[รีวิว] Netflix Stranger Things 3 – จะทำซีรีส์ไซไฟทั้งทีต้องให้ได้แบบนี้!
Our score
9.2

Stranger Things 3

จุดเด่น

  1. เป็นซีซันที่เรื่องมีความคืบหน้า
  2. เห็นพัฒนาการตัวละครได้ชัดเจน
  3. อัดฉากตื่นเต้นไว้แน่น แทบไม่ได้พัก
  4. นักแสดงทุกคนมีเสน่ห์ทำให้เรื่องราวน่าติดตาม

จุดสังเกต

  • ตรรกะและความสมบูรณ์ของบท

    8.0

  • คุณภาพการแสดง

    9.0

  • โปรดักชั่น งานสร้าง

    9.0

  • ความสนุกน่าติดตามในแต่ละตอน

    10.0

  • ความคุ้มค่าเวลาในการติดตาม

    10.0

ปี 1985 เมืองฮอว์กินส์ถูกปลุกให้คึกคักด้วยการมาของห้างสตาร์คอร์ต แหล่งบันเทิงใหม่ของเหล่าวัยรุ่น และในขณะเดียวกันภัยร้ายจากสัตว์ประหลาดต่างมิติก็เริ่มคืบคลานและรุกรานเมืองฮอว์กินส์ จน วิล ไมค์ ลูคัส ดัสติน และ แอล ต้องผนึกกำลังกับครอบครัวของพวกเขาเพื่อหาทางหยุดภัยร้ายก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป

Play video

 

คงไม่ต้องแนะนำอะไรกันอีกแล้วสำหรับ Stranger Things ซีรีส์ชิ้นโบว์แดงที่ก่อให้เกิดซีรีส์แนวลึกลับตามมามากมายให้กับเน็ตฟลิกซ์ และแจ้งเกิดให้นักแสดงเด็กๆในเรื่องกันถ้วนหน้า และหลังเหตุการณ์ผ่านมา 2 ซีซัน แฟนๆก็ตั้งตารอว่าการกลับมาครั้งนี้ จะมีอะไรใหม่ๆบ้างทั้งความสัมพันธ์ รวมถึงฉากสัตว์ประหลาดบุกโลกจะออกมาน่าตื่นตาแต่ไหน ความโหด ความเลือดสาดจะยังเข้มข้นเหมือนเดิมหรือไม่ ซึ่งผลลัพธ์ของมันก็ออกมาน่าพอใจแบบคูณสามเลยครับ

ขอกล่าวถึงความสัมพันธ์ การก้าวข้ามวัยของเหล่าตัวละครในเรื่องก่อนนะครับ ประเด็นที่น่าสนใจมากในซีซันนี้คือการพูดถึงความสัมพันธ์แบบวัยรุ่น ที่ถือว่าโตขึ้นมากจาก 2 ซีซันก่อน ชัดเจนที่สุดคือ ความสัมพันธ์แบบคนรักที่ทั้งไมค์และแอล กำลังจะได้เรียนรู้มันพร้อมๆกัน โดยฝ่ายแรก็เพิ่งก้าวข้ามวัยเด็กมาไม่ทันไร ส่วนฝ่ายหลังก็กำลังเรียนรู้ความเป็นมนุษย์ไปพร้อมๆกับประสบการณ์แปลกใหม่ในวัยสาว ซึ่งเรื่องราวส่วนนี้ใครเคยลุ้นให้คู่ไมค์-แอล ได้ลงเอยกันก็น่าจะมีหลายฉากให้ได้ฟินไม่น้อยแถมปมปัญหาที่มาพิสูจน์ความสัมพันธ์ทั้งคู่ก็หนักหนาเอาการ โดยเฉพาะในสายตาผู้ใหญ่อย่างนายอำเภอฮอปเปอร์ที่ไม่สบายใจเวลาเห็น ไมค์กับแอล ใกล้ชิดกันเกินเพื่อนโดยเฉพาะการแอบจูบกันในห้อง ซึ่งตรงนี้บทเขียนได้ดีมากและทำให้เห็นว่าทางออกที่ฮอปเปอร์เลือกขมขู่ไมค์ไม่ให้ทำอะไรเกินเลยกับแอลได้ส่งผลสำคัญต่อเนื้อเรื่องอย่างสมเหตุสมผลทั้งในเชิงดราม่าและปมพลิกผันของเรื่องราว แถมมันยังทำให้เราได้เห็นแง่มุมการเติบโตของแอลได้อย่างชัดเจนซึ่งซีรีส์ก็นำเสนอได้อย่างมีสีสันโดยเฉพาะตอน แอล กับ แมกซ์ ใช้เวลาเรียนรู้ชีวิตภาษาเพื่อนสาว โดยหนึ่งในนั้นคือการนำเพลง Material Girl ของ มาดอนนา มาประกอบฉากเลือกซื้อเสื้อผ้าซึ่งถือเป็นฉากที่ไม่ได้มีแอ็คชั่นวินาศสันตะโรแต่กลับสร้างรอยยิ้มให้คนดูได้กว้างที่สุดตอนหนึ่งเพราะเป็นครั้งแรกที่เราจะได้เห็น แอล เป็นเด็กสาวที่กล้าลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองอย่างแท้จริง

โดยในภาพรวมแล้วซีรีส์ในซีซันนี้ดูจะไปโฟกัสที่เรื่องราวรักๆใคร่ๆเสียเป็นส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นความพยายามในการติดต่อกับซูซี่เพื่อนร่วมค่ายคนสวยของดัสตินที่บอกใครไปก็ไม่เชื่อ  หรือจะเป็นคู่ของ โจ กับ แนนซี่ (พี่ชายวิล และ พี่สาวของไมค์) ที่ต้องไฟต์เพื่อเอาข่าวสัตว์ประหลาดกินสารเคมีในฮอว์กินส์ลงหนังสือพิมพ์ ฮอว์กินส์โพสต์ ที่ตัวเองฝึกงานแม้ว่าเหล่าผู้บริหารจะมองพวกเขาเป็นแค่เด็กฝึกงาน หรือกระทั่งรุ่นใหญ่อย่างนายอำเภอฮอปเปอร์ที่เริ่มมีใจให้กับ จอยซ์ (แม่ของวิล) แม้ไม่อาจเปลี่ยนใจเธอที่ยังลืมรักครั้งเก่าไม่ได้ รวมถึงการกล่าวถึงแม้ไม่ได้เอ่ยตรงๆ แต่ในซีรีส์เรากลับรู้สึกถึงมวลบางอย่างระหว่าง วิล และ ไมค์ ที่ฝ่ายแรกรู้สึกถูกทอดทิ้งทุกครั้งที่ไมค์ต้องการขลุกอยู่กับแอลทั้งวันที่สามารถโยงเข้ากับทฤษฎีทางจิตวิทยาที่เด็กในช่วงก้าวสู่วัยรุ่นจะมีความรู้สึกปรารถนาในความสัมพันธฺ์กับเพื่อนในเพศเดียวกัน ซึ่งถือว่าผู้สร้างศึกษาข้อมูลเป็นอย่างดีนับว่าทำงานละเอียดดีเลย หรือการเปิดเผยความลับของตัวละครบางตัวก็ทำให้เห็นว่า Stranger Things ยังมีพื้นที่ให้ตัวละคร LGBTQ เหมือนที่เคยให้กับ บาร์บ เพื่อนสาวที่หลงไหลแนนซีในซีซันแรก

อีกจุดเด่นของ Stranger Things คือการอ้างอิงหนังหรือวัฒนธรรมพอปในยุค 80 ซี่งการมีห้างสตาร์คอร์ดก็ช่วยให้เห็นภาพของยุคสมัยได้ชัดขึ้นไม่ว่าจะเป็นหนังอย่าง Day of the living dead หรือ Back to the future ที่ช่วยเสริมภาพความเป็นไซไฟ แฟนตาซี สยองขวัญ หรือตัวละครใหม่อย่างนักฆ่ารัสเซียก็ทำให้นึกถึง อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ ใน Terminator ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ในส่วนอื่นๆที่ได้รับการปูมาตั้งแต่ซีซันแรกๆอย่างสัตว์ประหลาดที่คล้าย The Things ฉบับของจอห์น คาร์เพนเตอร์ ผสม Alien ของริดลีย์ สก็อต ก็ยังคล้ายๆเดิมไม่ได้มีอะไรเพิ่มเติมนัก ซึ่งแม้หนังจะไม่ได้เล่นกับภาพจำดักแก่ของยุค 80 หนักข้อเหมือน 2 ซีซันที่ผ่านมาแต่ความสนุกของเรื่องราวที่เข้มข้น ฉากแอ็คชั่นและสยองขวัญ รวมถึงความตื่นเต้นที่เพิ่มขึ้นทวีคูณต่างหากล่ะที่เรามองว่า มันสมค่าการรอคอยหนังหรือซีรีส์ที่สนุกๆมากเปี่ยมไอเดียแบบหนังยุค80ได้ดีเลยล่ะ

ส่วนนักแสดงนำอย่างน้อง มิลลี บอบบี บราวน์ ก็ยิ่งเปล่งประกายเข้าไปใหญ่เพราะภาคนี้แทบจะขายความสวย เท่ ของน้องได้ทุกช็อตเลย ส่วนตัวละครเด็กผู้ชายก็ยังให้ กาเตน มาตาราซโซ ในบทดัสตินเหมือนเดิมเพราะเหมือนตัวแทนเนิร์ดอย่างเรา 555 ไม่ใช่หรอกครับเพราะฝีมือและบทที่เขียนมาได้มีสีสันมากกว่าคนอื่น แถมยังได้ซีนดีๆเยอะกว่าชาวบ้านอีกด้วย นอกนั้นก็ถือว่าแต่ละครแสดงได้ตามมาตรฐานเหมือนที่ผ่านๆมา โดยในซีซันนี้มีแจ้งเกิดให้ ไพรอา เฟอร์กูสัน ในบท เอริกา ซินแคลร์ น้องสาวสุดเขี้ยวของลูคัสที่ได้มาร่วมผจญภัยกับเหล่าเด็กๆในเรื่องนี้ก็นับว่ามาสร้างสีสันได้อย่างน่ารักน่าตบและทำให้ซีรีส์ซีซันนี้สนุกมากขึ้นอีกด้วย

สรุปแล้วก็คงไม่แปลกใจถ้าใครดูแล้วจะเกิดอาการ “ดูแค่ตอนเดียวไม่เคยมีอยู่จริง” เพราะมันเต็มไปด้วยปริศนาที่น่าติดตาม บทที่มีลูกเล่นแบบซีรีส์ดูเอาบันเทิงก็ถือว่ามาครบรสได้ดีเลยล่ะ แต่แอบคิดนิดนึงว่าทำไมซีซันนี้เลือกพรีเมียร์วันชาติสหรัฐอเมริกา แถมใครได้ดูยังจะเห็นว่าศัตรูตัวฉกาจในเรื่องเป็นรัสเซียอีก อืม..น่าคิดนะครับ…

 

ชมซีรีส์ได้ที่ https://www.netflix.com/title/80057281