alone in the Dark นักวิจารณ์ให้มะเขือเน่า 1% ฝั่งคนดูให้เททิ้ง 11% ที่สุดภาพยนตร์ที่สร้างจากเกม

Alone in the Dark

ปิดท้ายกับภาพยนตร์จากเกมที่ได้คะแนนต่ำที่สุดที่เคยมีมา กับคะแนนจากนักวิจารณ์ 123 สำนักให้มะเขือเน่า 1% กับฝั่งคนดูกว่า 50,000 คนให้เททิ้ง 11% เรียกว่าต่ำเตี้ยกว่านี้ไม่มีอีกแล้วกับภาพยนตร์เรื่อง ‘Alone in the Dark’ ที่ตัวภาพยนตร์จะเล่าถึงนักสืบเรื่องลึกลับที่ตามสืบเกี่ยวกับปีศาจโบราณที่พยายามจะคืนชีพ ตัวภาพยนตร์อ้างอิงเรื่องราวตามในเกมเพียงบางส่วน ซึ่งแม้แต่คนที่เล่นเกมซีรีส์นี้มาแล้วมาดูก็คงจะหาความสนุกของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เจอ ซึ่งทางฝั่งนักวิจารณ์ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าภาพยนตร์นั้นไม่สนุก เนื้อเรื่องขาดความน่าสนใจ และไม่มีความเกี่ยวเนื่องอะไรกับเกมเลยนอกจากชื่อตัวละคร ซึ่งจากการหาข้อมูลในฝังนักวิจารณ์ ไม่มีผู้ให้คะแนนมะเขือดีเลยแม้แต่คนเดียว ซึ่งทั้งหมดจะเต็มไปด้วยคำติติงอย่างบทภาพยนตร์ที่น่าเบื่อ บทพูดที่แย่ ฉากเนื้อหาที่ไม่ตรงกับเกม จนมีแต่เสียงติติงอย่าง “นี่เป็นการสร้างภาพยนตร์ที่ไร้ประสิทธิภาพที่สุด ที่คุณสามารถรับชมได้ในโรงภาพยนตร์” หรือ “ใครที่เลือกดูหนังเรื่องนี้ คุณจะอยู่คนเดียวในความมืดมิดสมชื่อ เพราะโรงหนังส่วนใหญ่จะว่างเปล่า” ส่วนฝั่งคนดูที่เทคะแนนด้านลบก็ให้เสียงวิจารณ์แง่ลบเหมือนกันอย่าง “ภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากวิดีโอเกมไม่ค่อยจะดีนัก แต่เอาเถอะ นี่เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่แย่ที่สุดที่ฉันเคยดูมาในรอบหลายปี” อีกคนบอกว่า “แย่” บางคนก็ “ZZZ zzz ZZZ zz” แล้วก็ “น่าเบื่อ น่าเบื่อ น่าเบื่อ” เรียกว่าหาดีแทบไม่ได้เลยทั้งในแง่ของภาพยนตร์ที่สร้างจากเกม หรือแม้แต่ภาพยนตร์ทั่วไปที่ยังหาความสนุกไม่เจอ ใครที่อยากรู้ว่าเรื่องนี้มันไม่ดีแบบนั้นจริง ๆ หรือเปล่า ต้องไปหามาดูแล้วคุณจะรู้ว่ามันจริงอย่างที่เขาว่ากันทุกอย่าง

Alone in the Dark

เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 9 ภาพยนตร์ที่สร้างจากเกม ที่ได้คะแนนมะเขือเน่าจากฝั่งนักวิจารณ์และคะแนนเททิ้งจากฝั่งคนดูที่เห็นตรงกัน ซึ่งเอาจริง ๆ ยังมีภาพยนตร์จากเกมที่ได้คะแนนในแง่ลบตรงกันทั้งสองฝ่ายอีกหลายเรื่อง เอาไว้มีโอกาสเราจะหยิบยกมาพูดถึง และเราต้องขอย้ำอีกครั้งว่าบทวิจารณ์การให้คะแนนนั้น ไม่สามารถเป็นตัวชี้วัดว่าภาพยนตร์เรื่องนั้นสนุกรึไม่  เพราะเรื่องที่คนอื่นบอกว่าแย่ไม่สนุกได้คะแนนวิจารณ์แง่ลบ อาจจะสนุกของเราก็ได้ใครจะรู้ ดังนั้นสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น แต่แค่เอาคำวิจารณ์มาเป็นตัวตัดสินเล็กน้อยก่อนไปดู แต่อย่าเพิ่งตัดสินว่ามันไม่ดีก่อนดู ใครสนใจเรื่องไหนก็ไปหามาดูกัน แล้วคุณจะรู้ว่าตัวเองอยู่ฝั่งไหนในภาพยนตร์เรื่องนั้น ๆ จะให้มะเขือดีหรือเน่าขึ้นอยู่กับคุณเป็นคนตัดสิน

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส