[รีวิว] Chilling Adventures of Sabrina Part 2 – การกลับมาของสาวน้อยต้องสาป
Our score
8.6

Chilling Adventures of Sabrina Part 2

จุดเด่น

  1. กลับมาสานต่อโลกแม่มดได้น่าติดตามดี
  2. มีประเด็นความหลากหลายทางเพศที่พูดถึงได้อย่างฉลาด
  3. ตัวละครเสน่ห์รุนแรงมาก
  4. ความโง่ของตัวละครทำให้เราดูได้สนุกมาก

จุดสังเกต

  1. มีการกล่าวถึงเรื่องเซ็กส์จากปากคำตัวละคร
  2. มีเนื้อหาพูดถึงลัทธิซาตานที่อาจต้องใช้วิจารณญาณในการรับชม
  • ตรรกะ ความสมบูรณ์ของบท

    8.0

  • ความสมบูรณ์ของงานสร้าง

    9.0

  • ความสนุก น่าติดตามในแต่ละตอน

    9.0

  • ความแปลกใหม่

    8.0

  • ความคุ้มค่าเวลาในการชม

    9.0

หลังเลือกเส้นทางแม่มดแบบเต็มตัว ซาบรีน่า (เคียร์แนน ชิปกา) ตีตัวห่างจากเพื่อนมนุษย์ของเธอทั้ง ฮาร์วีย์ (รอสส์ ลินช์) โรซาลิน (แจ๊ส ซินแคลร์) และ ซูซี่ (แลชแลน วัตสัน) เพื่อป้องกันพวกเขาจากอันตราย และที่สถาบันแห่งศาสตร์มืดเธอก็ได้พบรักกับ นิโคลัส (เกวิน เลเธอร์วูด) จอมเวทย์หนุ่มเสน่ห์แรง แต่สิ่งที่เธอไม่คาคคิดคือภัยมืดที่ดาร์กลอร์ดกำลังวางแผนนำโลกสู่วันโลกาวินาศ งานนี้ซาบรีนาจำต้องทำทุกทางเพื่อปกป้องครอบครัว เพื่อนและโลกใบนี้ไว้ให้จงได้แม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม 

Play video

 สร้างสรรค์โดย โรเบอร์โต อาไกวร์ ซาคาซา  เหมาะสำหรับ คอซีรีส์แนวลึกลับสยองขวัญ สตรีมมิงทั้ง 9 ตอนทาง Netflix  

นับว่ารวดเร็วทันใจจริงๆสำหรับ ซาบรีนา สาวน้อยต้องสาป ที่เพิ่งปล่อยสตรีมภาคแรกไปเมื่อฮาโลวีนปีที่แล้ว และปล่อยตอนพิเศษต้อนรับวันคริสต์มาสเมื่อปลายเดือนธันวาคม ก็ได้เวลาที่ภาค 2 ปล่อยสตรีมมิง 9 ตอนไปเมื่อวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งสำหรับเรื่องราวในภาค 2 นี้ก็ทวีความน่าสนใจมากเลยทีเดียว โดยเราจะขอพูดถึงเป็นประเด็นต่างๆดังนี้

รักๆใคร่ๆในกรีนเดล

ในภาคแรกความรักระหว่าง ซาบรีนา กับ ฮาร์วีย์ อาจทำให้คนดูเกิดอาการรำคาญปนอิจฉาในความหวาน เดี่ยวกอดเดี๋ยวจูบ สำหรับภาคนี้ต้องยอมรับว่าทีมบทได้ปรับเนื้อหาเรื่องราวๆรักๆใคร่ๆได้มีมิติมากขึ้น เพราะหลังจากเหตุการณ์ที่ ซาบรีนาไปชุบชีวิตพี่ชายของฮาร์วีย์ก็ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป นั่นทำให้ตัวละครเริ่มมีพัฒนาการในเรื่องความรู้สึกมากขึ้น ฮาร์วีย์ได้ใกล้ชิดกับโรซาลินที่มีพลังหยั่งรู้อนาคตจนเริ่มกลายเป็นความรัก ในขณะที่ซาบรีนาเองก็เริ่มใกล้ชิดกับ นิโคลัส จอมเวทย์หนุ่มเสน่ห์แรงจนทั้งคู่ได้มีช่วงเวลาสุดโรแมนติกร่วมกัน

และแน่นอนว่าความรักย่อมมาพร้อมกับเซ็กส์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังภาคแรกทำเอาผู้ปกครองช็อคกับฉาก เซ็กส์หมู่ระหว่างเยาวชนแม่มดและจอมเวทย์หนุ่มๆไป มาภาคนี้ก็มีเทศกาล ลูเปอร์คาเลีย หรือวาเลนไทน์สำหรับโลกมืดที่ให้โอกาสหนุ่มสาวแต่งตัวน้อยชิ้นอาบแสงจันทร์ด้วยกัน ซึ่งถือเป็นการหลีกเลี่ยงคำครหาจากภาคแรกได้ชาญฉลาดดี โดยคงเหลือไว้แค่การเอ่ยถึงเรื่องเซ็กส์อันเผ็ดร้อนเท่านั้น

อ่านข่าวฉากเซ็กส์หมู่อื้อฉาวของซีรีส์ภาคแรกคลิกเลย  

เนื้อหาซาตาน กับการหลีกเลี่ยงรูปปั้นเจ้าปัญหา

รูปปั้น บาโฟเมต

ในภาคแรก เน็ตฟลิกซ์ และ วอเนอร์ ผู้สร้างซีรีส์ต้องเจอกับการฟ้องร้องจาก โบสถ์อันเสื่อมเกียรติของซาตานของจริง เมื่อซีรีส์ดันมีฉากที่แสดงให้เห็นรูปปั้นบาโฟเมตซึ่งใกล้เคียงกับสัญลักษณ์ของโบสถ์ซาตานจริงๆจนโดนฟ้องร้อง พอมาภาคสองจะสังเกตได้ว่าตัวซีรีส์มีฉากในสถาบันน้อยลงและพยายามไม่ให้เห็นรูปปั้นบาโฟเมตแล้วจนกระทั่งตอนท้ายๆมีการเปลี่ยนแปลงรูปปั้นเป็นรูปของเจ้าคณะแทนเสียด้วยซ้ำ ซึ่งก็เป็นไปตามบทที่เขียนขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของตัวละครต่างๆในเรื่อง

ส่วนในเนื้อหาต้องยอมรับเลยว่า ตัวซีรีส์ในภาคนี้มีการปูเรื่องราวอันเกี่ยวพันกับไบเบิลมากขึ้น ตั้งแต่การแสดงละครเวทีกำเนิดลูซิเฟอร์ หรือมีฉากแรกพบของลิลิธและลูซิเฟอร์ในตอนท้าย ไล่ไปจนถึงปมของเรื่องอันเกี่ยวพันกับการกระทำของซาบรินาที่แทบจะคู่ขน่านกับภารกิจของพระเจ้าในการปลดปล่อยมนุษย์เรื่อยไปจนถึงการกล่าวถึงวันสิ้นโลก ซึ่งไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสำหรับครอบครัวที่นับถือศาสนาคริสต์จะกล้าให้บุตรหลานชมหรือเปล่า เพราะต้องยอมรับว่าตัวซีรีส์มีการออกแบบคาแรกเตอร์ งานคอสตูมไปจนถึงไลฟ์สไตล์ แม่มดและจอมเวทย์ที่ดูน่าหลงไหลพอสมควร แถมเมืองไทยเองก็มีลัทธิซาตานจริงๆเสียด้วย ผู้ปกครองจึงต้องพิจารณาก่อนให้ลูกหลานชมพอสมควรนะครับ

อ่านข่าวโบสถ์ซาตานฟ้องซีรีส์คลิกเลย

ความโง่ของตัวละครที่ช่วยเพิ่มความสนุกให้เรื่องราว

แม้ภาคแรกหลายคนจะเกิดอาการลำไยยัยซาบรินาที่หมั่นหาเรื่องเดือดร้อนให้ตัวเองและคนรอบข้างเสมอ มาภาคสองนี้ต้องยอมรับว่า ไม่ใช่แค่ซาบรินาคนเดียวแล้วล่ะที่มีพฤติกรรมชวนลำไย เพราะอย่างป้าเซลดา (รับบทโดย มิแรนดา ออตโต จาก The Lord of the Rings) เองก็ดูจะหลงปั๋วราชาคณะจนพาครอบครัวสเปลแมนเดือดร้อนเหมือนกัน ส่วนครูแมรี่ (รับบทโดย มิเชล โกเมซ) ที่ถูกวิญญาณปีศาจครอบงำก็ขยันเป่าหูอะไรยัยซาบรินาก็เชื่อจังเลย จนคนดูดูไปก็คอยด่ายัยซาบริน่าไป แต่ก็ต้องยอมรับนะครับว่าความโง่ของตัวละครก็ทำให้เราได้ปลดปล่อยอารมณ์โกรธเกรี้ยวได้ดีเหมือนกัน คงเหมือนเราดูละครไทยหลังข่าวนั่นแหละเนอะ 555

ความหลากหลายทางเพศในซีรีส์

ประเด็นที่น่าพูดถึงสำหรับซีรีส์เรื่องนี้คือการเปิดกว้างเรื่องเพศอย่างมาก ในภาคแรกเราอาจเห็นแค่กรณีของ แอมโบรส (แชนซ์ เพอร์โดโม) กับ ลุค (ดาเรน มานน์) คู่รักจอมเวทย์สุดร้อนแรงเท่านั้น แต่มาภาคนี้ตัวละครซูซี่ เริ่มค้นพบเพศสภาพของตัวเองและชัดเจนจนมีฉากเปิดตัวหรือ Coming Out ในซีรีส์ไปจนถึงการเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็นธีโอ และคัดตัวเข้าทีมบาสเก็ตบอลชาย ซึ่งถือเป็นซีรีส์วัยรุ่นที่กล้าแตะประเด็นหมิ่นเหม่และนำเสนอได้อย่างจริงใจทีเดียว