YouTube Go เตรียมหยุดให้บริการในเดือนสิงหาคม 2022 นี้
แพลตฟอร์ม YouTube Go ได้ประกาศว่ากำลังจะหยุดให้บริการในเดือนสิงหาคม 2022 นี้ ภายหลังจากเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2016
นับเป็นความสูญเสียครั้งสำคัญของวงการบันเทิงไทย เมื่อนักแสดงมากฝีมือรุ่นใหญ่ “เอก สรพงศ์ ชาตรี” ได้จากไปอย่างสงบในเวลา 15.51 น. ของวันนี้ (10 มีนาคม 2565) ด้วยโรคมะเร็งที่ลุกลาม สิริอายุ 71 ปี
สรพงศ์ ชาตรี หรือ กรีพงษ์ เทียมเศวต (ชื่อเดิม : พิทยา เทียมเศวต) เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในช่วงปลายยุค 70s ถึงกลางยุค 80s ฝากผลงานการแสดงภาพยนตร์ไว้ 500 กว่าเรื่องและละครโทรทัศน์ 100 กว่าเรื่อง อีกทั้งยังได้รับเลือกเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง ในปี พ.ศ. 2551
จำนวนผลงานอันมากมายเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันถึงการทำงานอย่างหนักและทุ่มเทจนได้รับความไว้วางใจและความเชื่อมั่นในฝีมือการแสดงของสรพงศ์จากผู้สร้างสรรค์ภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ไทยตลอดมา และหากเราได้สัมผัสบทบาทของการแสดงทั้งหลายเหล่านั้นของสรพงศ์ด้วยตนเองแล้วเราย่อมประจักษ์แจ้งแก่ใจว่าเหตุใดนักแสดงท่านนี้ถึงได้มีผลงานการแสดงมากมายและกลายเป็นตำนานของวงการบันเทิงไทย
ท่ามกลางผลงานการแสดงอันมากมายเหล่านี้ Beartai Buzz ได้คัดสรรค์ 10 ผลงานการแสดงภาพยนตร์อันทรงคุณค่าและเปี่ยมไปด้วยคุณภาพเพื่อเป็นการรำลึกถึงผลงานการแสดงอันประทับใจของนักแสดงคุณภาพของวงการบันเทิงไทย “สรพงศ์ ชาตรี”
“มันมากับความมืด” (2514)
ภาพยนตร์เรื่องแรกที่สรพงศ์ได้รับบทพระเอกเต็มตัว และเป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 4 ที่สรพงศ์ได้แสดง และเป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของ “ท่านมุ้ย” หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล จากนั้นสรพงศ์ก็ได้รับบทในภาพยนตร์ของหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิมเรื่อยมาจนกลายเป็นพระเอกและนักแสดงคู่บุญของท่านมุ้ยไปเลย
“มันมากับความมืด” ถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์แนวไซไฟเรื่องแรกของวงการภาพยนตร์ไทย มีกลิ่นไอของหนังไซไฟจากฮอลลีวูดยุค 50s ซึ่งถือได้ว่าแหวกแนวของภาพยนตร์ไทยในสมัยนั้น เล่าเรื่องของอุกกาบาตลึกลับที่พุ่งตกในอ่าวไทย ตามด้วยเหตุสยองเมื่อชาวเกาะกลายเป็นศพทั้งหมู่บ้านในชั่วข้ามคืน ไม่ช้าความตายก็คืบคลานเข้าฝั่งไทยจนหลายคนหวาดผวากับสิ่งที่เรียกว่า “มันผู้มากับความมืด” ร้อนจนนักวิทยาศาสตร์ชาวกรุง กับกลุ่มชาวบ้านที่เหลืออยู่ ต้องร่วมมือกันจัดการ “มัน” ให้ได้โดยเร็วก่อนทั้งประเทศจะไม่เหลือใคร
“เขาชื่อกานต์” (2516)
“เขาชื่อกานต์” (2516) ผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ของหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ถ่ายทำด้วยฟิล์ม 35 มม. พากย์เสียงในฟิล์ม และนำแสดงโดย สรพงศ์ ชาตรี สร้างจากนวนิยายที่มีชื่อเสียงของ สุวรรณี สุคนธา ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2513
“เขาชื่อกานต์” เป็นภาพยนตร์รุ่นแรก ๆ ของวงการภาพยนตร์ไทยที่กล่าวถึงปัญหาสังคม ถือเป็นจุดเปลี่ยนแปลงของภาพยนตร์ไทย คือมีการวิพากษ์เกี่ยวกับหลากหลายปัญหาของสังคมไทย อาทิ ปัญหาความยากจน ปัญหาผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น และปัญหาคอร์รัปชั่น สรพงศ์ ชาตรีรับบทบาทเป็น “กานต์” หมอหนุ่มที่มีอุดมการณ์สูงที่ต่อสู้เพื่อความถูกต้อง และยอมอุทิศตนไปทำงานไปรักษาคนไข้ในเขตชนบท จนเกิดความขัดแย้งกับข้าราชการท้องถิ่น และลงเอยโดยการถูกลอบยิงจนเสียชีวิต
ในตอนแรกภาพยนตร์เรื่องนี้มีปัญหากับการถูกเซนเซอร์ เพราะเป็นหนังเรื่องแรกที่พูดถึงระบบการฉ้อราษฎร์บังหลวงโดยตรง ซึ่งในสมัยนั้นไม่มีใครกล้าแตะต้อง ต่อมาภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง สามารถทำรายได้หลายล้านบาท หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคลได้รับรางวัลผู้กำกับการแสดงยอดเยี่ยม ขณะที่สรพงศ์ ชาตรีได้เข้าชิงตุ๊กตาทองดารานำชายจากในงานรางวัลตุ๊กตาทองหรือรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ครั้งที่ 9 ปี พ.ศ. 2517
“ชีวิตบัดซบ” (2519)
ผลงานการกำกับของหนึ่งในผู้กำกับคลื่นลูกใหม่ของวงการภาพยนตร์ไทย “เพิ่มพล เชยอรุณ” ในเรื่องนี้สรพงศ์ ชาตรีต้องรับบทเป็นพ่อและสามีของครอบครัวที่ต้องประสบปัญหาชีวิตนานาประการจนต้องอุทานออกมาว่า “ชีวิตบัดซบ” สมกับชื่อเรื่องเลยจริง ๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เป็นไปตามชื่อเรื่องเลยก็คือตัวภาพยนตร์ที่มีคุณภาพและการแสดงอันน่าประทับใจของสรพงศ์ที่ทำให้สรพงศ์ได้รับรางวัลตุ๊กตาทองเป็นตัวแรกของชีวิต
“เทพธิดาโรงแรม” (2517)
เป็นพระเอกจนโด่งดังมาแล้วคราวนี้สรพงศ์ขอพลิกบทบาทการแสดงครั้งสำคัญด้วยการรับบทเป็น “โทน” แมงดาหนุ่มในซ่องที่ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้ทั้งร้ายทั้งลึกสมบทบาทจริง ๆ โดยแสดงประกบกับ “วิยะดา อุมารินทร์” ที่แสดงภาพยนตร์เป็นครั้งแรกด้วยการรับบทเป็น “มาลี” หญิงสาวจากภาคเหนือที่เดินทางมาหางานทำในกรุงเทพ ฯ พร้อมกับคนรักของเธอแต่คนรักของเธอได้หายตัวไปทำให้เธอต้องหันเหเข้ามาทำงานในซ่องแห่งหนึ่ง “เทพธิดาโรงแรม” เป็นภาพยนตร์ไทยแนวสะท้อนสังคมที่สร้างจากบทประพันธ์ของ ณรงค์ จันทร์เรือง เป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องที่ 3 ของ หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล
“มือปืน” (2526)
ผลงานภาพยนตร์ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมาสเตอร์พีซของ หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล เป็นภาพยนตร์ที่ฉีกจากภาพยนตร์ในช่วงเวลานั้นด้วยการเล่าถึงชีวิตของคนที่มีอาชีพเป็นมือปืนในแง่มุมที่ผู้ชมในยุคนั้นอาจไม่เคยได้เห็น สรพงศ์ ชาตรี รับบทเป็น “จ่าสมหมาย ม่วงทรัพย์” มือปืนรับจ้างขาเป๋ ที่เคยเป็นนายทหารที่ร่วมรบในสมรภูมิที่ลาวจนเสียขาไปข้างหนึ่ง จนต้องมามีอาชีพเป็นมือปืนรับจ้างคอยฆ่าคนและมีอาชีพเป็นช่างตัดผมบังหน้า สรพงศ์ได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมถึง 2 รางวัลด้วยกันคือรางวัลตุ๊กตาทองและรางวัลสุพรรณหงส์ทองคำ
“คนเลี้ยงช้าง” (2533)
ผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องที่ 29 ของหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมรางวัลสุพรรณหงส์ ประจำปี พ.ศ. 2534 และได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของประเทศไทยในการเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม ในการประกาศรางวัลครั้งที่ 62
สรพงศ์ ชาตรี รับบทเป็น “บุญส่ง” เจ้าของช้างแสนรู้ชื่อ “แตงอ่อน” ที่มีเหตุให้ต้องเข้าไปเกี่ยวพันกับพวกลักลอบทำไม้เถื่อนจนต้องถูกตามล่าหมายเอาชีวิต และแตงอ่อนได้กลายเป็นช้างป่าคอยตามล่าพวกลักลอบตัดไม้จนกลายเป็นตำนานกล่าวขานคู่กับป่าห้วยนางนอนที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์เพราะไม่มีใครกล้าเข้ามาตัดไม้อีกต่อไป
จากบทบาทในภาพยนตร์เรื่องนี้สรพงศ์ ชาตรีจึงได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติสุพรรณหงส์ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมเป็นครั้งแรกในชีวิต
“มือปืน 2 สาละวิน” (2536)
เป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากทั้งรายได้และเสียงวิจารณ์ จนกล่าวว่าเป็นภาพยนตร์ที่ลงตัวที่สุดเรื่องหนึ่งของหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ผู้สร้างและผู้กำกับซึ่งได้รับรางวัลพระสุรัสวดีหรือรางวัลตุ๊กตาทอง ส่วนสรพงศ์ ชาตรีก็ได้รับรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดีหรือตุ๊กตาทองในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมและได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติสุพรรณหงส์ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมอีกครั้งจากบท “จ่าแร่ม เริงชัย” นายตำรวจตระเวนชายแดนวัยกลางคนผู้ประจำอยู่ที่ชายแดนซึ่งต้องเข้าไปเกี่ยวพันกับการปะทะกันกับกองกำลังปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยงที่ตั้งฐานที่มั่นอยู่บนลุ่มน้ำสาละวินเขตรอยต่อพรมแดนไทย-พม่า
“เสียดาย 2” (2539)
ภาพยนตร์สะท้อนปัญหาสังคมภาคต่อจาก “เสียดาย” ในปี พ.ศ. 2537 ที่เป็นภาพยนตร์ในแนวสารคดีสะท้อนปัญหาสังคมเกี่ยวกับวัยรุ่นและยาเสพติด ส่วนเสียดาย 2 นี้เป็นภาพยนตร์แบบดราม่าทั่วไป และเป็นเรื่องของผู้เป็นโรคเอดส์ ผลงานการกำกับของ หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล เป็นผลงานการแสดงครั้งแรกของ “มาริสา แอนนิต้า” นางแบบสาวลูกครึ่งไทย-เนเธอร์แลนด์ และเป็นการแสดงอีกครั้งของ สรพงศ์ ชาตรี หลังจากแสดงมาแล้วครั้งหนึ่งจาก เสียดาย ในภาคแรก โดยในเรื่องนี้สรพงศ์รับบทเป็น “ระบิล” พ่อของ โรส (มาริสา แอนนิต้า) เด็กสาวลูกครึ่งไทย-ตะวันตก ที่เคราะห์ร้ายติดเชื้อเอชไอวีจากการรับบริจาคเลือด
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นตัวแทนของประเทศไทย เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมในการประกาศรางวัลครั้งที่ 70 ส่วนสรพงศ์ ชาตรีนั้นได้รับรางวัลตุ๊กตาทองในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมอีกครั้งและได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติสุพรรณหงส์
“สุริโยไท” (2544)
ภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ ที่เล่าเรื่องราวของวีรสตรีคนสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย คือ “พระสุริโยไท” พระมเหสีของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ผลงานการกำกับของหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ในภาพยนตร์เรื่องนี้สรพงศ์ ชาตรีรับบทเป็น “หมื่นราชเสน่หา (นอกราชการ)” หรือ เจ้าพระยาภักดีนุชิต ขุนนางไทยผู้หาญกล้า ผู้ร่วมวางแผนก่อการโค่นอำนาจของ ขุนวรวงศาธิราช และ แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ ผู้คิดคดทรยศต่อผืนแผ่นดินไทย ภาพจำของคนที่เคยดูหนังเรื่องนี้ต่อบทบาทของสรพงศ์ก็คือคาแรกเตอร์ที่เด็ดเดี่ยวของการเป็นทหารกล้าผู้จงรักภักดีที่มาพร้อมกับใบหน้าที่ดุดัน (แต่แฝงแววขี้เล่นอารมณ์ดีในบางฉาก) และมีแผลเป็นขนาดใหญ่เป็นรอยฟันผ่าพาดทับดวงตาข้างซ้ายจนทำให้ดวงตาข้างนั้นของหมื่นราชเสน่หาต้องมืดบอดไป จากบทบาทนี้สรพงศ์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ไทย ชมรมวิจารณ์บันเทิงในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม
“องค์บาก 2” (2551)
ภาพยนตร์ศิลปะการต่อสู้ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในตลาดต่างประเทศ จากการแสดงวาดลวดลายบู๊โดย “จา พนม ยีรัมย์” หรือ ทัชชกร ยีรัมย์ ผลงานการกำกับของปรัชญา ปิ่นแก้ว โดยการสนับสนุนของพันนา ฤทธิไกร โดยเหตุการณ์ของหนังภาคนี้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 สรพงศ์ ชาตรีรับบท “เชอนัง” หัวหน้ากองโจรผาปีกครุฑผู้ยิ่งใหญ่ที่ช่วยเทียน (จา พนม) ไว้จากตลาดการค้าทาส และสอนทุกศาสตร์ให้โดยหวังให้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้ากองโจรต่อไป แต่สิ่งเดียวที่เทียนต้องการคือการเปิดสังเวียนเลือดล้างเลือดล้างแค้นให้ผู้เป็นพ่อ (สันติสุข พรหมศิริ) ที่ต้องตายอย่างทุกข์ทรมานโดยฝีมือพระยาราชเสนา (ศรัณยู วงษ์กระจ่าง)
จากบทบาทนี้สรพงศ์ ชาตรีได้รับหลายรางวัลในสาขาผู้แสดงสมทบชายยอดเยี่ยมทั้งจากรางวัลสุพรรณหงส์ รางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง คมชัดลึก อวอร์ด และสตาร์ เอนเตอร์เทนเม้นท์ อวอร์ดส์
และนี่ก็คือผลงานภาพยนตร์ที่ประกอบด้วยฝีมือการแสดงอันทรงคุณค่าของ “สรพงศ์ ชาตรี” ที่เราไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง ผู้เขียนขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของสรพงศ์ ชาตรีกับการจากไปของปูชนียบุคคลของวงการบันเทิงไทยท่านนี้ และขอระลึกถึงคุณงามความดีและผลงานอันทรงคุณค่าและน่าประทับใจทั้งหลายที่ “สรพงศ์ ชาตรี” ได้ฝากเอาไว้.
Source
ข้อมูลเรื่อง “มือปืน” จากหอภาพยนตร์
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส