กว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิตนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย บางคนทุ่มเทเวลาทั้งชีวิตยังไม่ถึงจุดหมาย แต่ไม่ใช่กับเด็กมหัศจรรย์คนนี้ เขาทำให้อายุที่มีเป็นเพียงแค่ตัวเลข ‘อเล็กซานเดอร์ หวัง’ (Alexandr Wang) ชายหนุ่มผู้สร้างสตาร์ตอัปมูลค่ากว่าหมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ในวัยไม่ถึง 25 ปี ตัวแทนผู้บุกเบิกความสำเร็จและเรียนรู้ที่ไร้ขีดจำกัดตั้งแต่วัยเยาว์
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ชื่อของหวังกลับมาถูกพูดถึงอีกครั้ง หลัง Meta สร้างข่าวครั้งใหญ่สะเทือนโลกเทคโนโลยี ด้วยการจ่ายเงินลงทุนสูงถึง 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 500,000 ล้านบาท) เข้าซื้อหุ้น 49% ในบริษัท Scale AI
และมีการดึงตัว อเล็กซานเดอร์ หวัง ผู้ร่วมตั้งบริษัทมาพัฒนาบิ๊กโปรเจกต์ซูเปอร์ AI ให้ Meta พลางชวนให้หลายคนตั้งคำถามว่า เขาสำคัญต่อวงการ AI ในอนาคตขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงต้องมีดีลซื้อตัวมหาศาลครั้งนี้
จุดเริ่มต้นวงการเทคโนโลยีของวัยรุ่น ‘หวัง’
อเล็กซานเดอร์ หวัง เป็นเด็กชายอพยพเชื้อสายจีน เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1997 ที่รัฐนิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา พ่อแม่ของเขาเป็นนักฟิสิกส์ที่ทำงานให้กองทัพสหรัฐฯ ทำให้หวังเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่รายล้อมด้วยวิทยาศาสตร์
เขาเป็นเด็กอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์ ชื่นชอบการแข่งขันเขียนโคดตั้งแต่เด็ก และสอบเข้าเรียนคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่ MIT ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่หลังเรียนได้หนึ่งปี เขาตัดสินใจลาออกกลางคัน เพื่อร่วมก่อตั้งสตาร์ตอัปด้านเทคฯ Scale AI กับ Lucy Guo ในปี 2016 ด้วยอายุเพียง 19 ปี เนื่องจากเขามองเห็นอนาคตในอุตสาหกรรม AI ตั้งแต่เกือบสิบปีที่แล้ว เข้าใจช่องว่างแห่งโอกาสการจัดการข้อมูลก่อนนำไปเทรนโมเดล AI
โดยบริษัท Scale AI ของเขาทำหน้าที่จัดการข้อมูลให้มีคุณภาพ เพื่อใช้ฝึกโมเดล AI อย่างแม่นยำ ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนา AI ยุคใหม่ เช่น ChatGPT ของ OpenAI หรือ Llama ของ Meta
ในปี 2021 หวังกลายเป็นมหาเศรษฐีที่สร้างฐานะด้วยตัวเองที่มีอายุน้อยที่สุดในโลก ขณะอายุเพียง 24 ปี โดยบริษัทของเขาเคยมีมูลค่าสูงถึง 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แม้จะเจอวิกฤตมูลค่าบริษัทลดลงในปี 2023 แต่บริษัทของเขาก็ฟื้นจนมีมูลค่ากว่า 14,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2024 และมีสัดส่วนถือหุ้นอยู่ราว 14%
ล่าสุด Meta เข้าลงทุนเพิ่ม 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เข้าถือหุ้น 49% ในบริษัท Scale AI ผลักดันมูลค่ากิจการพุ่งทะลุ 29,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกว่า 950,000 ล้านบาท และดึงตัวหวังย้ายไปร่วมงานกับ Meta ในโปรเจกต์ AI Superintelligence
ทำไม Scale AI เป็นที่ต้องการของเหล่าบิ๊กเทคฯ
Scale AI มีบทบาทสำคัญในการเตรียมข้อมูลให้พร้อมใช้งาน สำหรับฝึกโมเดล AI ด้วยการจัดการและติดป้ายกำกับข้อมูล (Data labeling) เช่น การแยกวัตถุในภาพ วิดีโอ หรือข้อความ เพื่อให้ระบบ AI เข้าใจ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้โมเดลอย่าง GPT หรือ Llama เรียนรู้ได้ถูกต้อง แม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นี่คือจุดที่หลายบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่สามารถทำเองได้ง่าย ๆ เพราะต้องใช้แรงงานจำนวนมากและระบบจัดการข้อมูลที่แข็งแกร่ง
ลูกค้าหลักของ Scale AI ล้วนเป็นบริษัทระดับโลก เช่น Meta, Google, Microsoft และ OpenAI ซึ่งต่างกำลังเร่งพัฒนา AI ของตัวเอง แต่ AI ของบริษัทเหล่านี้จะขาดประสิทธิภาพหากไม่มีข้อมูลคุณภาพสูงมาฝึกโมเดล
ซึ่งความได้เปรียบของ Scale AI คือการมีเครือข่ายแรงงานกว่า 100,000 คนทั่วโลก ผ่านบริษัทในเครือเช่น Remotasks และ Outlier AI ที่ช่วยทำงาน Labeling อย่างรวดเร็ว จึงเป็นเหตุผลที่บิ๊กเทคฯ ต้องพึ่งพาบริการของ Scale AI แม้จะมีทุนและทีมวิศวกรของตัวเองก็ตาม
เส้นทางต่อจากนี้ในยุค AI ครองโลก
ดีลนี้ส่งผลให้หวัง วัย 28 ปี เป็นกำลังสำคัญในแผนยุทธศาสตร์สำคัญที่มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) วางไว้ในปี 2025 เพื่อเอาชนะคู่แข่งอย่าง Google และ OpenAI
หวังเคยกล่าวไว้ว่า เคล็ดลับการประสบความสำเร็จของเขาคือ “ความเดียงสา” ทำให้เขามีความคิดเปิดกว้าง พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ตลอดเวลา ตัวเขาเองจึงเข้ามาทำงานในวงการเทคโนโลยี โดยไม่ยึดติดกรอบความคิดแบบเดิม ๆ ทำให้เขากล้าลองผิดลองถูกและสร้างนวัตกรรมใหม่ได้เร็วขึ้น
สำหรับ Meta ดีลนี้ไม่เพียงแต่ได้ตัวหวัง ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับทั้ง Google, Microsoft และ OpenAI เท่านั้น แต่ยังตอกย้ำทิศทางจริงจังของ Meta ต่อการพัฒนา AI ระดับลึกซึ้งยิ่งขึ้น หลังจากโมเดล Llama 4 ที่ออกมาก่อนหน้านี้ได้รับเสียงตอบรับไม่ดีเท่าที่ควรจากนักพัฒนา
การลงทุนครั้งนี้จึงถูกมองว่า Meta ต้องการความกล้าและแนวคิดใหม่ ซึ่งเป็นจุดแข็งที่หวังแสดงให้โลกเห็นมาตลอด จากความสำเร็จในการระดมทุนจาก Amazon และ Meta เมื่อปีที่แล้วจน Scale AI มีมูลค่า 13,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเพิ่งพุ่งทะลุ 29,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากดีลใหม่นี้
ถึงแม้ว่า อเล็กซานเดอร์ หวัง อาจจะไม่ได้เป็นเจ้าของบริษัท Scale AI อีกต่อไป แต่เขายังนั่งเป็นกรรมการบริหารในบอร์ดของ Scale AI และเตรียมดึงทีมงานฝีมือจากบริษัทเดิมบางส่วนไปสร้างทีมใหม่ร่วมกับ Meta โดยจะมีเจสัน โดรจ (Jason Droege) อดีตผู้บริหาร Uber มารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารในบริษัท Scale AI ชั่วคราว อีกทั้งเขากำลังเริ่มต้นบทใหม่ในชีวิต กับบทบาทผู้นำด้านซูเปอร์ AI ของโลก ผ่านบริษัทที่ทรงอิทธิพลอย่าง Meta ที่มีบทพิสูจน์ใหญ่เช่นกันในการแข่งขันด้าน AI กับบิ๊กเทคฯ ระดับโลกอีกหลายแห่ง
นอกจากนี้ เขายังคงมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรม AI ทั้งในซิลิคอนแวลลีย์และแวดวงการเมืองวอชิงตัน ด้วยความสามารถในการเชื่อมต่อผู้มีอำนาจ การมองไกล และจุดยืนแข็งกร้าวด้านภูมิรัฐศาสตร์ต่อจีน
ในอนาคตเขาอาจกลายเป็นผู้มีอิทธิพลในเบื้องหลังการกำหนดนโยบายเทคโนโลยีของสหรัฐฯ และเป็นผู้เบิกทาง AI ที่โลกกำลังจับตาอย่างใกล้ชิด