ในอีกไม่นานเราก็จะได้ชมภาพยนตร์เรื่อง “Elvis” ภาพยนตร์ดราม่ามิวสิคัลจากฝีมือการกำกับของ บาซ เลอร์แมนน์ (Baz Luhrmann) ที่นำแสดงโดย ออสติน บัตเลอร์ (Austin Butler) และเจ้าของรางวัลออสการ์ ทอม แฮงก์ส (Tom Hanks) โดยจะเล่าเรื่องราวในชีวิตและเสียงดนตรีของราชาเพลงร็อกแอนด์โรล เอลวิส เพรสลีย์ (Elvis Presley) (บัตเลอร์) ผ่านมิติความสัมพันธ์แสนซับซ้อนกับผู้จัดการนิสัยลึกลับ ผู้พัน ทอม ปาร์กเกอร์ (แฮงก์ส) เรื่องราวจะเจาะลึกไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเพรสลีย์และปาร์กเกอร์ ตลอดเวลา 20 ปี ตั้งแต่เพรสลีย์เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังไปจนถึงตอนที่มีแฟนคลับล้นหลามอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ท่ามกลางพื้นเพเบื้องหลังของวัฒนธรรมที่กำลังพัฒนาและการสูญเสียความไร้เดียงสาในอเมริกา ในขณะเดียวกันเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ยังเกี่ยวพันกับอีกหนึ่งบุคคลสำคัญและมีอิทธิพลต่อชีวิตของเอลวิสอย่างมาก นั่นก็คือ พริสซิลลา เพรสลีย์ ซึ่งรับบทโดย โอลิเวีย เดอยองจ์ (Olivia DeJonge)

เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมต้อนรับภาพยนตร์เรื่องนี้ เราควรที่จะหยิบบทเพลงของเอลวิสมาฟังกันสักหน่อย และเมื่อคิดถึงบทเพลงของเอลวิส หากไม่นับบทเพลงมันส์ ๆ  ชวนส่ายเอวอย่าง “Jailhouse Rock” หรือ “Hound Dog” แล้วล่ะก็เพลงแรก ๆ ที่หลายคนนึกถึงคงจะต้องเป็น “Can’t Help Falling In Love” บทเพลงที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเพลงที่โรแมนติกมากที่สุดของเอลวิส เพรสลีย์

“Can’t Help Falling In Love” เปิดตัวครั้งแรกในฐานะบทเพลงประกอบภาพยนตร์ที่เอลวิสนำแสดงในปี 1961 เรื่อง “Blue Hawaii” แต่งโดยทีมเขียนเพลงของ ลุยจิ เครอตอร์ (Luigi Creatore) และ ฮิวโก เพเรตตี (Hugo Peretti) และได้รับการร่วมขัดเกลาด้วยนักแต่งเพลงชื่อดัง จอร์จ เดวิด ไวสส์ (George David Weiss) นักแต่งเพลงชาวนิวยอร์กที่มีชื่อเสียงในยุค 40s-70s  มีผลงานโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์มากมายรวมทั้งบทเพลง “What a Wonderful World” ที่บันทึกเสียงโดย หลุยส์ อาร์มสตรอง (Louis Armstrong) ในปี 1967 ด้วย

ลุยจิ เครอตอร์ และ ฮิวโก เพเรตตี กับ แซม คุก นักร้องผู้บุกเบิกวงการเพลงโซล
จอร์จ เดวิด ไวสส์

ในตอนแรกเหมือนว่าเดโมเพลงนี้จะไม่ได้เป็นที่ชอบใจของทั้งโปรดิวเซอร์และใคร ๆ อีกหลายคน แต่เอลวิสนั่นเองที่เป็นคนยืนกรานว่าจะบันทึกเสียงเพลงนี้ให้ได้ แม้มันจะไม่ง่ายเลยในตอนที่บันทึกเสียง เพราะเอลวิสต้องร้องกว่า 29 เทค จนกว่าเสียงและลมหายใจของเขาจะเข้าที่และเข้ากันดีกับบทเพลง และสุดท้ายมันก็ได้กลายเป็น “เพลงรัก” ที่ฮิตที่สุดและโด่งดังที่สุดของเอลวิสในที่สุด

ในภาพยนตร์ “Blue Hawaii” เอลวิสไม่ได้ร้อง “Can’t Help Falling In Love” ให้หญิงสาวคนรักฟัง หากแต่ร้องให้กับคุณย่าของเธอในโอกาสวันคล้ายวันเกิดของท่าน ในฉากนั้นเอลวิสนำเอากล่องดนตรีมาให้ และเมื่อเธอเปิดมันเสียงเพลง “Can’t Help Falling In Love” ก็ดังขึ้นมาและเอลวิสก็ร้องคลอไปกับท่วงทำนองอันอ่อนหวานนี้

ซาวด์แทร็กของ Blue Hawaii ขึ้นไปสู่อันดับ 1 ของชาร์ตเพลงและยังอยู่ยาวต่ออีก 20 สัปดาห์และครองตำแหน่งยาวนานจนกระทั่งมีผู้มาทำลายสถิติในปี 1977 คืออัลบั้ม “Rumours” ของ Fleetwood Mac

ปกอัลบั้มซาวด์แทร็ก Blue Hawaii

เนื้อร้องของ “Can’t Help Falling In Love” ถูกเขียนขึ้นมาอย่างละมุนละไมและสวยงามเป็นอย่างยิ่ง ถ่ายทอดอารมณ์ของชายหนุ่มคนหนึ่งที่มิอาจต้านทานความรักและแรงปรารถนาอันลึกซึ้งที่ตนมีต่อหญิงคนรักได้

Wise men say

Only fools rush in

But I can’t help falling in love with you

Shall I stay?

Would it be a sin

If I can’t help falling in love with you?

ผู้มีปัญญาได้กล่าวไว้

มีเพียงคนเขลาเท่านั้นที่พุ่งเข้าใส่

แต่ทว่าผมนั้นมิอาจหักห้ามใจมิให้รักคุณได้

ผมขออยู่ต่อได้ไหม

มันจะเป็นบาปหรือไม่

ถ้าผมมิอาจห้ามใจมิให้รักคุณ ?

Like a river flows

Surely to the sea

Darling, so it goes

Some things are meant to be

Take my hand

Take my whole life too

For I can’t help falling in love with you

ดั่งสายน้ำที่หลากไหล

แน่ใจได้ว่ามันต้องลงสู่ทะเล

ที่รัก และมันจะเป็นไปเช่นนั้น

บางสิ่งเกิดขึ้นเพื่อเป็นไป

จับกุมมือผมไว้

จับกุมใจและชีวิตผมด้วย

เพราะผมมิอาจหักห้ามใจมิให้รักคุณได้อีกแล้ว

นอกจากเนื้อร้องอันสวยงามแล้ว “Can’t Help Falling In Love” ยังมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้บทเพลงนี้เป็นที่ตรึงใจของผู้ที่ได้ฟังนั่นคือเมโลดี้อันอ่อนหวาน นุ่มนวล ไพเราะสะกดใจ อันมีที่มาจากเพลงฝรั่งเศสที่มีชื่อว่า “Plaisir D’Amour” (ความอิ่มเอิบใจในรัก) ซึ่งแต่งขึ้นในปี 1784 โดยนักแต่งเพลงชาวเยอรมันที่มีชื่อเหมือนคนฝรั่งเศสผสมอิตาลี ‘ณ็อง ปอล เลอจีด์ มาร์ตินี’ (Jean-Paul-Égide Martini)

ณ็อง ปอล เลอจีด์ มาร์ตินี ผู้ประพันธ์เพลง Plaisir D’Amour

เลอจีด์ มาร์ตินี เกิดที่แคว้นบาวาเรียในประเทศเยอรมนีและมีชื่อเมื่อแรกเกิดว่า Johann Paul Aegidius Schwarzendorf ต่อมาได้ย้ายไปอยู่ฝรั่งเศส ซึ่งก็ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลใดเขาจึงได้ใช้ชื่อใหม่โดยใช้ชื่อต้นคือ ‘ณ็อง ปอล เลอจีด์’ คล้ายคนฝรั่งเศส ส่วนชื่อท้ายคือ ‘มาร์ตินี’ ซึ่งฟังดูเป็นอิตาลี เนื้อเพลงของ Plaisir D’Amour นั้นมาจากบทกวีของ ฌอง-ปิแอร์ คลาริส เดอ ฟลอเรียน (Jean-Pierre Claris de Florian) ซึ่งอยู่ในนวนิยายของเขาเรื่อง Célestine

บทเพลงนี้ประสบความสำเร็จและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก มักมีคนนำไปร้องในเหตุการณ์สำคัญ ๆ อยู่เสมอ ในปี 1859 นักประพันธ์เพลงคลาสสิกชื่อดัง แอ็กตอร์ แบร์ลีโยซ (Hector Berlioz) ได้เรียบเรียงเพลงนี้ในรูปแบบของออร์เคสตรา นอกจากนี้ยังมีการนำมาเรียบเรียงและขับร้องใหม่อีกหลายครั้ง เช่นในเวอร์ชันที่ได้รับเสียงชื่นชมมาก ๆ อย่างเวอร์ชันที่ขับร้องโดยนักร้องสาวชาวกรีก นานา มูสคูรี (Nana Mouskouri) ในปี 1971

ก่อนหน้าที่ท่วงทำนองอันไพเราะนี้จะได้เดินทางมาสู่โลกภาพยนตร์ด้วยการเป็นบทเพลง  “Can’t Help Falling In Love”  “Plaisir D’Amour” ก็เคยถูกดัดแปลงและเป็นแรงบันดาลใจให้กับบทเพลงประกอบภาพยนตร์มาก่อนนั่นคือ ผลงานเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง “The Heiress” (1949) ผลงานการกำกับของ วิลเลียม วายเลอร์ (William Wyler) ที่ประพันธ์ดนตรีโดย แอรอน โคปแลนด์ (Aaron Copland) ซึ่งทำให้โคปแลนด์ได้รับรางวัลออสการ์จากสาขาเพลงประกอบ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาปลื้มแต่อย่างใด เพราะโคปแลนด์ถูกกำหนดทิศทางในการแต่งเพลงจากผู้กำกับวายเลอร์ โดยเฉพาะในช่วงเครดิตเปิดเรื่องที่มีการนำเอาเมโลดี้เพลง “Plaisir d’Amour” มาใช้ นอกจากนี้ในหนังยังมีฉากที่ มอนต์กอเมอรี คลิฟต์ (Montgomery Clift) เล่นเปียโนและร้องเพลงนี้ให้ โอลิเวีย เดอ ฮาวิลแลนด์ (Olivia de Havilland) ฟัง คอปแลนด์ไม่ปลื้มที่บทเพลงของเขาต้องมีท่วงทำนองของคนอื่นมาผสมปนเป สุดท้ายแล้วเขาก็ตัดสินใจที่จะไม่ไปรับรางวัลออสการ์และตัดเยื่อขาดใยกับฮอลลีวูดไปเลย

“The Heiress” (1949)
แอรอน โคปแลนด์
https://www.youtube.com/watch?v=5aS5jGEkO4w

“Can’t Help Falling In Love”  นับว่าเป็นบทเพลงมหัศจรรย์ เพราะไม่ว่าใครที่นำมันไปร้องใหม่หรือทำเป็นเวอร์ชันใหม่ ก็มักจะประสบความสำเร็จและได้รับคำชื่นชมอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเวอร์ชันของ UB40 ที่ใส่จังหวะเร็กเกเข้าไปจนมีความสดใหม่และทำให้เพลงขึ้นไปสู่อันดับ 1 ของชาร์ตเพลงในสหรัฐอเมริกา หรือเวอร์ชันในปี 1970 ที่ร้องโดย แอนดี้ วิลเลียมส์ (Andy Williams) ที่ขึ้นไปถึงอันดับที่ 3 ในอังกฤษ และในปี 1976 เพลงนี้ก็กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งในอังกฤษจากเวอร์ชันของวง The Stylistics ที่ขึ้นสู่อันดับที่ 4 ในชาร์ตเพลง ซึ่งปีก่อนหน้า จอร์จ เดวิด ไวสส์ก็เพิ่งแต่งเพลงฮิตให้กับ The Stylistics ไปนั่นก็คือเพลง “I Can’t Give You Anything (But My Love)”

เนื้อร้องและท่วงทำนองอันไพเราะอาจเป็นสิ่งที่ทำให้บทเพลงเพลงหนึ่งเป็นที่น่าหลงใหล ดังเช่นที่เกิดกับ “Can’t Help Falling In Love” แต่สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่ทำให้บทเพลงนี้กลายเป็นบทเพลงอมตะก็คือเสียงร้องลุ่มลึกอันน่าลุ่มหลงของ เอลวิส เพรสลีย์ ที่ทำให้บทเพลงนี้กลายเป็นบทเพลงอันเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์สะกดใจจนยากที่ใครจะต้านทานเฉกเช่นเดียวกันกับความรู้สึกของชายหนุ่มในบทเพลงที่มิอาจห้ามใจมิให้ตกลงไปในห้วงรักของหญิงสาวคนรักของเขาได้เลย และนั่นจึงทำให้การได้รับฟังบทเพลงเพลงนี้ ผู้ฟังเองก็ได้สัมผัสกับประสบการณ์แห่งการตกหลุมรักที่มิอาจต้านทานได้ด้วยตัวเองเช่นกัน.

ที่มา

songfacts

life of a song

Elvis and Plaisir d’amour

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรััส

เนื้อหาล่าสุด

The Lost Wild เกมผจญภัยเอาชีวิตรอดในโลกที่ยังมีไดโนเสาร์หลงเหลืออยู่

เมื่อประมาณช่วงปลายปีที่แล้ว สตูดิโอ Great Ape Games ได้ปล่อยทีเซอร์เกมเอาชีวิตรอดในโลกที่ยังมีไดโนเสาร์หลงเหลืออยู่ The Lost Wild ...อ่านต่อ

แฟรนไชส์ ‘Rocky’ เตรียมสร้างภาคแยกชื่อ ‘Drago’

หลังจากความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของ ‘Creed’ ซึ่งเป็นภาคแยกของแฟรนไชส์ ‘Rocky’ ที่รับบทโดย ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน (Sylvester Stallone) ...อ่านต่อ

Chris Rock ออกมาตอบโต้ หลัง Will Smith ทำคลิปขอโทษลงโซเชียล

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา วิล สมิธ (Will Smith) ได้ปล่อยคลิปวิดีโอขอโทษ คริส ร็อก (Chris Rock) จากเหตุการณ์ที่ตัวเขาขึ้นไปตบร็อกบนเวทีงานประกาศรางวัลออสการ์ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ...อ่านต่อ

หลุดข้อมูล Tomb Raider ภาคใหม่ ที่เผยว่า Lara Croft จะกลับมาพร้อมกับทีมนักผจญภัย

ปรากฎข้อมูลสคริปต์ของเกม Tomb Raider ภาคใหม่ที่หลุดออกมา เผยให้เห็นว่า Lara Croft นักผจญภัยสาวอาจนำทีมนักตะลุยสุสานที่มาเป็นหมู่คณะ

News
BUZZ

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคุณลบตัว h ออกจากลิงก์วิดีโอ Youtube ที่กำลังรับชมอยู่

แน่นอนว่าทุกคนคงจะเคยพบเจอกับโพสต์ตามโซเชียลมีเดียที่ห้ามไม่ให้ Search คำแปลก ๆ บน Google แต่หลังจากที่ลองทำดูก็กลับกลายเป็นว่าเจอกับมุกตลกไม่ก็ภาพที่เห็นแล้วชวนอ้วกซะงั้น ...อ่านต่อ