รถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นเทรนด์แห่งอนาคตทั้งในไทยและต่างประเทศ เติบโตเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปี 2568 บนท้องถนนเราเริ่มเห็นรถไฟฟ้าเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก จากเดิมที่หลายคนยังไม่มั่นใจในเทคโนโลยีนี้ แต่เมื่อได้พิสูจน์แล้วว่าการใช้งานจริงไม่ต่างจากรถยนต์น้ำมัน แถมราคารถไฟฟ้าหลายรุ่นเริ่มจับต้องได้

ทำให้ความนิยมในรถไฟฟ้าจึงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากการสำรวจสถิติยานยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน ณ เดือนเมษายน 2567 พบว่ามียานยนต์ไฟฟ้าสะสมรวมทั้งสิ้น 167,344 คัน เพิ่มขึ้นกว่า 200% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งมียอดจดทะเบียนรถไฟฟ้าใหม่กว่า 73,000 คัน สะท้อนให้เห็นว่าผู้ใช้รถชาวไทยหันมาให้ความสนใจรถพลังงานไฟฟ้ามากขึ้นอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาปไปสู่รถยนต์ไฟฟ้านั้น ได้นำมาซึ่งการปรับตัวหลายด้าน ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สถานีชาร์จไฟ พฤติกรรมการใช้รถ และที่สำคัญคือ การประกันภัยรถยนต์ บทความนี้จะมาอัปเดตข้อมูลปี 2568 มีอะไรต้องรู้ก่อนซื้อประกันภัยบ้าง

ทำไมค่าเบี้ยประกันรถไฟฟ้าแพงกว่ารถสันดาป

เหตุแรกเลยก็คือ มูลค่าอะไหล่รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาสูงกว่ารถทั่วไป โดยเฉพาะชิ้นส่วนหลักอย่างแบตเตอรี่คิดเป็น 40-50% ของราคารถเลยทีเดียว เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ความเสียหายที่กระทบชุดแบตเตอรี่แม้เพียงเล็กน้อยก็มักนำไปสู่การเปลี่ยนแบตเตอรี่ทั้งชุดแทนการซ่อมเฉพาะจุด ซึ่งค่าใช้จ่ายสูงมาก

ตัวอย่างเช่น รถไฟฟ้าคันหนึ่งราคาประมาณ 1 ล้านบาท แบตเตอรี่ใต้ท้องรถได้รับแรงกระแทกเสียหาย แม้ตัวรถแทบไม่มีรอย แต่ศูนย์แนะนำให้เปลี่ยนแบตฯ ใหม่ ด้วยค่าใช้จ่ายถึง 500,000 บาท กรณีไม่มีประกันภัย

การทำประกันชั้น 1 สำหรับรถไฟฟ้าจึงถือว่าจำเป็น เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าเสียหายที่แพงกว่าปกติ

โดยช่วงแรก ๆ ที่รถไฟฟ้าเข้ามาในไทย มีบริษัทประกันเพียงไม่กี่เจ้าเท่านั้นที่กล้ารับประกันรถประเภทนี้ เนื่องจากกังวลเรื่องอะไหล่ที่ยังหาได้ยาก ราคาแพง และขาดข้อมูลสถิติการเคลม แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้ใช้รถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น บริษัทประกันเริ่มเก็บข้อมูลความเสียหายและปรับปรุงกรมธรรม์ให้รองรับความเสี่ยงของรถไฟฟ้าได้ครอบคลุมมากกว่าเดิม

เหตุผลที่สอง เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมาพร้อมกับความเสี่ยงใหม่ แม้รถไฟฟ้าจะหมดปัญหาแบบเดิม ๆ เพราะไม่ต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิง, ชิ้นส่วนเคลื่อนไหวน้อยกว่า แต่ก็มีความเสี่ยงเฉพาะตัวใหม่ เช่น ไฟฟ้าลัดวงจรภายในระบบแบตเตอรี่, ความเสี่ยงไฟไหม้จากแบตฯ ที่เสียหาย, หรือกรณีชาร์จไฟที่อาจเกิดเหตุไม่คาดฝัน

เหตุผลที่สาม จำนวนศูนย์ซ่อมที่จำกัด ทำให้ต้นทุนการเคลมของประกันสูงขึ้น ด้วยปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้บริษัทประกันจึงต้องกันวงเงินไว้รองรับความเสี่ยงมากกว่า ส่งผลให้ต้องคิดค่าเบี้ยแพงกว่ารถน้ำมันปกติอยู่พอสมควร เฉลี่ยประมาณ 10-20% อ้างอิงข้อมูลจากวิริยะประกันภัย

เกณฑ์ใหม่ปี 2568 จาก คปภ. มีอะไรบ้าง ?

สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้ออกประกาศหลักกรมธรรม์รูปแบบใหม่เกี่ยวกับประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งช่วยให้ความคุ้มครองของประกันรถยนต์ไฟฟ้า ครอบคลุมประเด็นเฉพาะทางมากขึ้นกว่าสมัยก่อน (เริ่มใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นมา และยังคงใช้เกณฑ์ดังกล่าวในปี 2568 เพื่อส่งเสริมให้ทั้งผู้ใช้รถและบริษัทประกันปรับตัวเท่าทันยุครถไฟฟ้า โดยมีจุดเด่นที่สำคัญดังนี้ :

คุ้มครองแบตเตอรี่แยกจากตัวรถ

เนื่องจากแบตเตอรี่เป็นหัวใจสำคัญและแพงที่สุดของรถไฟฟ้า กรมธรรม์รถไฟฟ้าจะแยกความคุ้มครองแบตเตอรี่ออกจากตัวรถชัดเจน กรณีแบตเตอรี่เสียหาย บริษัทประกันจะชดใช้ตามมูลค่าแบตเตอรี่เต็มจำนวน หากรถยังใหม่ (ปีแรก) ได้รับค่าสินไหม 100% ของราคาแบตเตอรี่ และหลังจากนั้นค่าคุ้มครองแบตฯ จะลดลงปีละ 10% ตามค่าเสื่อม โดยกำหนดขั้นต่ำที่ 50% สำหรับรถที่อายุเกิน 5 ปีขึ้นไป

บังคับระบุชื่อผู้ขับขี่

ประกันรถไฟฟ้าจำเป็นต้องระบุชื่อผู้ขับขี่ในกรมธรรม์เท่านั้น (ปัจจุบันเพิ่มเพดานสูงสุดเป็น 5 คน จากเดิมที่จำกัด 2 คน) เพื่อให้สามารถตรวจสอบประวัติและมอบส่วนลดให้ผู้ขับขี่ปลอดภัยได้เต็มที่

หากเกิดอุบัติเหตุแล้วคนขับไม่ได้อยู่ในรายชื่อที่ระบุไว้ ผู้เอาประกันต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรกสูงสุด 8,000 บาท ก่อนที่ประกันจะเข้ามารับผิดชอบส่วนที่เหลือ

ความคุ้มครองเครื่องชาร์จไฟฟ้าส่วนบุคคล

ผู้ใช้รถไฟฟ้าหลายคนติดตั้งเครื่องชาร์จประจำบ้าน (Wall Charger) ซึ่งตามเกณฑ์ใหม่สามารถซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมสำหรับเครื่องชาร์จนี้ได้ เบี้ยประกันคิดในอัตราประมาณ 3% ของมูลค่าเครื่องชาร์จเท่านั้น โดยคุ้มครองกรณีเครื่องชาร์จไฟฟ้าเสียหายหรือสูญหาย เช่น ไฟไหม้หรือถูกขโมย เป็นต้น

เกณฑ์ใหม่เหล่านี้ทำให้กรมธรรม์รถยนต์ไฟฟ้าในปี 2568 มีความครอบคลุมครบถ้วนยิ่งขึ้น ผู้ใช้รถไฟฟ้าจึงอุ่นใจได้มากกว่าเดิมเมื่อถือประกันภัยที่ออกมาตามหลักเกณฑ์ใหม่นี้

เลือกประกันรถไฟฟ้ายังไงให้คุ้ม

การจะเลือกประกันรถไฟฟ้าให้คุ้มค่านั้น หัวใจสำคัญคือ เลือกความคุ้มครองให้เหมาะกับความเสี่ยงของรถไฟฟ้าของเรา โดยพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้ :

  • ตรวจสอบว่ากรมธรรม์คุ้มครองแบตเตอรี่ครอบคลุมกรณีใดบ้าง (อุบัติเหตุ, น้ำท่วม, ไฟไหม้, ถูกขโมย) และมีเงื่อนไขค่าเสื่อมอย่างไร บริษัทที่คุ้มครองแบตฯ 100% หลายปีอาจได้เปรียบในด้านความคุ้มค่า แต่ก็มักมีเบี้ยสูงกว่าเล็กน้อย
  • เลือกบริษัทที่มีอู่หรือศูนย์บริการคู่สัญญาที่สามารถซ่อมรถไฟฟ้าได้ หรือมีนโยบายส่งซ่อมศูนย์บริการมาตรฐานของรถยี่ห้อนั้น ๆ เพื่อให้มั่นใจว่ารถของคุณจะได้รับการซ่อมแซมอย่างถูกต้องและรวดเร็ว
  • เปรียบเทียบเบี้ยประกันจากหลายบริษัทสำหรับทุนประกันรถรุ่นของคุณ เพราะแต่ละเจ้าจะคำนวณไม่เท่ากัน บางเจ้ามีส่วนลดพิเศษสำหรับผู้ขับขี่ปลอดภัย ซึ่งการเปรียบเทียบออนไลน์สามารถช่วยหาดีลที่คุ้มที่สุดได้
  • ดูในเรื่องบริการเสริมและของแถม เช่น บริการรถยก/ชาร์จแบตฯ ฉุกเฉิน, รถสำรองระหว่างซ่อม, ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลของผู้ขับขี่ ฯลฯ บางบริษัทมีให้รวมในกรมธรรม์หรือมีแพ็กเกจเสริม เลือกตามไลฟ์สไตล์การใช้รถของคุณ
  • ช่องทางการซื้อที่สะดวก ปัจจุบันมีเว็บไซต์เปรียบเทียบราคาประกันออนไลน์ที่ใช้งานง่าย ช่วยให้เห็นเบี้ยจากหลายบริษัทได้ทันที เช่น heygoody.com และเจ้าอื่น ๆ การใช้ช่องทางเหล่านี้จะช่วยให้คุณเลือกประกันรถไฟฟ้าที่คุ้มค่าที่สุดได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น

ระดับการคุ้มครองสำหรับรถไฟฟ้า

การเลือกประกันรถยนต์ไฟฟ้า ควรพิจารณาความคุ้มครองหลัก ๆ ไม่ต่างจากประกันรถทั่วไป แต่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษว่ากรมธรรม์รองรับความเสี่ยงเฉพาะของรถไฟฟ้าแค่ไหน โดยทั่วไปประกันรถยนต์มีอยู่หลายระดับ ดังนี้ :

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ให้ความคุ้มครองครอบคลุมมากที่สุด ทั้งความเสียหายต่อรถของเรา (ไม่ว่าจะชนกับอะไรหรือไม่มีคู่กรณีก็คุ้มครอง) รวมถึงคุ้มครองความเสียหายต่อรถคู่กรณี ทรัพย์สิน บุคคลภายนอก รถสูญหาย ไฟไหม้ และภัยธรรมชาติอย่างน้ำท่วม รวมถึงครอบคลุมแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าด้วย หากเกิดเหตุชนหรืออุบัติเหตุที่แบตเตอรี่เสียหาย ประกันชั้น 1 จะดูแลค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้ตามวงเงินคุ้มครองที่กำหนด

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+ / ชั้น 2 คุ้มครองเฉพาะความเสียหายของรถคันเอาประกันในกรณีถูกโจรกรรมหรือไฟไหม้ และคุ้มครองความเสียหายต่อคู่กรณี (ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก) แต่ไม่คุ้มครองความเสียหายจากอุบัติเหตุรถชน สำหรับรถไฟฟ้าหากทำประกันชั้น 2 จะได้รับความคุ้มครองแบตเตอรี่เฉพาะกรณีรถไฟไหม้หรือรถถูกขโมยเท่านั้น และกรณีประกัน 2+ ก็จะคุ้มครองอุบัติเหตุรถชนคล้ายชั้น 1 แต่ยังจำกัดเฉพาะกรณีชนกับยานพาหนะด้วยกัน ดังนั้นประกันชั้น 2 หรือ 2+ อาจเหมาะกับรถไฟฟ้าที่ใช้งานน้อย มีความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุต่ำ และยอมรับความเสี่ยงบางส่วนเองได้ เพื่อประหยัดค่าเบี้ยต่อปี

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3+ / ชั้น 3 คุ้มครองเฉพาะความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของบุคคลภายนอก ไม่ครอบคลุมความเสียหายใด ๆ ต่อรถของผู้เอาประกัน (ส่วนแบบ 3+ จะเพิ่มคุ้มครองรถผู้เอาประกันในกรณีชนกับยานพาหนะทางบกเช่นกัน) แต่หากรถเราเสียหายจากอุบัติเหตุโดยไม่มีคู่กรณี เราต้องซ่อมรถเองทั้งหมด รวมถึงค่าแบตเตอรี่ ที่อาจเสียหายด้วย ซึ่งกรมธรรม์ชั้น 3 จะไม่คุ้มครองแบตเตอรี่รถไฟฟ้าเลย

รวม Q&A คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับประกันรถไฟฟ้า

ถาม : รถไฮบริดควรเลือกทำประกันแบบไหน ?
ตอบ : รถยนต์ไฮบริด (ที่ใช้ทั้งน้ำมันและไฟฟ้า) โดยทั่วไปสามารถทำประกันภัยรถยนต์แบบเดียวกับรถน้ำมันได้เลย เพราะโครงสร้างและความเสี่ยงใกล้เคียงกัน บริษัทประกันส่วนใหญ่ยังจัดประกันรถไฮบริดอยู่ในหมวดเดียวกับรถเครื่องยนต์สันดาป เบี้ยประกันจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกันหรือแพงกว่าเล็กน้อยตามมูลค่ารถ

ถาม : รถไฟฟ้าเจอน้ำท่วมสามารถเคลมประกันได้ไหม ?
ตอบ : ได้ หากผู้เอาประกันทำประกันภัยรถยนต์ประเภทที่คุ้มครองภัยธรรมชาติ (ซึ่งประกันชั้น 1 และประกันชั้น 2+ ส่วนใหญ่คุ้มครองอยู่แล้ว) บริษัทประกันจะรับผิดชอบค่าซ่อมแซมตามเงื่อนไขกรมธรรม์ ซึ่งรวมถึงค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ หากแบตเตอรี่เสียหายจากน้ำท่วมด้วย แต่ทั้งนี้ต้องเป็นกรณีที่ไม่ได้จงใจขับรถลุยน้ำที่มีการประกาศเตือนภัยแล้ว เพราะถือเป็นการจงใจรับความเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงได้ บริษัทประกันอาจปฏิเสธความคุ้มครอง

ถาม : ถ้ารถเสียหายจากการชาร์จไฟ ประกันคุ้มครองหรือไม่ ?
ตอบ : กรณีรถไฟฟ้าเสียหายจากเหตุการณ์ระหว่างชาร์จไฟ เช่น เกิดไฟฟ้าลัดวงจรที่สถานีชาร์จแล้วทำให้แบตเตอรี่รถเสีย หรือไฟไหม้ขณะชาร์จ ฯลฯ เหล่านี้ถือเป็นความเสียหายที่เกิดจากปัจจัยภายนอกที่ไม่ใช่การเสื่อมตามปกติ ซึ่งประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 จะคุ้มครองอยู่แล้ว

แต่หากผู้เอาประกันซื้อความคุ้มครองเครื่องชาร์จไฟฟ้าภายในบ้านเพิ่มเติมไว้ด้วย กรณีเครื่องชาร์จเกิดไฟไหม้หรือเสียหายระหว่างชาร์จ รถและเครื่องชาร์จจะได้รับความคุ้มครองทั้งหมดตามเงื่อนไขที่ระบุในกรมธรรม์

ถาม : รถไฟฟ้าราคาต่ำลง เบี้ยประกันจะถูกลงตามไหม ?
ตอบ : ใช่ครับ เพราะเบี้ยประกันภัยรถยนต์จะพิจารณาจากทุนประกัน ซึ่งสัมพันธ์กับมูลค่าตลาดของรถคันนั้น หากราคารถ EV รุ่นใดลดลง เบี้ยประกันภัยของรถรุ่นนั้นก็มีแนวโน้มจะลดลงตามไปด้วย

ตัวอย่างเช่น รถ EV รุ่นที่มีราคาตลาดใหม่เหลือเพียง 500,000 บาทจากเดิม 1,000,000 บาท เบี้ยประกันชั้น 1 ในปี 2568 ก็ปรับลงเหลือเพียงประมาณ 10,000 บาทต้น ๆ จากเดิมอาจจะ 20,000 บาท

นอกจากนี้ บริษัทยังปรับราคาเบี้ยตามต้นทุนซ่อมเฉลี่ยและความถี่ในการเคลมของแต่ละรุ่นด้วย หากรุ่นนั้นมีข้อมูลสถิติที่ดี ซ่อมง่าย เคลมน้อย เบี้ยก็จะยิ่งถูกลง

ดังนั้นการเช็กทุนประกันให้สอดคล้องกับราคาตลาดและความต้องการจริงจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการประหยัดเบี้ยและได้ความคุ้มครองที่พอดีครับ เพราะหากทุนประกันต่ำกว่ามูลค่าตลาดจริงมาก อาจได้รับค่าสินไหมไม่พอหากเกิดเหตุเสียหายทั้งหมด ในขณะเดียวกัน หากทุนประกันสูงเกินความจำเป็น ก็จะต้องจ่ายเบี้ยประกันแพงขึ้นโดยไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยง

ในท้ายที่สุดนี้ รถยนต์ไฟฟ้าเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มีความเสี่ยงและข้อควรระวังเฉพาะ แต่การทำประกันภัยจะช่วยให้ผู้ขับขี่มั่นใจได้ตลอดการใช้งาน ไม่ว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันใด ๆ ประกันที่คุ้มครองครอบคลุมย่อมช่วยผ่อนหนักเป็นเบา ทั้งในแง่ค่าใช้จ่ายและการจัดการซ่อมแซม ก็จะได้ทั้งความคุ้มค่าและความสบายใจตลอดเส้นทางของการขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าในยุคนี้