ว่ากันตามตรง ณ จุด ๆ นึงผมเคยคิดเล่น ๆ ว่าจะมีสักวันไหม ที่ขนาดของการ์ดจอมันจะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนอาจจะใหญ่เท่าเคส PC กันไปเลย เพราะถ้าหากเราดูพัฒนาการของ GPU มาตั้งแต่ยุคเริ่มต้นจนถึงตอนนี้มันก็จะมีขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็จะมีขนาดที่เป็นมาตรฐานมาอยู่ตลอด

และล่าสุดตอนนี้ RTX 4080 ก็ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของคำว่า “มาตรฐาน” ไปแล้ว เพราะตัวการ์ดนั้นมีขนาดใหญ่มาก ๆ ถึงขนาดที่ว่าเอายัดใส่เคสแบบ Mini ATX-ITX ไม่ได้แน่ ๆ และคนที่ใช้เคส E-ATX แบบผมก็ต้องถึงกับปาดเหงื่อ เพราะก็เกือบจะเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน

แน่นอนว่าขนาดที่ใหญ่ขึ้น ก็จะมาพร้อมกับความแรงที่เพิ่มมากขึ้นและดูเหมือนว่างานนี้ Nvidia จะมาถูกทาง เพราะนี่คือยุคทองของ RTX อย่างแท้จริง หลังจากที่ซีรีส์ RTX 2000 เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2018 นั้นถือว่าเป็นเพียงแค่ “ใบเบิกทาง” สำหรับเทคโนโลยี Ray tracing แต่จุดเริ่มต้นที่แท้จริงของมันนั้น เพิ่งจะเกิดขึ้น ณ ตอนนี้ในซีรีส์ RTX 4000 ครับ


ตามธรรมเนียมของ Nvidia นั้นมักจะเปิดตัวการ์ดจอ 2 รุ่นเรือธงออกมาพร้อมกันก่อน และค่อย ๆ วางจำหน่ายทีละตัว โดยตัวแรกเป็น RTX 4090 ที่เพิ่งปล่อยออกไปได้ไม่นาน ตามมาด้วย RTX 4080 ที่เพิ่งมาถึงมือผมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเมื่อเราเอาสเปกของทั้งตัวมาวางเทียบกัน แน่นอนว่า RTX 4090 นั้นต้องแรงกว่าอยู่แล้ว

แต่จุดที่น่าสนใจ มันอยู่ที่ตรงนี้ครับ

ถ้าหากเราเอาสเปกของ RTX 4080 มาวางเทียบกับ RTX 3090Ti เฉย ๆ ก็จะพบว่า 3090 Ti นั้นเหมือนจะมีสเปกที่สูงกว่าอยู่บ้าง ทั้ง CUDA Core ที่เยอะกว่า Ram ที่เยอะกว่า Memory bus ที่สูงกว่า

แต่สิ่งที่แตกต่างกันออกไป ก็คือสถาปัตยกรรมของ RTX 3090Ti นั้นเป็น Ampere พร้อมกับ RT Core Gen 2nd และ Tensor Core Gen 3rd แตกต่างที่ทาง RTX 4080 นั้นเปลี่ยนมาใช้สถาปัตยกรรม Ada Lovelace พร้อมกับ RT Core และ Tensor Core ใหม่ทั้งหมด ส่งผลให้ RTX 4080 นั้นแรงกว่า RTX 3090 Ti เรือธงของรุ่นที่แล้วเสียอีก

สถาปัตยกรรม Ada Lovelace คือกุญแจ

Ada Lovelace เป็นสถาปัตยกรรมใหม่ล่าสุดที่พัฒนาต่อยอดมาจาก Ampere หลังจากประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากกับ RTX 3000 ทาง Nvidia ได้ออกแบบชิปใหม่ทั้งหมด โดยเริ่มต้นจากการลดขนาดของชิปมาเหลือเพียง 4nm โดยร่วมมือกับ TSMC เจ้าเดิม กับเทคโนโลยี TSMC’s N4 ซึ่งถือว่าลดขนาดไปเลยครึ่งนึงของ Ampere ที่มีขนาด 8nm

แน่นอนว่าด้วยขนาดที่เล็กลงครึ่งนึง มันส่งผลเป็นอย่างมากในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงมากยิ่งขึ้น โดยยังคงใช้พลังงานเท่าเดิม หรืออาจจะอัดพลังงานเข้าไปให้สูงขึ้นก็ได้ เพราะปัญหาเรื่องความร้อนจะไม่ใช่อุปสรรคมากนัก ในชิปที่มีขนาดเล็กเช่นนี้

นอกจากนี้ก็ยังมาพร้อมกับ DLSS 3.0 (Deep Learning Super Sampling) และ Tensor Core 4th Gen ระบบ AI ที่จะเข้ามาปรับปรุงการทำงานของ DLSS ใหม่ ทำให้คุณภาพที่ได้รับนั้นดีและยอดเยี่ยมมากกว่าเดิม ส่งผลให้เราสามารถเล่นเกมในความละเอียดสูง โดยได้เฟรมเรตที่สูงกว่า 100 FPS ได้ในระดับ 4K

Ada Lovelace ได้พัฒนาระบบการจัดการพลังงานใหม่ทั้งหมด ทำให้ตัวชิปได้ใช้พลังงานต่อประสิทธิภาพได้ดีมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว แน่นอนด้วยสิ่งเหล่านี้มันจึงเป็นกุญแจสำคัญเลยว่าทำไม RTX 4000 ถึงได้แรงกว่า RTX 3000 โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเอาตัว RTX 4090 มาวัดกันเลยด้วยซ้ำ และยังมีข่าวลืออีกว่า RTX 4070 Ti นั้น อาจจะแรงพอ ๆ กับ RTX 3090 Ti เลยก็เป็นได้


Nvidia GeForce RTX 4080

มาถึงพระเอกของเราในวันนี้กันก่อนเลยครับ กับ ASUS TUF Gaming GeForce RTX 4080 ที่เราได้รับการสนับสนุนมาจากทาง Asus โดยตรง สำหรับใช้ในการทดสอบในครั้งนี้ ต้องยอบรับก่อนเลยนะครับว่า ผมไม่เคยเห็นกล่องการ์ดจอที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน และเมื่อแกะตัวการ์ดออกมาแล้ว ผมก็ต้องตกใจกับขนาดของมัน

ด้านหน้าตัวการ์ด
ด้านหลังตัวการ์ด

ตัวการ์ดมันใหญ่กว่าแขนผมอีก และยิ่งไปกว่านั้น มันใหญ่พอ ๆ กับตัวเครื่อง PlayStation 5 กันเลยทีเดียว คือใหญ่มาก ๆ จนเกิดคำถามในใจว่า “แล้วตรูจะใส่ไปในเคสได้ไหมนะ”

นอกจากนี้ก็จะมีอุปกรณ์มาตรฐานแถมมาให้ในกล่อง อะแดปเตอร์สายไฟ 12VHPWR เจ้าปัญหา ที่ช่วงนี้มีข่าวว่ามันร้อนจนละลายในรุ่น RTX 4090 พร้อม “ที่ดันการ์ดจอ” โดยแปลงเป็นไขควงได้ด้วย !!

ประกอบเสร็จพร้อมใช้งาน

ขอกลับมาพูดถึงเรื่องขนาดของตัวการ์ดจออีกนิด อย่างที่เห็นกันว่าเคสที่ผมใช้งานนั้นเป็นเคสแบบ E-ATX ที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ และได้ติดชุดน้ำปิดที่มีพัดลม 3 ตอน เข้ากับด้านข้างของเคสโดยถ้าเราดูรูปให้ดี ๆ ก็จะพบว่า ผมจะไม่สามารถเสียบการ์ดจอเข้ากับบอร์ดโดยตรงได้ เพราะตัวพัดลมของการ์ดจอ มันจะติดกับชุดน้ำปิดของผมครับ

โชคยังดีทื่ผมใช้ Riser Card และวางการ์ดจอแนวตั้งอยู่แล้ว แต่ถ้าหากเราลองเอาไปใส่กับเคส ATX หรือ E-ATX ธรรมดาดู บอกเลยว่างานนี้ใครที่มีชุดน้ำใหญ่ ๆ แบบผม ต้องระวังให้ดี และเคลียร์พื้นที่ให้ว่าง ๆ เอาไว้ก่อนจะดีที่สุด


เริ่มการทดสอบ

สเปกที่ใช้ในการทดสอบ เพื่อความแรงที่สมบูรณ์แบบ งานนี้เราจึงต้องจัดเต็มกับสเปกแบบขีดสุด

  • CPU: Intel Core I9-13900K
  • MB: ASUS ROG Strix Z790
  • RAM: Kingston FURY Renegade DDR5 RGB 64GB (16GB*4)
  • GPU: ASUS TUF Gaming GeForce RTX 4080
  • PSU: Corsair RM1000x

Game Benchmark Max Setting (RT + DLSS,FSR Off)

Game Benchmark Max Setting (RT + DLSS,FSR On)

ผลการทดสอบด้วยเวลาที่ค่อนข้างจำกัดในการรีวิว ผมจึงเลือกเกมตลาดที่อยู่ในรายชื่อสุดฮิตมากกว่าตามใจตัวเอง โดยผลที่ออกมาก็ชัดเจนเลยครับว่า RTX 4080 นั้นแรงกว่า RTX 3090 Ti แบบเห็น ๆ และเอาชนะเรือธงฝั่งแดงอย่าง RX 6950 XT ไปได้อย่างสบาย จนกว่าจะมี RDNA 3 ออกวางตลาดกันภายในเดือนหน้า ดูเหมือนว่างานนี้ Nvidia จะครองตลาดไปอีกยาวนาน


Nvidia GeForce RTX 4080 นั้นมีราคาตั้งต้นอยู่ที่ 54,050 บาท และสำหรับ ASUS TUF Gaming GeForce RTX 4080 จากทาง Asus นั้นนอกจากว่าจะเป็นตัวที่ OC มาบ้างแล้ว ก็ยังมาพร้อมกับชุดระบายความร้อนสุดเท่ พร้อมกับบัตร Exclusive Member ที่เอาไว้โชว์ให้คนอื่นได้เห็นว่า “ข้านี่แหล่ะ เจ้าของ RTX 4080”

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเรามาดูราคาที่วางจำหน่าย ผมกลับมองว่ามันสูงเกินไปสักหน่อย กับการ์ดราคาเริ่มต้นที่ 54,050 บาท ถึงแม้ว่าประสิทธิภาพของมันจะสูงแค่ไหน แต่ผมกลับมองว่ามันไม่ควรเกิน 50,000 บาทสักเท่าไร

แต่สุดท้ายแล้วก็ปฏิเสธไม่ได้นะครับว่า RTX 4080 มันแรงจริง ๆ ถ้าหากใครที่กำลังมองหาการ์ดจอใหม่มาใช้แทนตัวเก่า หรือประกอบเครื่องใหม่เลยก็ตาม ASUS TUF Gaming GeForce RTX 4080 คือตัวเลือกที่ดีมาก ๆ อย่างไม่ต้องสงสัยเลยล่ะ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส