เพราะทุกบริษัทต้องการโปรเจกเตอร์เพื่อใช้นำเสนองาน หรือใช้ในกิจการของบริษัท วันนี้ผม “หนุ่ย-พงศ์สุข” จะแนะนำทุกท่านให้รู้จักโปรเจกเตอร์เพื่อธุรกิจตัวเทพ Panasonic PT-MZ670

เรียบร้อย ภาพขึ้นจอแล้ว และนี่คือหนึ่งในข้อดีของ Panasonic PT-MZ670 ซึ่งเป็นโปรเจกเตอร์ในกลุ่ม Panasonic Solid Shine หรือเลเซอร์โปรเจกเตอร์นั้นเอง ที่สามารถเปิดเครื่องพร้อมใช้งานได้เร็วกว่าโปรเจกเตอร์ที่ใช้หลอดแบบเดิมเยอะ

  • Laser Projector นั้นแตกต่างจากโปรเจกเตอร์ทั่วไปตรงแหล่งกำเนิดแสงครับ โปรเจคเตอร์แบบเดิมนั้นจะสร้างแสงสว่างจากหลอดไฟที่เป็นชนิดหลอดไส้จึงต้องใช้เวลาพักหนึ่งในการเผาหลอด จนทำให้ได้ปริมาณแสงที่ต้องการหรือแม้กระทั่งตอนปิดเครื่องก็ยังต้องรอให้เครื่อง Cooldown จนเสร็จเราจึงจะสามารถปิดเครื่องได้ แต่ Laser projector จะใช้แสงเลเซอร์เป็นแหล่งกำเนิดแสง ทำให้เครื่องเปิดภาพขึ้นมาได้เร็วกว่า กินไฟน้อยกว่าและยังมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าด้วย

ในขณะที่เครื่องโปรเจกเตอร์ทั่วไปที่ใช้หลอดไฟแบบเก่า ก็รับประกันอายุการใช้งานหลอดกันแค่หลักพันชั่วโมง แถมใช้ไปไม่กี่ร้อยชั่วโมงก็รู้สึกว่าแสงอ่อนลงแล้ว แต่ Panasonic Solid Shine Laser Projector รับประกันหลอดที่ 20,000 ชั่วโมงครับ เครื่องอึด ถึก ทน แทบไม่ต้องเรียกช่างมาดูแลตลอดอายุการใช้งานเลย สมมุติเราเปิดใช้งานอย่างหนักเลยนะ ใช้โปรเจกเตอร์วันละ 8 ชั่วโมงทุกวัน นับวันเสาร์-อาทิตย์ด้วย หารออกมา อายุการใช้งานหลอดยาวนานเกือบ 7 ปี ไม่ต้องเจอหน้าช่างนานขนาดนั้น ซึ่งแสงจาก Laser Projector จะอ่อนลงอย่างช้าๆ เมื่อถึง 20,000 ชั่วโมงจะยังให้ความสว่างได้ประมาณ 50% ของความสว่างเริ่มต้นครับ ซึ่งก็ยังใช้งานเครื่องต่อจากนั้นได้นะ ไม่ใช่ถึง 20,000 ชั่วโมงแล้วหลอดขาด ใช้ต่อไม่ได้

สำหรับ Panasonic PT-MZ670 ตัวที่เรานำมาแนะนำในวันนี้ คนที่ไม่คุ้นเคยกับโปรเจกเตอร์ธุรกิจคงร้อง โอ้โห้เครื่องใหญ่จัง แหมนี่โปรเจกเตอร์สำหรับติดตั้งในห้องนะครับ ไม่ใช่โปรเจกเตอร์พกพา ความสว่างและ Contrast สูงกว่าเครื่องเล็กเยอะ!! ซึ่งเครื่องรุ่น MZ670 ตัวนี้ให้ความสว่างได้ถึง 6,500 lm ความละเอียด WUXGA หรือ 1920 x 1200 pixel ให้ Dynamic Contrast 3,000,000 : 1

  • Panasonic PT-MZ670 ให้ความสว่าง 6,500 lm ก็สว่างพอที่จะฉายภาพในห้องที่เปิดไฟอยู่ ได้ถึงขนาดจอประมาณ 200 นิ้ว ซึ่งการที่โปรเจกเตอร์สว่างมากจนไม่ต้องปิดไฟในห้อง ผู้ชมการนำเสนอก็ยังสามารถจดเนื้อหาลงสมุดได้ ไม่ใช่มืดจนจดอะไรไม่ได้ ส่วนถ้าปิดไฟก็สามารถฉายได้ถึง 300 นิ้วครับ จอใหญ่ขนาดนี้ใช้ในห้องประชุมหรือห้องสัมมนาสบายๆ คุณภาพภาพก็ชัดเจนจนสามารถถ่ายวิดีโอเห็นแบบนี้ครับ

อีกไฮไลท์สำคัญสำหรับโปรเจกเตอร์ธุรกิจจาก Panasonic คือมันเปลี่ยนเลนส์ได้ด้วยครับคุณผู้โชมม เอ๊ะ!! นี่ก็ไม่ใช่กล้องถ่ายรูปทำไมต้องเปลี่ยนเลนส์ด้วย คือปกติในชุดของ Panasonic PT-MZ670 จะมีเลนส์โปรเจกเตอร์ติดมาให้แล้ว ซึ่งเลนส์ตัวนี้ก็สามารถซูมปรับขนาดภาพเล็ก-ใหญ่ได้ระดับหนึ่งอยู่แล้ว แต่สำหรับบางสถานที่ เช่น เราต้องการวางเครื่องในระยะที่ใกล้จอมากขึ้นแต่ต้องการภาพใหญ่เท่าการวางเครื่องห่าง ๆ ก็ต้องเปลี่ยนเลนส์ให้เหมาะสมกับระยะการวางเครื่องเพื่อให้ได้ขนาดภาพตามที่ต้องการครับ เจ๋งไหมล่ะ!!

  • โปรเจกเตอร์ทุกตัวก็ต้องต่อภาพผ่านพอร์ตได้ทั้งนั้นนะครับ ซึ่ง Panasonic PT-MZ670 ก็ให้พอร์ตมาครบทั้ง HDMI 2 พอร์ต , VGA 1 พอร์ต , ช่องเสียงเข้า-เสียงออก พอร์ต LAN เชื่อมต่อเครือข่าย มีช่อง USB เอาไว้เปิดไฟล์โดยตรง แล้วก็ช่องต่อ USB ตรงนี้เอาไว้เสียบจุ๊บ Wireless เพื่อเชื่อมต่อภาพไร้สายได้ ตัวนี้ต้องซื้อเพิ่มนะ ไม่ได้แถมมาในชุด ก็เผื่อไม่ใช้ไร้สายไง จะได้ไม่ต้องซื้อ แต่ผมก็แนะนำให้ซื้อนะ เพราะการเชื่อมต่อภาพไร้สายมันลดความวุ่นวายในการใช้สาย ย้ายสาย เปลี่ยนสายต่อเครื่องนำเสนอได้เยอะ
  • เมื่อโปรเจกเตอร์เชื่อมต่อภาพไร้สายได้ ก็สามารถใช้แอป Panasonic Wireless Projector ในมือถือเพื่อเปิดเอกสาร เปิดรูป หรือเปิดภาพจากกล้องสดส่งขึ้นจอได้เลย แถมยังแสดงภาพแบบแบ่ง 4 จอเล็กโชว์พร้อมกันก็ได้ หรือจะส่งภาพขึ้นจอแบบ Mirror จากคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนแบบไร้สายมาขึ้นที่โปรเจกเตอร์ได้เลยนะ รองรับมาตรฐาน WiDi บน Windows และ Miracast บน Android ส่วนอุปกรณ์ Apple ไม่คุยกับใคร ก็ต้องหาวิธีต่อเอาเองจ้า

เห็นความสามารถของ Panasonic PT-MZ670 เลเซอร์โปรเจกเตอร์กันมาขนาดนี้แล้ว ราคาก็ต้องสมน้ำสมเนื้อกันหน่อยครับ MZ670 รุ่นนี้ราคากลางอยู่ที่ 270,000 บาท ฟังดูเหมือนแพง แต่ถ้าคิดว่าใช้งานได้ยาว ๆ 7 ปีไม่ต้องซ่อมบำรุงบ่อย ๆ ก็ตกค่าใช้วันละร้อยกว่าบาทเท่านั้นเอง ถือเป็นการลงทุนทางธุรกิจที่ใช้ได้ยาว ๆ ไม่ต้องเสียแล้วรอเปลี่ยนอะไหล่กันบ่อย ๆ แล้ว Panasonic ยังมีทีมงาน Survey สถานที่เพื่อแนะนำรุ่นที่เหมาะสมกับระดับแสงในห้อง และขนาดจอที่ต้องการด้วยนะครับ เผื่อจะได้ไม่ต้องซื้อรุ่นที่แพงจนเกินไปไงครับ