จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์นี้ต้องย้อนไปในเดือนเมษายน ปี 1997 โจรลักพาตัวเด็ก สวมรอยแต่งเครื่องแบบเป็นนางพยาบาล อุ้มหนูน้อยวัยเพียงแค่ 3 วัน ออกจากห้องเด็กอ่อน แล้วรีบรุดออกมาจากโรงพยาบาลเคปทาวน์ เหตุการณ์นี้กลายเป็นข่าวดังอยู่ชั่วระยะหนึ่ง แต่แล้วก็เงียบหายไปตามกาลเวลา เพราะตำรวจไม่สามารถสืบสาวหาร่องรอยของหนูน้อยได้ พ่อแม่ของเด็กหลังจากทำใจได้ก็มีลูกคนใหม่กันไป

ผ่านมาเกือบ 18 ปี ในเดือนมกราคม 2015 มิช (Miche) สาวน้อยวัย 17 ปี เรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 6 ในโรงเรียน Zwaanswyk High School อยู่ในเมืองเคปทาวน์ วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก และจะเป็นเทอมสุดท้ายของมิชที่โรงเรียนนี้ แล้วเธอก็จะได้เข้าสู่ชีวิตนักเรียนมหาวิทยาลัย ก็นับว่าเป็นอีกวันที่สดใสในชีวิตเธอ แต่แล้วเพื่อน ๆ ก็มารุมล้อมเธอ ทุกคนต่างตื่นเต้นที่จะได้บอกกับมิชว่า มีน้อง ม.4 เข้ามาใหม่ ชื่อว่า แคสซิดี้ เนอร์ส (Cassidy Nurse) ที่ต้องมาบอกกับมิชก็เพราะว่า น้องใหม่คนนี้ช่างหน้าตาเหมือนกับมิช อย่างกับเป็นพี่น้องท้องเดียวกันอย่างนั้นแหละ มิชได้ฟังแล้วก็ยิ้มรับไป แต่ไม่ได้ใส่ใจอะไรนักหนา คนเราหน้าตาคล้ายกันได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

ภาพเซลฟีของ มิช (ซ้าย) และ แคสซิดี้ (ขวา) ที่กลายเป็นภาพพลิกชีวิต

แต่แล้ววันหนึ่ง มิชก็ได้เจอกับแคสซิดี้เข้าจริง ๆ ระหว่างที่เดินสวนกันในโรงเรียน มิชเล่าว่าวินาทีที่เธอได้เจอกับแคสซิดี้นั้น เธอมีความรู้สึกผูกพันแบบแปลก ๆ เกิดขึ้น เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก
“ฉันรู้สึกเหมือนว่าฉันรู้จักเธอมาทั้งชีวิต สำหรับฉันมันน่ากลัวมากนะ ที่ฉันไม่สามารถอธิบายได้ว่าความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไรกัน”

แต่หลังจากวันนั้น สองสาวก็ได้ทำความรู้จักกัน แล้วก็เริ่มสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว ทั้งคู่ต่างพอใจที่จะใช้เวลาอยู่ร่วมกันมากขึ้น

“ฉันมักจะเรียกเธอว่า ‘เฮ้ แม่สาวน้อย!’ แล้วเธอก็จะขานรับว่า ‘เฮ้ พี่สาว’
มิช เล่าให้กับนักข่าวฟัง

“บางครั้งเราก็จะเข้าไปอยู่ในห้องน้ำด้วยกัน ฉันก็จะบอกกับแคสซิดี้ว่า ‘ฉันจะแปรงผมให้เธอนะ มานี่ให้ฉันเติมลิปมันให้เธอสักหน่อยซิ’ “

พออยู่ด้วยกันมากขึ้น เพื่อน ๆ ก็มักจะสงสัยแล้วตั้งคำถามว่า “นี่เธอสองคนเป็นพี่น้องกันจริง ๆ รึเปล่าเนี่ย” มิชก็จะตอบแบบติดตลกไปว่า “ไม่รู้สิ คงจะตั้งแต่ชาติที่แล้วมั้ง”

เรื่องราวมาถึงจุดพลิกผันจริง ๆ ในวันที่สองสาวเข้าไปอยู่ในห้องน้ำด้วยกัน แล้วก็ทำกิจวัตรอย่างเช่นสาว ๆ ส่วนใหญ่ชอบทำกัน นั่นก็คือถ่ายภาพเซลฟี ทั้งคู่ถ่ายรูปคู่กันแล้วต่างคนก็ต่างนำภาพไปอวดเพื่อน ๆ พอเพื่อนของมิชดูภาพก็แซวเธอว่า
“นี่เธอแน่ใจเหรอว่าเธอไม่ใช่ลูกที่พ่อแม่รับมาเลี้ยงน่ะ”
มิชก็รีบตอบสวนกลับไปทันที
“ก็ไม่ใช่น่ะสิ ถามไรบ้า ๆ”

มิช โซโลมอน หรือ เซฟานี เนอร์ส ในปัจจุบัน

ในวันนั้นเมื่อทั้งมิชและแคสซิดี้ต่างก็กลับไปบ้านของตน ต่างคนก็ต่างเอาภาพเซลฟีนี้อวดพ่อแม่ของตัวเองว่ามีเพื่อนต่างวัยที่โรงเรียน ที่ใคร ๆ ก็บอกว่าหน้าเหมือนกัน ให้พ่อแม่ดูซิว่าเธอทั้งคู่หน้าตาเหมือนกันจริงไหม ลาโวนา (Lavona) แม่ของมิชดูภาพแล้วก็ไม่ได้แสดงความเห็นอะไร ส่วน ไมเคิล ( Michael) ผู้เป็นพ่อดูภาพแล้วก็บอกมิชว่า เขาจำแคสซิดี้สาวน้อยในภาพนี้ได้ ว่าพ่อของเธอนั้นเปิดร้านขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่เขาเคยไปซื้อของอยู่บ้าง

สลับมาที่บ้านของแคสซิดี้ เมื่อสาวน้อยเอาภาพเซลฟีอวดพ่อแม่ ว่ามีพี่สาวที่โรงเรียนหน้าตาเหมือนเธอมาก เซเลสต์ (Celeste) ผู้เป็นแม่ และ มอร์น (Morne) ผู้เป็นพ่อ ต่างก็พากันพินิจพิจารณาสาวน้อยในภาพกันอย่างตั้งอกตั้งใจ พ่อแม่หันไปบอกกับแคสซิดี้ว่า “ถ้าเจอมิชอีกเมื่อไหร่ พ่อกับแม่ฝากไปถามทีว่า มิชเกิดเมื่อวันที่ 30 เมษายน 1997 ใช่ไหม? “

แล้วแคสซิดี้ก็ทำตามที่พ่อแม่ขอมาจริง ๆ เธอถามมิชทันทีที่พบกันอีกครั้ง “พี่เกิดเมื่อวันที่ 30 เมษายน 1997 ใช่ไหม? “
มิชตอบกลับมาทันที เหมือนจะหัวเสียเล็กน้อย
“ถามทำไม นี่เธอมาแอบส่องเฟซบุ๊กฉันเหรอเนี่ย? “
แคสซิดี้รีบแก้ต่างว่าเธอไม่ได้สอดส่องอะไรทางเฟซบุ๊กของมิช แต่พ่อแม่ฝากมาถามแค่นั้น มิชจึงตอบกลับไปว่า “ใช่ เธอเกิดเมื่อวันที่ 30 เมษายน 1997 จริง”

ลาโวนา โซโลมอน กับหนูน้อย มิช ในวันแรก ๆ

ตัดข้ามมาหลังจากนั้นอีก 1 สัปดาห์ ระหว่างที่มิชนั่งเรียนวิชาคณิตศาสตร์อยู่ในห้อง เธอก็ถูกเรียกตัวให้ไปที่ห้องอาจารย์ใหญ่ ภายในห้องนั้นมีเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ 2 คนนั่งรอเธออยู่ก่อนแล้ว พอมิชมาถึงเจ้าหน้าที่ทั้งสองก็เริ่มเล่าเรื่องราวแบบไม่อ้อมค้อม ย้อนไปเมื่อปี 1997 มีเด็กหญิงแรกคลอดอายุเพียงแค่ 3 วันชื่อว่า เซฟานี เนอร์ส (Zephany Nurse) ถูกขโมยตัวออกไปจากโรงพยาบาล Groote Schuur ในเมืองเคปทาวน์ ผ่านมาจนถึงวันนี้ก็ 17 ปีแล้ว ก็ยังไม่มีใครพบเบาะแสเลย มิชตั้งใจฟังเรื่องที่เจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์เล่า แต่ก็ยังสับสนว่าพวกเขาต้องการจะสื่ออะไรกับเธอกันแน่ เจ้าหน้าที่จึงพูดต่อไปว่า ถึงขณะนี้พวกเขามีหลักฐานค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่า มิชก็คือเด็กหญิงที่ถูกลักพาตัวไปนั่นเอง

มันเป็นเรื่องที่ชวนช็อกเกินไปสำหรับมิช เธอไม่อยากเชื่อและไม่อยากให้เป็นจริง เธอจึงแย้งไปตามข้อมูลที่เธอมีว่า เธอไม่ได้เกิดที่โรงพยาบาล Groote Schuur แต่เธอเกิดที่โรงพยาบาล Retreat ต่างหาก ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 20 นาที จากโรงเรียนนี้ ใบสูติบัตรของเธอยังระบุไว้เลยว่าเธอเกิดที่โรงพยาบาล Retreat แต่เจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ก็แย้งกลับมาทันทีว่า ทั้งคู่ได้เช็กกับโรงพยาบาล Retreat เรียบร้อยแล้ว ไม่มีบันทึกไว้เลยว่าเธอคลอดที่นั่น เมื่อข้อมูลต่างฝ่ายต่างไม่ตรงกัน ทางเดียวที่จะพิสูจน์ชี้ชัดได้คือ การตรวจ DNA ซึ่งมิชเองเต็มใจที่จะพิสูจน์

“ฉันเชื่อมั่นในตัวแม่ที่เลี้ยงฉันมา แม่ต้องไม่โกหกฉันแน่ ๆ โดยเฉพาะเรื่องที่ว่าตัวตนจริง ๆ ของฉันเป็นใคร ฉันมาจากไหน เพราะฉะนั้นยิ่งทำให้ฉันมั่นอกมั่นใจว่าผล DNA พิสูจน์ตัวตนว่าฉันเป็นเด็กที่ถูกขโมยมาจะต้องออกมาเป็นลบ”

ไมเคิล กับหนูน้อยมิช ในวัย 8 เดือน

แต่แล้วความจริงก็ได้พิสูจน์ตัวของมันเองในวันถัดมา ผล DNA ยืนยันแน่ชัดว่า มิช โซโลมอน ก็คือ เซฟานี เนอร์ส เด็กน้อยที่ถูกลักพาตัวจากโรงพยาบาล Groote Schuur เมื่อปี 1997 นั่นเอง

“ฉันถึงกับทรุดตัวลงนั่งด้วยความช็อก ฉันไม่สามารถควบคุมชีวิตฉันเองได้แล้ว”

ตั้งแต่นั้นเรื่องราวของมิช จากทารกที่โดนขโมยตัวจากโรงพยาบาล ผ่านมาเกือบ 2 ทศวรรษ ได้ถูกพบตัวโดยบังเอิญ ก็กลายเป็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในแอฟริกาใต้ และขยายต่อไปทั่วโลก และมันทำให้ชีวิตของมิชเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่โดยฉับพลัน

ตำรวจและเจ้าหน้าที่ยืนกรานว่า เมื่อผลพิสูจน์ชัดออกมาแบบนี้ มิชจะไม่สามารถกลับไปบ้านเดิมของเธอได้อีกต่อไป เธอจะต้องพักอยู่ที่เซฟเฮาส์ไปอีก 3 เดือน ซึ่งเธอจะอายุ 18 ปีบริบูรณ์ และมีสิทธิ์ตามกฏหมายว่าจะตัดสินใจเลือกเส้นทางเดินชีวิตของเธอได้เอง ข่าวร้ายสำหรับมิชยังไม่หมดแค่นั้น ขณะที่เธอถูกแยกตัวออกมาจากครอบครัวนั้น เธอก็ได้ทราบข่าวว่าทางตำรวจก็เดินหน้าทำคดีนี้ต่อไป และจำเลยสำคัญในคดีนี้ก็คือ ลาโวนา โซโลมอน หญิงที่เลี้ยงเธอมาทั้งชีวิตและเธอเรียกว่า “แม่” บัดนี้ถูกตำรวจจับเข้าคุกไปแล้ว
“ข่าวนี้มันทำให้ฉันใจสลายมาก ฉันต้องการเธอ ฉันอยากที่จะถามเธอ ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? มันเกินจะรับไหวจริง ๆ ที่อยู่ดี ๆ ฉันต้องมารับรู้ว่าฉันเป็นลูกคนอื่น”

เซเลสต์และแคสซิดี้ แม่และน้องสาวจริง ๆ ของ มิช

ในขณะที่ลาโวนาโดนจับเข้าคุกไปแล้ว ไมเคิลผู้เป็นสามีของลาโวนา และผู้ที่มีสถานะเป็นพ่อของมิชตลอดมานั้น โดนตำรวจนำตัวไปสอบสวน โดยที่มีมิชร่วมรับฟังอยู่ด้วย
“ฉันมองเห็นได้เลยว่าเขาเครียดมาก เห็นเส้นเลือดในลูกตาเขาแดงก่ำเลย มันทำให้ฉันรู้สึกกลัวจริง ๆ นะ”
หลักใหญ่ใจความที่ตำรวจทำการคาดคั้นจากไมเคิลก็คือ เขาได้มีส่วนรู้เห็นในการลักพาตัวหนูน้อยเซฟานีมาเมื่อ 17 ปีก่อนหรือไม่

“พ่อของฉันนั้น เขาเป็นคนนุ่มนวลและสุภาพมาก เขาเปรียบเสมือนแหล่งยึดมั่นของฉัน เป็นฮีโรของฉัน เป็นพ่อของฉัน เขาคือสุภาพบุรุษคนหนึ่ง แล้วตอนนี้ผู้ชายหลายคนกำลังรุมล้อมเขาทำให้เขาดูเหมือนเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่ง ในขณะที่เขาก็ยืนกรานว่า “ไม่ ผมไม่ได้ทำ มิชเป็นลูกสาวผม เธอจะไม่ใช่ลูกผมไปได้อย่างไร ผมไม่ได้มีส่วนในแผนการนี้ด้วยเลย”

สุดท้ายตำรวจก็ไม่สามารถหาหลักฐานมาประกอบได้ว่า ไมเคิลมีส่วนรู้เห็นในการลักพาตัวมิชมาจากพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดได้ แล้วไมเคิลก็ได้รับการปล่อยตัว

ไมเคิลกับหลานสาวตัวน้อย ที่เป็นลูกสาวของมิช

ไมเคิลเผยข้อเท็จจริงในภายหลังว่า ในตอนนั้นลาโวนาตั้งครรภ์จริง แต่เขาคิดว่าลาโวนาแท้งลูก แล้วเธอก็ปิดบังเขา และแกล้งตบตาว่ายังตั้งครรภ์อยู่ต่อไป ก่อนที่จะไปขโมยตัวหนูน้อย เซฟานี เนอร์ส มาแอบอ้างเป็นลูกที่เธอคลอดออกมาเอง ซึ่งลาโวนาก็ถูกคุมขังเพื่อรอเข้ารับการพิจารณาคดีในข้อหาลักพาตัว และข้อหาแอบอ้างตนเป็นแม่ผู้ให้กำเนิด

แต่ในช่วงที่มิชเติบโตมากับครอบครัวโซโลมอนนั้น ครอบครัวเนอร์สก็ให้กำเนิดลูก ๆ กันอีก 3 คน แต่ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็ไม่เคยล้มเลิกความหวังที่จะได้เจอลูกสาวคนแรกของพวกเขา ทั้งคู่ยังคงฉลองวันเกิดให้กับเซฟานีอยู่ทุกปี แม้ภายหลัง เซเลสต์ และ มอร์น จะหย่าขาดจากกันแล้วก็ตาม แต่สิ่งที่ทั้งคู่ไม่รู้นั่นก็คือ เซฟานีลูกสาวคนแรกของพวกเขานั้นเติบโตอยู่ในละแวกใกล้ ๆ เขานั่นเอง บ้านของครอบครัวเนอร์สอยู่ห่างออกไปเพียงแค่ 5 กม. ตอนที่มิชยังเป็นเด็กน้อยนั้น ไมเคิลก็มาเตะฟุตบอลที่สนามหน้าบ้านครอบครัวเนอร์สเป็นประจำ แล้วก็เอามิชมาวิ่งเล่นที่สนามนี้ด้วย

แล้วในที่สุด คำสวดภาวนาของพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ขอให้ได้เจอลูกสาวคนแรกก็เป็นจริง ทั้งคู่ได้พบกับมิชหรือเซฟานีครั้งแรกในรอบ 17 ปี ที่สถานีตำรวจ ขณะที่ยังอยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์
“พวกเขาโผเข้ามากอดหนูอย่างแรง แล้วก็ร้องไห้ แต่หนูกลับรู้สึกอึดอัด หนูกลับรู้สึกแปลก ๆ แบบว่าหนูก็ยอม ๆ ปล่อยไปตามน้ำก่อน ไม่งั้นจะทำให้พวกเขาอาย เพราะหนูรู้ว่าพวกเขาเจอกับอะไรมาเยอะมาก ความเป็นจริงมันน่าเศร้านะ แต่แบบว่าหนูไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยเลย หนูไม่ได้รู้สึกแม้แต่คิดถึงพวกเขา”

มิชเองกำลังอยู่ในสภาวะสับสนกับชีวิต พ่อแม่คู่หนึ่งกำลังอยู่ในอารมณ์ปีติสุดขีดและพยายามอย่างที่สุดที่จะชดเชยให้กับช่วงเวลาที่ขาดหายไป แต่สำหรับมิชแล้วทั้งคู่ก็ไม่ต่างอะไรกับคนแปลกหน้า แต่กับพ่อแม่อีกคู่หนึ่ง พ่อแม่ที่เธอรักและผูกพัน กลับสูญสลายไปแล้ว หนำซ้ำคนหนึ่งต้องอยู่ในคุกขณะนี้

มิชกับครอบครัวเนอร์ส

ในเดือนสิงหาคม 2015 ลาโวนา โซโลมอน ก็ได้เข้ารับการพิจารณาคดีในศาลสูง แห่งเมืองเคปทาวน์ มิชและครอบครัวเนอร์สเข้ารับฟังการพิจารณาคดีด้วย

ตลอดการไต่สวน ลาโวนาให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่เธอกลับขอความเห็นใจจากศาลว่า เธอพยายามที่จะตั้งครรภ์ด้วยตัวเองหลายต่อหลายครั้ง แล้วทุกครั้งเธอก็แท้งลูก เธอหมดหวังที่จะไปขออุปการะเด็ก แต่อยู่ ๆ ซิลเวีย เจ้าหน้าที่หญิงที่เคยให้การรักษาเธอเรื่องมีบุตรยาก ก็นำทารกหญิงตัวน้อยมาให้เธอรับอุปการะไว้ โดยแจ้งว่าเป็นลูกของวัยรุ่นสาวใจแตกที่ไม่อยากจะเก็บเด็กไว้เอง แต่ตำรวจก็ไม่พบหลักฐานการมีตัวตนจริงของซิลเวียผู้นี้

แต่กลับกัน ทางตำรวจนั้นมีพยานบุคคลที่ยืนยันว่าเห็นหญิงผู้หนึ่งแต่งชุดฟอร์มพยาบาลมาแอบอุ้มทารกน้อยออกจากห้องไป ตอนที่เซเลสต์ผู้เป็นแม่กำลังหลับอยู่ แล้วพยานผู้นี้ก็สามารถชี้ตัวลาโวนาได้ถูกต้อง ขณะให้ยืนเรียงแถวปะปนกับคนอื่นในห้องชี้ตัวผู้ต้องหา ผู้พิพากษาตัดสินว่า ลาโวนามีความผิดจริงเพราะมีหลักฐานมัดตัวเธอมากมายเหลือเกิน

ในปี 2016 ศาลมีคำพิพากษาให้ ลาโวนา โซโลมอน ต้องโทษคุมขังเป็นระยะเวลา 10 ปี ในข้อหาลักพาตัว ฉ้อโกง และละเมิดสิทธิเด็ก ผู้พิพากษายังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า จำเลยผู้นี้ไม่ได้แสดงอาการสำนึกผิดแต่อย่างใด ตลอดช่วงเวลาที่พิจารณาคดี

ลาโวนา โซโลมอน กับหนูน้อยมิช

“ฉันเหมือนมองเห็นความตายอยู่เบื้องหน้า มันแบบว่า ฉันจะรับมือกับเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ด้วยตัวเองได้อย่างไรกัน? ฉันจะผ่านเรื่องเหล่านี้ไปอย่างไรโดยที่ไม่มีแม่ที่ฉันเคยมีมาตลอดชีวิต”
มิชรำพึงรำพันกับนักข่าว

ในปี 2016 มิชก็ได้รับการอนุญาตให้เข้าเยี่ยมลาโวนาในคุกได้ นี่เป็นการพูดคุยกันครั้งแรกตั้งแต่วันที่เธอได้รับข่าวร้ายจากเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ที่โรงเรียน
“ครั้งแรกที่ฉันได้ไปเยี่ยมแม่นั้น ฉันต้องอยู่หลังกระจก มันเป็นการเยี่ยมที่ไม่สามารถสัมผัสกันได้ แล้วฉันก็ได้เห็นแม่ต้องอยู่ในชุดนักโทษ มันทำให้ฉันใจสลายมาก ฉันร้องไห้แล้วร้องไห้อีก”

แม้ว่าผลการตัดสินคดีจะออกมาแล้ว แต่สิ่งที่มิชต้องการคือ ความจริงจากปากของลาโวนาเองว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น ลาโวนาเอาตัวเธอมาจากโรงพยาบาลจริง ๆ ใช่ไหม
“ฉันบอกกับเธอว่า ‘การที่หนูต้องได้รับรู้ว่า หนูไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของแม่ แต่เป็นลูกของคนอื่น แล้วต้องมารับรู้ว่าแม่ขโมยหนูมา มันเปลี่ยนแปลงโชคชะตาชีวิตหนู มันทำหนูเจ็บมากรู้ไหม แล้วจากนี้ไปหนูจะเชื่อคำพูดแม่ได้อย่างไรกัน เพราะแม่โกหกหนูมาทั้งชีวิต บอกว่าหนูเป็นลูกแม่จริง ๆ แม่ทำลายศรัทธาที่หนูมีในตัวแม่หมดสิ้นแล้ว แม่ต้องพิสูจน์ตัวเองใหม่ว่าแม่บริสุทธิ์ใจแล้วถ้าอยากจะรักษาสัมพันธ์กับหนูต่อไป”

“แล้วแม่ก็ตอบมาแค่สั้น ๆ ว่า สักวันฉันจะบอกความจริงกับแก”
“แม่ก็ยังคงยืนยันว่าเธอไม่ได้ทำผิด แต่หนูก็ยังปักใจว่าแม่ทำจริง ๆ”

เซเลสต์กับหนูน้อยเซฟานีตอนแรกคลอด

แต่มิชก็บอกว่าเธอไม่ถือโทษโกรธแค้นกับลาโวนาอีกต่อไปแล้ว
“การให้อภัยมันเป็นการเยียวยาจิตใจได้ดีเลยนะ หนูทำใจแล้วยังไงชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป แต่แม่ก็รู้ล่ะว่าหนูให้อภัยเขาแล้ว ยังไงเขาก็รู้ว่าหนูยังรักเขา”

นับมาถึงวันนี้ก็ 6 ปีแล้ว ที่มิชได้รู้ความจริงเกี่ยวกับชีวิตเธอ ย้อนกลับไปในเดือนเมษายน 2015 ในวันที่มิชอายุครบ 18 ปี บริบูรณ์ และมีสิทธิ์ตัดสินใจได้เองว่าจากนี้ไป เธอจะอยู่กับครอบครัวไหน แต่มิชก็ไม่ขอย้ายไปอยู่กับครอบครัวเนอร์ส แม้ว่าจะเป็นพ่อแม่ผู่ให้กำเนิดที่แท้จริงก็ตาม
“พวกเขาหย่ากันแล้ว ความเป็นครอบครัวมันเละเทะไปแล้ว ดังนั้นฉันจึงขอตัดสินใจอย่างมุ่งมั่นแน่วแน่ที่สุดแล้ว ที่จะกลับไปอยู่กับไมเคิล บ้านเดิมที่ฉันเติบโตมา มันคือที่ที่ฉันรู้สึกปลอดภัย ฉันรู้สึกว่ามันเป็นบ้านของฉัน”

แต่มิชเองก็พยายามที่จะเริ่มสานสัมพันธ์กับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดด้วย แต่ในใจลึก ๆ มิชก็โกรธแค้นพวกเขา ที่เป็นต้นเหตุในการพรากลาโวนาผู้เป็นแม่ของเธอไป มิชก็ยังคงแวะไปเยี่ยมลาโวนาที่คุกอยู่เนือง ๆ แม้คุกนี้จะอยู่ในเมืองวอร์เซสเตอร์ ที่ไกลออกไปถึง 120 กม. จากบ้าน เธอต้องขับรถเป็นระยะทางไกล แล้ววันนี้เธอก็มีลูกของเธอเองแล้วอีก 2 คน ลาโวนาจะพ้นโทษในอีก 5 ปีจากนี้ แต่มิชก็ยังคงเฝ้าเร่งวันเร่งคืนให้ถึงวันนั้นเร็ว ๆ ทุกวันนี้มิชและลูก ๆ ก็ยังคงอยู่ในบ้านหลังเดิมที่เธอเติบโตมา และหวังว่า “แม่” คนนี้ของเธอจะกลับมาอยู่ด้วยกันดังเดิม

เซฟานี เนอร์ส หรือ มิช โซโลมอน

แม้ว่า มิชจะเป็นสาวน้อยที่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางจิตใจครั้งใหญ่ในชีวิต ที่อยู่ดี ๆ ก็ต้องมารับรู้ว่าแม่ที่เลี้ยงดูเธอมาทั้งชีวิต แท้จริงแล้วเป็นคนที่ขโมยตัวเธอมา แต่มิชก็เลือกที่จะปล่อยวางแล้วดำเนินชีวิตอย่างสงบสุขจากนี้ต่อไป เธอยังคงขอให้นามสกุล โซโลมอน ดังเดิมต่อไป และใช้ชีวิตแบบสองสถานะ ใช้ทั้งชื่อ มิช และ เซฟานี

“ตอนแรกฉันเกลียดชื่อ เซฟานี เสียด้วยซ้ำ เพราะชื่อนี้มันมาพร้อมกับผลกระทบรุนแรงที่ฉันไม่ได้เชื้อเชิญ มันเป็นความทุกข์ระทมอย่างแสนสาหัส แต่ฉันก็ยอมรับนะว่าชื่อ เซฟานี คือสถานะตัวตนที่แท้จริง แต่ชื่อ มิช ก็คือเด็กสาววัย 17 ที่ฉันเคยเป็น แต่เธอคือชีวิตที่ดำเนินมาแบบหลอกลวง ฉันก็เลยพยายามสร้างสมดุลให้กับทั้งสองตัวตนนี้ของฉัน คุณอยากจะเรียกฉันว่าอะไรก็ได้ทั้ง เซฟานี หรือ มิช ฉันโอเคหมด”

ที่มา