[รีวิวซีรีส์] Netflix The Society – การเมืองของวัยรุ่นยุคปกครองตนเอง
Our score
7.9

Netflix The Society

จุดเด่น

  1. หนังเล่นกับแนวคิดการเมืองได้หลากหลายดี
  2. พลอตมีความน่าสนใจ
  3. นักแสดงหน้าตาดีเพียบเลย

จุดสังเกต

  1. เสียเวลาไปกับการปูตัวละคร โดยไม่ได้แตะพลอตหลักนานไปหน่อย
  2. บางเหตุการณ์หรือการตัดสินใจของตัวละครอาจยังไม่สมเหตุสมผลนัก
  • ความสมบูรณ์ของบท

    7.0

  • โปรดักชั่น

    8.0

  • ข้อคิด สาระ

    8.5

  • ความสนุก

    8.0

  • ความคุ้มค่าเวลาในการชม

    8.0

ชีวิตที่ปราศจากผู้ใหญ่คือชีวิตที่อิสระและเจ๋งสุดๆจริงหรือ? คือสิ่งที่เหล่าวัยรุ่นแห่งนิวแฮมกำลังหาคำตอบเบื้องหลังการหายตัวไปของพ่อแม่ของพวกเขา และในขณะที่กำลังหาทางกลับบ้าน เกมการเมืองในสังคมที่ต้องปกครองกันเองกำลังทำให้พวกเขาต้องเผชิญด้านมืดของมนุษย์ เมื่ออำนาจกลายเป็นเดิมพัันชีวิตที่อาจบีบให้พวกเขาทำลายกันเองจนหมดสิ้น แต่เหตุการณ์ประหลาดนี้จะจบลงเช่นไร พวกเขาจะหาทางกลับบ้านได้หรือไม่ และใครที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ประหลาดนี้ต้องร่วมกันหาคำตอบใน The Society 

Play video

  • สร้างสรรค์โดย คริสโตเฟอร์ คีย์เซอร์ (ภายใต้การผลักดันของ มาร์ค เว็บบ์ ผู้กำกับ The Amazing Spider-Man และ 500 Days of Summer)
  • เหมาะสำหรับ ผู้ชื่นชอบหนังหรือซีรีส์แนว เอาชีวิตรอดเช่น LOST, The 100
  • สตรีมมิง 10 ตอนทาง Netflix รับชมซีรีส์คลิกที่นี่ได้เลย

แค่พลอตก็คงเดาได้ไม่ยากว่าต้นธารของ The Society คงหนีไม่พ้น Lord of the flies หรือ วัยเยาว์อันสิ้นสูญ นิยายอมตะของ วิลเลียม โกลดิง นักเขียนรางวัลโนเบลที่ทรงอิทธิพลต่อหนังและนิยายเยาวชนแนวเอาตัวรอดมานักต่อนัก โดยในซีรีส์ได้สร้างปริศนาของโลกที่พวกเขาถูกส่งมาด้วยรถบัสหลังการทัศนศึกษาจบลงกลางคัน ก็ต้องพบกับเมืองที่หน้าตาคล้ายบ้านของพวกเขาทุกอย่างในเมืองเวสต์แฮม แต่สิ่งที่หายไปคือผู้ใหญ่ทั้งพ่อแม่และครูอาจารย์ของทุกคนอย่างไร้ร่องรอยและแน่นอนว่าเมื่อวัยรุ่นถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง เราก็จะได้เห็นวิธีการเผชิญหน้ากับปัญหาเท่าที่วุฒิภาวะพวกเขาจะพอมี ซึ่งคนที่มีภาวะผู้นำก็จะพยายามจัดระเบียบวิธีการอยู่ร่วมกันในสังคม แต่เมื่ออีกฝ่ายเกิดต้องการกุมอำนาจขึ้นมา ความโกลาหลที่เกิดจากเกมการเมืองที่พวกเขาต้องเรียนรู้ก่อนจะได้เป็นผู้ใหญ่กำลังกลายเป็นบททดสอบสำคัญในการอยู่รอดของพวกเขา

ความดีงามหลักๆที่พอจะทำให้เราดูซีรีส์ได้ตลอดรอดฝั่งคงหนีไม่พ้นคอนฟลิกต์หลักของเรื่องที่ว่าด้วยปริศนาการหายไปของเหล่าผู้ใหญ่ที่เดินไปควบคู่กับเกมการเมืองของเหล่าวัยรุ่นในเมืองนิวแฮม แต่ถามว่าปัญหาของซีรีส์หลักๆคืออะไรก็คงหนีไม่พ้นการพยายามยัดคอนฟลิกต์ย่อยๆมาตลอดเรื่องแบบกลัวคนดูเบื่อหน่าย และผลของมันคือการทำให้ 5 ตอนแรกเรื่องราวแทบไม่เดินไปไหนเลย หลังพยายามหาทางกลับบ้านเพียงครั้งเดียวในตอนเปิดซีรีส์แล้วมีคนถูกงูกัด ซีรีส์ก็ดูจะสาละวนกับการพยายามจัดระเบียบสังคมของ แคสแซนดรา จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์สุดช็อคตอนครึ่งทางของซีรีส์ที่เริ่มมีการฆาตกรรมเกิดขึ้นนั่นแหละ เลยทำให้ตั้งแต่ตอนที่ 6 เป็นต้นไปกลายเป็นเกมการเมืองที่เข้มข้นเอามากๆและหยุดดูไม่ได้เลย แต่กระนั้นมันก็ยังพยายามยัดคอนฟลิกต์ย่อยๆทั้งไอ้หนุ่มโรคจิตอย่าง แคมป์เบล ที่พยายามหาทางยึดอำนาจ หรือการสอบสวนคดีฆาตกรรมที่จบลงด้วยความน่ากังขาแต่ซีรีส์ก็กลับทิ้งมันไปดื้อๆ ให้เป็นเพียงคำถามถึงความยุติธรรมของศาลที่พวกเขาพยายามจัดตั้งขึ้น ซึ่งใครสนใจชมก็คงต้องทำใจนิดนึงว่าซีรีส์จะเต็มไปด้วยช่องโหว่เต็มไปหมด แต่ในเรื่องความสนุกรับรองไม่ผิดหวังเลย

อีกจุดที่น่าพูดถึงสำหรับ The Society คือเหล่าตัวละครที่เหมือนยกประเภทของเผ่าพันธ์ุวัยรุ่นชาวไฮสคูลมาจัดตั้งเป็นกลุ่มก้อนทางสังคมได้อย่างน่าสนใจ เช่นเหล่านักฟุตบอลของโรงเรียนก็กลายเป็นเหมือนทหาร มีเด็กสาวเคร่งศาสนามาทำหน้าที่เป็นเหมือนนักเทศน์ มีสาวสังคมที่พยายามจัดปาร์ตี้รวมคนขึ้นมา หรือกระทั่งนักกิจกรรมที่พยายามตั้งคำถามถึงการปกครองตนเองของผู้นำผ่านละครเสียดสีการเมือง ซึ่งไอเดียสิ่งละอันพันละน้อยเหล่านี้นี่แหละที่ทำให้ตัวละครในซีรีส์ดูน่าสนใจ รวมถึงการพยายามสร้างกิจกรรมการเมืองที่ล้อกับโลกผู้ใหญ่ทั้งการเลือกตั้ง (รวมไปถึงการทำรัฐประหารที่แอบสะอึกไม่น้อยประหนึ่งมาเอาเรื่องราวการเมืองไทยไปเสียดสีเลยทีเดียว 555) แถมแนวคิดของเด็กๆในเรื่องบางคนก็สะท้อนถึงผู้นำที่มีความคิดเผด็จการเมื่ออำนาจอยู่ในมือ ซึ่งก็ทำให้เห็นถึงความละเอียดละออในการสร้างตัวละครของทีมเขียนบทไม่น้อยเลยทีเดียว

พูดถึงเหล่าบรรดานักแสดงในเรื่องก็เต็มไปด้วยวัยรุ่นหน้าตาดีๆ ตั้งแต่ แคตเธอรีน นิวตัน ที่เพิ่งมีผลงาน Pokemon Detective Pikachu ไปหมาดๆก็มารับบท อัลลี สาวน้อยที่จำใจต้องมารับหน้าที่ผู้นำและต้องเผชิญความโหดร้ายของเกมการเมือง ฌาคส์ โคลิมอง หนุ่มลูกครึ่งเฮติอเมริกันสุดหล่อที่รับบท วิล หนุ่มหล่อที่ อัลลี หลงรักแต่ต้องเจอกับสถานการณ์เฟรนด์โซน  คริสทีน โฟรเซธ สาวสวยหน้าเก๋จากหนัง Netflix อย่าง Sierra Burgess is a loser ก็มารับบทเคลลี สาวสุดฮอตที่วิลแอบชอบ แต่สาวสวยที่ผมอยากแนะนำคงหนีไม่พ้น นาตาชา ลุย โบดิซซา สาวสวยลูกครึ่งจีนอิตาเลียน ที่เราเคยเห็นผ่านๆตาจาก The Greatest Showman และเคยเล่นหนังกำลังภายในภาคต่อที่ Netflix สร้างเองอย่าง Netflix Original Crouching Tiger, Hidden Dragon : Sword of Destiny ด้วยใบหน้าสวยคมแบบหมวยอินเตอร์ที่เราเชื่อว่าจะถูกใจหนุ่มๆแน่นอน