ถ้าวันนึงเราสูญเสียดวงตาไป เราจะเป็นยังไงกันนะ…

วันนี้บี จะพาชาวแบไต๋ทุกท่าน ไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ด้วยการลองทานอาหารในแบบของ “ผู้พิการทางสายตา” เพราะร้านอาหารที่บีจะมารีวิวในวันนี้ “มันมืดมาก” !!

บอกเลยว่า นอกจากจะตื่นเต้น (ว่าที่ฉันทานอยู่คืออะไรน้า..?) แล้วยังจะเข้าใจผู้พิการทางสายตามากขึ้นด้วยค่ะ ไปดูกันเลยยย…

ตั้งต้นที่ โรงแรม Sheraton grand sukhumvit ตรงอโศกนั่นเอง เพราะร้านที่บีจะพาไป คือร้าน DID dine in the dark ซึ่งอยู่ใน Sheraton ค่ะ

บีจองผ่านเว็บไซต์ของ Sheraton ค่ะ พอมาถึงก็สามารถบอกชื่อและเวลาที่จองไว้ได้เลย (ต้องจองล่วงหน้านะคะ เพราะทางร้านจะจัดเวลาให้ค่ะ) ไม่แน่ใจว่าสามารถวอคอินได้มั้ย  จอง DID

ชั้นเดียวกันจะเป็นบาร์ค่ะ บรรยากาศน่านั่งพอสมควรเลย

พนักงานจะให้เรานั่งรอตรงนี้ก่อน

จากนั้นก็มีพนักงานมาพูดคุยเกี่ยวกับกฎต่างๆ เช่น ห้ามเปิดโทรศัพท์ หรือเอาอุปกรณ์ต่างๆ ที่ทำให้เกิดแสงเข้าไป และก็จะถามว่าเราต้องการอาหารเซ็ทไหน โดยมีทั้งหมด 3 เซ็ท คือ อาหารไทย อาหารฝรั่ง และอาหารชุดเซอร์ไพรส์ (ชุดที่เชฟจะจัดมาให้เรา โดยไม่รู้ว่าเมนูนั้นเป็นเมนูอะไรบ้าง) โดยบีเลือกเป็นชุดเซอร์ไพรส์ค่ะ  จากนั้นพนักงานก็จะให้เราสวมผ้ากันเปื้อน และพาไปเข้าห้องน้ำค่ะ (เพราะถ้าออกมาเข้าห้องน้ำ ตอนทานอาหารอาจจะยุ่งยากได้นั่นเอง)

หลังจากที่ฝากของต่างๆ ไว้กับพนักงานแล้ว ก็ถึงเวลาไปเข้าห้องมืดแล้วล่ะ เย้

อ้ะ ในห้องมืด ถ่ายออกมาก็คงไม่เห็นอะไร งั้นบีเล่าประสบการณ์คร่าวๆ ดีกว่า

ก่อนเข้าห้องจะมีไกด์มาแนะนำตัวค่ะ โดยเป็นผู้พิการทางสายตาค่ะ สำหรับไกด์ที่บีเจอวันนั้น ชื่อว่า “พี่กาน” ค่ะ (ขอบอกว่า พี่กานน่ารัก และใจดีมากๆ เลยค่ะ) ซึ่งพี่กานจะทำหน้าที่ดูแลเราในวันนี้ค่ะ ไม่ว่าเราจะทำอะไร ต้องการอะไร แค่บอกพี่กาน พี่กานก็จะช่วยเหลือทุกอย่างเลย

หลังจากแนะนำตัวกันเสร็จเรียบร้อย พี่กานก็จะให้เราเกาะไหล่พี่กานเดินเข้าไปในห้องค่ะ เดินต้อกแต้กๆ กันไปสัก พี่กานก็จะพานั่งที่โต๊ะค่ะ และก็แนะนำว่าที่โต๊ะมีอะไรวางตรงส่วนไหนบ้าง โดยจะมี ช้อน ซ้อม มีด แก้วน้ำ ผ้าเช็ดปาก และจานขนมปังวางไว้ค่ะ

หลังจากนั้นพี่กานก็จะนำอาหารมาเสิร์ฟเรื่อยๆ ค่ะ โดยเมนูแรกจะเป็นออเดิร์ฟก่อน และปล่อยให้เราทาน กันเสร็จ ประมาณ 15-20 นาที พี่กานก็จะเอาเมนูต่อไปมาเสิร์ฟต่อ ก็เป็นเมนูออเดิร์ฟอีกเช่นกัน (ขอไม่บอกเนอะ ว่าเป็นอะไร อยากให้ชาวแบไต๋ ลองไปทานเอง)

จากนั้นก็มาถึงเมนูหลัง แล้วก็ตามด้วยของหวาน (ของหวานดีงามมาก!!)

สำหรับรสชาติแต่ละเมนู ถือว่ากลางๆ จัดว่าผ่านค่ะ (บีว่า ถ้าเราเห็นภาพไปด้วย อาจจะรู้สึกได้อรรถรสและอร่อยกว่านี้ แต่นี่เพราะไม่เห็นอะไรเลย เลยต้องเดาอยู่นานว่า เมนูที่เราทานไปคืออะไรนะ… สนุกดีค่ะ)

อ้อ เมนูอาหารสามารถรีเควสเป็นพิเศษได้นะคะ ว่าเราอยากทานอะไรเป็นพิเศษ หรือไม่ต้องการอะไร อย่างบีรีเควสไปว่า ไม่เอาเผ็ด ไม่เอาผักชี อะไรแบบนี้ ก็สามารถสั่งได้เลย

หลังทานอาหารเสร็จแล้ว พนักงานจะพาเราไปนั่งข้างนอก ตรงที่เดิมค่ะ แล้วมาเฉลยเมนูที่เราทานไป รวมถึงถามฟีดแบกต่างๆ ว่าเรารู้สึกยังไงบ้าง

มาพูดถึงความรู้สึกและประสบการณ์ดีกว่า

บีว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ เพราะนอกจากรสชาติอาหารจะใช้ได้ บริการดี ไกด์อย่างพี่กานก็น่ารักมาก ยังทำให้เราเปิดประสบการณ์การใช้ชีวิตในมุมมองของคนตาบอดด้วย ว่าเขาจะรู้สึกยังไงบ้าง

สิ่งพิเศษที่บีรู้สึกได้เลยคือ ร่างกายเราจะค่อยๆ ปรับค่ะ ตอนทานเซ็ทแรก ตักผิดตักถูก อาหารหล่นบ้าง ตักไม่ได้อาหารบ้าง ช้อนผิดด้านบ้าง แต่พอทานไปเรื่อยๆ ร่างกายจะปรับอัตโนมัติเองเลย คือเราจะทานได้จนแทบจะปกติเลยค่ะ (มหัศจรรย์ร่างกายมนุษย์จริงๆ )

ส่วนเรื่องประสาทสัมผัสอื่นๆ เช่น สามารถรับรสอาหารได้มากกว่าปกติ เหมือนที่หลายๆ คนบอกว่าจะรู้สึกอย่างนั้น อันนี้จากที่บีสังเกต บีคิดว่าน่าจะเป็นเพราะเราต้องตั้งใจในการทานมากกว่าปกติ เลยทำให้เราซึมทราบรสได้มากนั่นเอง

ส่วนใครที่สายตาไม่สั้น ไม่เบลอ ชินกับความรู้สึกเห็นชัดเจนมาตลอด อาจรู้สึกปวดตานิดนึงเพราะสายตาจะพยายามคลำหาภาพตลอด เลยเพ่งจนปวดตานั่นเอง แนะนำให้หลับตาไปเลยค่ะ แต่บีผู้มีสายตาสั้นเป็นทุนเดิม และไม่ได้ใส่แว่น ไม่ได้ใส่คอนแทคเลนส์เลยไม่ได้มีปัญหาเรื่องนี้

อ้อ… สำหรับบรรยากาศภายใน บีสัมผัสได้ว่าห้องไม่ใหญ่มากนะคะ และวันที่บีไป ก็มีโต๊ะบี และอีกโต๊ะนึงเท่านั้น (น่าจะประมาณ 5-6 คนค่ะ) และมีพี่กานดูแลคนเดียวเองด้วย เก่งมากเลยค่ะ ^^

ถือว่าเป็นการเปิดประสบการณ์การใช้ชีวิตของผู้พิการทางสายตาที่สนุกมาก โดยเฉพาะเราจะรู้สึกตื่นเต้นที่ร่างกายเราจะค่อยๆ ปรับตัวได้ค่ะ ควรไปลองเลย