เรา ๆ ต่างก็เคยได้ยินชื่อของประเทศยูเครนกันมาตั้งแต่จำความได้ แต่ได้ยินได้ฟังแล้วก็ผ่าน ๆ ไป ไม่ได้มีบทบาทอะไรบนเวทีโลกมากนัก ไม่ได้เป็นประเทศศูนย์กลางการท่องเที่ยว หลายคนก็รับรู้เพียงแค่ว่ายูเครนก็เป็นเพียงประเทศหนึ่งในทวีปยุโรปเท่านั้น จนกระทั่งวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี่เอง ที่รัสเซียเริ่มเปิดฉากโจมตีประเทศยูเครน กลายเป็นข้อพิพาทที่เป็นข่าวใหญ่ และเป็นเป้าสายตาของผู้คนทั่วโลก นับแต่นั้นชื่อของประเทศยูเครนก็ได้รับความสนใจและถูกพูดถึงกันมากขึ้น ถึงตรงนี้ผู้เขียนจึงขอพาไปรู้จักประเทศยูเครนกันมากขึ้น ให้รู้ว่าที่จริงแล้วยูเครนก็มีอะไรน่าสนใจหลายอย่างเลยทีเดียว

ข้อมูลพื้นฐาน : ยูเครนเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 8 ในยุโรป เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศคือเคียฟ ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ส่วนตะวันตกของยูเครนได้รวมเข้ากับสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตยูเครนและทั้งประเทศก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต ยูเครนได้รับเอกราชหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตใน ค.ศ. 1991 หลังจากที่ได้รับเอกราช ยูเครนประกาศตนเป็นรัฐที่เป็นกลาง โดยจัดตั้งความร่วมมือทางการทหารอย่างจำกัดกับรัสเซียและประเทศอื่น ๆ ในเครือรัฐเอกราช ยูเครนเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่มีดัชนีการพัฒนามนุษย์อยู่ในอันดับที่ 74 เป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในยุโรป โดยประสบปัญหาความยากจนและการคอรัปชันที่สูงมาก

1.เป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป

ถ้าเราตัดรัสเซียออกไป เพราะพื้นที่ของรัสเซียนั้นครอบคลุมพื้นที่ทั้งเอเซียและยุโรป ส่วนพื้นที่ทั้งหมดของยูเครนนั้นอยู่ในทวีปยุโรปเท่านั้น ยูเครนมีพื้นที่ทั้งหมด 603,628 ตารางกิโลเมตร แม้จะมีอาณาเขตกว้างขวางที่สุดในยุโรป แต่ถ้าพิจารณาจากจำนวนประชากรแล้ว ที่จำนวน 43 ล้านคน ยังน้อยกว่าประชากรของเยอรมนี และ ฝรั่งเศส อีกด้วยซ้ำ

2.มีมรดกโลกอยู่ถึง 7 แห่ง

ยูเครนมีสถานที่ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโก (UNESCO) ให้เป็นมรดกโลกอยู่ถึง 7 แห่ง ทำให้ยูเครนเป็นอีกประเทศที่สมควรแก่การไปเยือน ถ้าสถานการณ์เป็นปกติแล้ว ใน 7 แห่งนี้ประกอบไปด้วย

  • อาสนวิหารนักบุญโซเฟียและสิ่งปลูกสร้างอารามที่เกี่ยวข้อง (Saint-Sophia Cathedral) เป็นโบสถ์ออร์โธดอกซ์ที่สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่่ 11 มีภาพเขียนสีเฟรสโค และงานศิลปะประดับด้วยโมเสคสวยงามน่าประทับใจอย่างมากภายในโบสถ์
Saint-Sophia Cathedral
  • ที่พำนักของมุขนายกมหานครแห่งบูโควีนาและแดลเมเชีย (Residence of Bukovinian and Dalmatian metropolitans) เป็นอาคารที่มีส่วนผสมของสไตล์ต่าง ๆ ทั้ง ไบแซนไทน์, โกธิค และ บาร็อค ออกแบบโดย โจเซฟ ฮลาฟกา ในช่วงปี 1864 – 1882
sidence of Bukovinian and Dalmatian metropolitans
  • ลวิว (Lviv) เมืองประวัติศาสตร์ เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมโปแลนด์และยิวที่สำคัญ เนื่องจากเมืองนี้มีประชากรจำนวนหนึ่งเป็นชาวโปแลนด์และยิวที่อพยพมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และการล้างชาติโดยนาซี (ค.ศ. 1944–1946) มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จากชุมชนหลากหลายศาสนา มีอาคารสไตล์บาร็อคหลายแห่ง แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลทางสถาปัตยกรรมที่มีส่วนผสมทั้้งจากทางอิตาลีและเยอรมัน
  • Struve Geodetic Arc หมุดสำรวจโลกของสตรูฟ เป็นหลักฐานการสำรวจขนาดและรูปทรงของโลกมนุษย์โดย ฟรีดริช จอร์จ วิลเฮล์ม สตรูฟ (Friedrich Georg Wilhelm von Struve) นักวิทยาศาสตร์สัญชาติรัสเซีย ที่ทำการสำรวจโลกในช่วงปี 1816 – 1855 เขาทำการสำรวจเป็นเส้นตรงด้วยระยะทาง 2,820 กิโลเมตร ผ่าน 10 ประเทศ เขาปักหมุดหมายแรกไว้ทางทิศใต้สุดอยู่ที่เมือง สตาโร-นีกราโซวา (Staro-Nekrasova) ใกล้กับทะเลดำ ส่วนหมุดหมายในจุดเหนือสุดอยู่ที่เมืองแฮมเมอร์เฟสต์ ประเทศนอร์เวย์ จะมีเพียง 2 จุดหมาย ต้นและปลายทางนี้ที่ตั้งขึ้นเป็นเสาสูง นอกเหนือจาก 2 แห่งนี้ ก็จะมีหมุดหมายเล็ก ๆ อีก 265 จุดตามแนวเส้นสำรวจ การสำรวจของสตรูฟที่เป็นจุดกำเนิดให้เกิดแนวเส้นเมริเดียนของโลกเรา
  • นครโบราณทอริกเคอร์โซนีส และอาณาเขตนอกตัวนคร (Ancient city of Tauric Chersonese)
    สร้างขึ้นในปีที่ 5 ก่อนคริสตกาล ก่อตั้งโดยชาว ดอเรียน กรีก ตั้งอยู่นอกเมือง เซวาสโตโพล (Sevastopol) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของคาบสมุทรไครเมีย ภายในเมืองมีสิ่งก่อสร้างตั้งอยู่มากมาย ทั้งอาคารบ้านเรือนผู้คน อนุสาวรีย์ของชาวคริสเตียน , ห้องเก็บไวน์ที่ถูกจัดแบ่งสัดส่วนไว้เป็นอย่างดี และมีซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างจากยุคหินและยุคสัมฤทธิ์คงไว้ให้เห็น
  • โบสถ์ไม้แห่งภูมิภาคคาร์เพเทียนในโปแลนด์และยูเครน (Wooden tserkvas of the Carpathian Region) เป็นมรดกโลกที่ได้ครองร่วมกันระหว่างยูเครนและโปแลนด์ เพราะโบสถ์ไม้แห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตเทือกเขาคาร์เพเทียน โบสถ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 – 19 โดยชาวออโธดอกซ์ และ กลุ่มคาธอลิกชาวกรีก การเข้าไม้แสดงให้เห็นถึงรูปแบบการก่อสร้างของชาวสลาวิกในยุคนั้น ซึ่งเป็นที่เลื่องลือในฝีมืองานไม้
  • ป่าบีชโบราณและป่าบีชปฐมภูมิแห่งเทือกเขาคาร์เพเทียนและภูมิภาคอื่นของยุโรป (Ancient and primeval beech forests of the Carpathians) อยู่ทางตะวันตกของยูเครน เป็นป่าที่ถือกำเนิดมาตั้งแต่ยุคน้ำแข็ง 11,000 ปีที่แล้ว ครอบคลุมพื้นที่ถึง 18 ประเทศ จัดว่าเป็นพื้นที่ป่าบีชโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลก และจัดว่ามีส่วนสำคัญต่อระบบนิเวศน์ของโลกมนุษย์
ป่าบีชปฐมภูมิแห่งเทือกเขาคาร์เพเทียน

3.ภัยพิบัติโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลระเบิดเกิดขึ้นที่นี่

ส่วนหนึ่งของโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิล

ภัยพิบัติเชอร์โนบีล (Chernobyl disaster) เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1986 ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบีล ใกล้เมืองปรือเปียต แคว้นเคียฟ ทางตอนเหนือของยูเครน ใกล้ชายแดนเบลารุส (ในขณะนั้นยูเครนและเบลารุสยังเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต) อุบัติเหตุที่เชอร์โนบีลนี้เป็นอุบัติเหตุที่เกิดกับโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ หลังเกิดเหตุภัยพิบัติแล้ว ทำใหพื้นที่โดยรอบกลายเป็นเมืองร้างโดยปริยาย ที่เป็นที่รู้จักกันมากสุดก็คือเมืองปรือเปียต (Pripyat) ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดผู้คนได้มากที่ไปเยี่ยมชมโรงไฟฟ้า แต่ก็ยังมีภาวะเสี่ยงต่อนักท่องเที่ยวอยู่ดี

4.อุโมงค์แห่งรัก (Tunnel Of Love) สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอยู่ที่นี่


อุโมงค์แห่งนี้เป็นช่วงหนึ่งของเส้นทางเดินรถไฟรางเดี่ยวในเมือง คลาเวน (Klaven) อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของยูเครน ถูกยกให้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสุดโรแมนติกแห่งหนึ่งของโลก เพราะความงามของสถานที่นี้อันชวนหลงใหล จากความสวยงามของต้นไม้ที่เขียวชอุ่มสองข้างทางถูกตัดแต่งเป็นอุโมงค์ให้รถไฟวิ่งผ่านได้ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นิยมอย่างมากโดยเฉพาะคู่รัก เพราะมีความเชื่อต่อ ๆ กันว่า คู่รักคู่ไหนที่มาขอพรที่นี่มักจะได้พรตามที่ขอ

5.สถานีรถไฟใต้ดินที่ลึกที่สุดในโลก

สถานีอาร์เซนัลนา (Arsenalna)

สถานีรถไฟใต้ดินที่อยู่ลึกที่สุดในโลกคือสถานีอาร์เซนัลนา (Arsenalna) อยู่บนเส้นทางเดินรถสาย สเวียโทชินสโก – โบรวาสก้า (Sviatoshynsko – Brovarska) ในเมืองเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน สถานีแห่งนี้เปิดใช้เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 1960 เป็นเส้นทางเดินรถเฟสแรกที่สร้างและออกแบบโดยสหภาพโซเวียต สถานีอยู่ลึกลงไปใต้ดินที่ระยะ 105.5 เมตร

6.เป็นประเทศที่คิดค้นตะเกียงแก๊ส

ตะเกียงแก๊ส (Gas Lamp)เป็นอุปกรณ์ส่องสว่างที่ถูกคิดค้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ผู้ที่คิดค้นคือ แจน เซห์ (Jan Zeh) และ อิกนาซี ลูคาซีวิกซ์ (Ignacy Łukasiewicz) 2 เภสัชกรชาวลวิว คิดค้นได้ในปี 1853 ทั้งคู่เป็นเภสัชกรที่เปิดร้านยาด้วยกันในชื่อร้านว่า Golden Star ในวันนั้นนับว่าเป็นการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ครั้งใหญ่เลยทีเดียว ทุกวันนี้ความสำเร็จของทั้งคู่ได้ถูกจัดพื้นที่เพื่อการรำลึกโดยร้านกาแฟชื่อ Gasova L’ampa ที่ตั้งอยู่ในอาคารเดียวกันกับ Golden Star

7.เป็นแหล่งผลิตเมล็ดทานตะวันที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ยูเครน คือแหล่งผลิตเมล็ดทานตะวันที่ใหญ่ที่สุดในโลก รัสเซียตามมาติด ๆ เป็นอันดับที่ 2 ส่วนสหรัฐอเมริกานั้นเป็นผู้ผลิตลำดับที่ 10 นู่นเลย แหล่งผลิตเมล็ดทานตะวันในยูเครน ส่วนใหญ่จะอยู่ในสโลเวเนีย ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว 2021/2022 ยูเครนมีผลผลิตเมล็ดทานตะวันสูงถึง 17.5 ล้านตัน ส่วนใหญ่เมล็ดทานตะวันจะถูกนำไปผลิตเป็นน้ำมันเพื่อใช้ในการทำอาหาร

8.ถูกยกให้เห็น ‘อู่ข้าวอู่น้ำของยุโรป’

ไร่ข้าวสาลีในสโลวาเนีย

ยูเครนได้รับการขนานนามว่า ”อู่ข้าวอู่น้ำของยุโรป’ (Breadbasket Of Europe) ด้วยเหตุผลจากการที่ยูเครนมีพื้นที่เพาะปลูกอันกว้างขวางเหมาะต่อการทำเกษตรกรรม เพราะยูเครนมีดินดำอันอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การปลูกข้าวสาลีได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงพืชผลอื่น ๆ อีกหลากหลายชนิด ยูเครนเป็นประเทศที่ยังครองตำแหน่งผู้ผลิตข้าวสาลีได้มากที่สุดของโลกอีกด้วย

9.เป็นผู้ผลิตเครื่องบินที่มีน้ำหนักบรรทุกมากที่สุดในโลก

The Antonov An-225 Mriya

เครื่องบินลำนี้มีชื่อว่า The Antonov An-225 Mriya ถูกสร้างขึ้นในปี 1985 ในเมืองเคียฟ ในช่วงที่ยูเครนยังเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต เป็นเครื่องบินที่รับน้ำหนักบรรทุกได้มากที่สุดในโลก สามารถขึ้นบินด้วยน้ำหนักรวมได้มากถึง 710 ตัน และสร้างสถิติด้วยการแบกรับน้ำหนักรวมของสินค้าได้มากถึง 253,821 กิโลกรัม เคยแบกรับสินค้าชิ้นเดียวที่มีน้ำหนักมากถึง 189,977 กิโลกรัม The Antonov An-225 Mriya ยังถูกจัดว่าเป็นเครื่องบินที่มีระยะวัดจากปลายปีกทั้งสองข้างยาวที่สุดอีกด้วย ข่าวล่าสุดเครื่องบิน An-225 ถูกกองทัพรัสเซียทำลายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะที่เครื่องจอดอยู่ที่สนามบินฮอสโตเมล (Hostomel) ประเมินมูลค่าของ An-225 อยู่ที่ 3,000 ล้านเหรียญ

10.ให้เรียกว่า Ukraine เฉย ๆ อย่าเรียกว่า The Ukraine

หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต แล้วยูเครนได้มีเอกราชของตัวเองในวันที่ 24 สิงหาคม 1991 รัฐบาลยูเครนก็ประกาศชัดเจนว่าจากนี้ประเทศนี้จะชื่อว่า ‘Ukraine’ สั้น ๆ เพียงเท่านี้ ไม่ต้องมี The นำหน้า เพราะว่าในช่วงที่ยูเครนเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตนั้น ถูกเรียกว่า ‘The Ukrainian Soviet Socialist Republic’ ในวันนี้ถ้าสื่อใด หรือบุคคลใด เอ่ยคำว่า ‘The Ukraine’ ชาวยูเครนได้ยินแล้วจะรู้สึกไม่พอใจ เสมือนเป็นการดูถูก

จากนี้ไปก็ขอให้ผู้อ่านได้ร่วมกันส่งกำลังใจ ภาวนา เอาใจช่วยให้สงครามครั้งนี้ยุติโดยเร็ววัน และหวังว่าสิ่งสวยงามในยูเครนจะไม่เสียหายอันเป็นผลจากสงครามครั้งนี้ เผื่อว่าวันนี้เรา ๆ ท่าน ๆ จะได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมแหล่งท่องเที่ยวอันสวยงามมากมายในยูเครน

อ้างอิง อ้างอิง อ้างอิง อ้างอิง อ้างอิง อ้างอิง