รีวิวเกม Dragon Quest X Offline การกลับมาของ ตำนานแบบไม่ต้องออนไลน์
Our score
8.5

Dragon Quest X Offline

จุดเด่น

  1. เกมเพลย์แบบเดิมที่เราคุ้นเคย
  2. เพลงประกอบดีงาม มีเสียงพากย์

จุดสังเกต

  1. กราฟิกดูเชยมาก
  2. ดันเจี้ยนไม่ยาวและไม่ซับซ้อนเท่าภาคอื่น

สำหรับชาวไทยที่เป็นแฟนซีรีส์ RPG ในตำนานอย่าง Dragon Quest แล้ว เชื่อว่าหลายคนคงจะไม่ได้เล่นภาค X หรือภาคที่ 10 ของซีรีส์ เพราะเนื่องจากในตอนแรกที่เปิดตัวมันเป็นเกมออนไลน์แบบ MMO RPG ที่นอกจะเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมดแล้ว ยังจำกัดเฉพาะผู้เล่นที่ต้องอาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่นด้วย

ทำให้การเล่น Dragon Quest X ต้นฉบับสำหรับคนไทยเป็นเรื่องยากมาก เพราะต้องมุดเข้าไปเล่นแถมยังออกเฉพาะบน Wii ที่ไม่ได้มีระบบออนไลน์ที่ดีนักทำให้ยิ่งลำบาก แม้ว่าหลังจากนั้นหลายปีจะมีการออกเวอร์ชันคอนโซลอื่นรวมทั้งออกบน PC ตามมาด้วย แต่กระแสก็แทบไม่มีแล้วทำให้การมาของ Dragon Quest X Offline ถือว่าสานฝันแฟนเกมชาวไทยให้เป็นจริงเสียที เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องระบบออนไลน์ที่ยุ่งยากแล้ว โดยเกมจะออกบน PS4, PS5, Nintendo Switch และ PC

เรื่องราวใน Dragon Quest X Offline จะเริ่มที่หมู่บ้าน Tenton ที่มีตัวเอกที่เป็นเผ่ามนุษย์อาศัยอยู่ และใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับน้องสาว แต่แล้วปีศาจร้ายได้ออกมาทำลายล้างทุกสิ่งรวมทั้งชีวิตของตัวเอกด้วย หลังจากนั้นเราจะถูกส่งไปดินแดนแห่งเทพที่จิตวิญญาณของเราจะได้เลือกร่างอวตารใหม่ที่แบ่งตามเผ่าที่มีทั้ง Ogres ผู้ทรงพลัง, Wetlings ที่มีต้นกำเนิดจากเงือก, Elves เผ่าที่ถนัดใช้พลังจากธรรมชาติ, Dwarf ผู้เก่งด้านเทคโนโลยี และ Poppet ที่ถนัดใช้พลังเวทมนตร์ และยังเลือกอาชีพได้เช่นนักรบหรือจอมเวทย์ แล้วหลังจากนั้นจะถูกส่งในอดีตไปตามเผ่าที่เลือกทำให้มีเนื้อเรื่องที่แตกต่างกัน เพื่อหยุดยั้งไม่ให้ปีศาจร้ายทำลายโลก

กราฟิกดูเชยไปหน่อย

สิ่งที่ทั้งมาแปลกและน่าผิดหวังผสมกันไปคืองานสร้างภาพในเกม เพราะแทนที่จะยกเอาต้นฉบับบน Wii หรือบน PS4 ที่เป็น 3 มิติเต็มรูปมาสร้างใหม่ แต่ผู้สร้างเลือกจะสร้างกราฟิกใหม่หมดแต่กลับเอาแนวทางที่ดูด้อยลงกว่าต้นฉบับ เพราะตัวละครก็เปลี่ยนเป็น SD หัวโตตัวเล็ก แต่คัตซีนในเกมกลับเอาของเดิมมาที่ยังมีสัดส่วนตัวละครปรกติอยู่ทำให้ขัดกันแบบแปลก ๆ เหมือนไม่ค่อยลงทุนเท่าที่ควรเพราะน่าจะทำใหม่ทั้งหมด

และที่ดูน่าผิดหวังสุด ๆ คือฉากในเกมที่เหมือนเกมสมัย PS1 ที่มีพื้นผิวดูหยาบมาก และเหมือนกับ Dragon Quest 7 บน PS1 หรือภาค 9 บน NDS เลยด้วยซ้ำ ยังดีที่ฉากต่อสู้ยังดูพอใช้ได้เพราะตัวละครในฉากรวมทั้งศัตรูมีรายละเอียดที่ดีกว่าบนฉากแผนที่ แต่โดยรวมภาพในเกมยังอยู่ในระดับเดียวกับ PS2 ที่ปรับความละเอียดให้คมชัดมากขึ้นเท่านั้น

อย่างไรก็ตามที่ยังดีงามเหมือนเดิมคือเพลงประกอบที่ Dragon Quest X Offline ที่เอาของต้นฉบับที่เป็นผลงานการแต่งโดย โคอิจิ ซูงิยามะ (Koichi Sugiyama) ผู้ล่วงลับทำให้เหมือนเป็นผลงานท้าย ๆ ของเขา และยังทำได้ดีงามมาก ทุกเพลงมีมนต์เสน่ห์และความเป็นซีรีส์ Dragon Quest ครบถ้วน มีเพลงโดน ๆ ติดหูและความคลาสสิกแบบจัดเต็ม และข่าวดีคือมันมีเสียงพากย์ในส่วนของฉากสำคัญและคัตซีนด้วย

เกมเพลย์ RPG เทิร์นเบสกลับมาแล้ว

รูปแบบการเล่นมีการเปลี่ยนใหม่ให้เข้ากับรูปแบบที่ปรับมาเป็นเกม Offline แล้ว เพราะจุดสำคัญคือจากฉากต่อสู้ที่ต้นฉบับจะผสมความเป็นแอ็กชันเพราะจะบังคับตัวละครเดินในฉากต่อสู้ได้ และต้องร่วมทีมกับเพื่อนแบบออนไลน์ เปลี่ยนมาเป็น RPG เทิร์นเบสใส่คำสั่งแล้วผลัดกันโจมตีแบบเดิมแทน ที่แน่นอนว่าแฟนซีรีส์ Dragon Quest ต้องชอบมาก เพราะมันเหมือนเดิมหมดไม่ว่าจะเป็นคำสั่งหรือระบบเมนูที่ต้องใส่เพื่อให้โจมตีหรือใช้ท่าไม้ตายพิเศษและคาถาต่อสู้กับศัตรู

ระบบการเจอศัตรูในเกมจะเปลี่ยนจากเจอแบบสุ่มมาเป็นเห็นตัวศัตรูบนแผนที่เหมือนภาคออนไลน์ ทำให้เราสามารถเดินหลบหลีกได้หากไม่อยากต่อสู้ ความยากของเกมอยู่ในระดับกลาง ๆ สำหรับแฟนซีรีส์นี้มายาวนานมากคงจะผ่านไปได้ไม่ยาก แต่บอกไว้ก่อนว่าการเล่นต้องใช้การจดจำท่าไม้ตายและชื่อของคาถาพอสมควร เพราะการเลือกเอามาใช้ต่อสู้กับบอสสุดโหดต้องงัดทุกอย่างทั้งโจมตี, เติมพลัง รวมทั้งการเพิ่มค่าพลังป้องกันหรือโจมตีให้แรงขึ้น และมันเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมดบอกตรง ๆ ว่าหากไม่เคยเล่นมาก่อนอาจจะมีอาการมึนกันแน่นอน

โลกกว้างมีอะไรให้ทำเยอะมาก

ฉากในเกมแม้ว่าจะอ้างอิงมาจากภาคออนไลน์ แต่จะถูกสร้างใหม่ให้มีมุมกล้องที่จำกัดกว่าเดิม มีความคล้ายกับเกม 2 มิติ แต่ความจริงแล้วมันเป็น 3D ที่ฉากจะไม่ได้ดูกว้างนัก แต่ก็เป็นข้อดีที่จะไม่ต้องเดินทางยาวจนน่าเบื่อ และยังมีจุดวาร์ปอยู่หน้าหมู่บ้านหรือดันเจี้ยนบนแผนที่ ที่ผู้เล่นสามารถใช้คาถา ลูร่า เพื่อวาร์ปไปได้ทันทีแบบไม่เสีย MP และยังมีทางรถไฟที่เชื่อมต่อไปทั่วโลกด้วย ถือว่าช่วยให้การท่องไปในโลกกว้างสะดวกและถือว่าเกมเดินเรื่องได้เร็ว แถมยังมีการบอกว่าต้องไปทำภารกิจหลักที่ไหนตลอดทำให้ไม่มีการเล่นติดขัด

แต่ที่น่าผิดหวังเล็กน้อยคือฉากดันเจี้ยนขาดความซับซ้อนไปหน่อย เนื่องด้วยมุมกล้องที่โดนจำกัด และยังไม่ได้ยาวรวมทั้งไม่มีทางแยกให้สำรวจมากนักสำรวจไม่นานก็เจอบอสแล้ว ทำให้น่าผิดหวังไปบ้างอีกทั้งการเดินหลบศัตรูได้ทำให้มันยิ่งดูสั้น แต่หากมองว่ามันปรับให้เข้ากับเกมยุคใหม่ที่เน้นความรวดเร็วก็ถือว่ามองให้เป็นข้อดีก็ได้ แต่สำหรับแฟนพันธุ์แท้อาจจะไม่ชอบ

ระบบเดิม ๆ กลับมาด้วย

ส่วนระบบเสริมที่ใส่เข้ามาในภาค Offline ถือว่าเยอะพอตัวแม้ว่าส่วนมากอาจจะเคยมีมาให้เล่นแล้วในภาคก่อนหน้านี้ ที่ขนมาทั้งระบบการตีอาวุธที่ต้องหาวัตถุดิบมาตีและมีมินิเกมมาให้กดปุ่มตามจังหวะตอนสร้างอาวุธ และยังพร้อมกับหม้อผสมไอเทมให้ใช้งาน มีการสะสมเหรียญเล็กไปแลกของเทพ ๆ และแน่นอนมีคาสิโนไว้ให้หาเงินมาซื้อของกันด้วย แต่บางระบบมีมาให้ใช้ตั้งแต่ภาคออนไลน์แล้ว

ระบบอัปเกรดตัวละครนอกจากเลเวลแล้วยังมีการเก็บค่า SP ที่เพิ่มสกิลใหม่ที่เป็นการนำรูปแบบเดียวกับภาคเก่ามาใช้งานด้วยที่จะใช้ค่าพลังไปปลดล็อกและจะแบ่งประเภทตามอาวุธที่เราใช้งาน แต่ระบบเมนูโดยรวมค่อนข้างซับซ้อนและเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด แต่ยุคนี้ถือว่าพอจะมีตัวช่วยนอกจากรอบทสรุปแล้วยังสามารถใช้สมาร์ตโฟนมาถ่ายภาพบนหน้าจอแล้วใช้แอปช่วยแปลได้ แม้จะช่วยไม่ได้เต็มร้อยแต่ก็พอที่จะให้เข้าใจระบบเมนูได้บ้าง

การกลับมาอีกครั้งแบบไม่ต้องออนไลน์เล่นใน Dragon Quest X Offline ถือว่าตอบสนองความต้องการของแฟนซีรีส์ RPG ในตำนานได้ดี เพราะมันก็เหมือน Dragon Quest ภาคปรกติที่แฟน ๆ คุ้นเคยและอยากเล่น ใครเบื่อภาค 11 แล้วก็ไปหามาเล่นได้แต่ต้องทำใจเรื่องกราฟิกหน่อยเพราะมันดูย้อนยุคไปไกล แต่ใครไม่เคยเล่นซีรีส์นี้มาก่อนไม่แนะนำเพราะนอกจากมันจะเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมดแล้วทุกอย่างยังออกแบบมาไม่เป็นมิตรกับคนที่ไม่เคยเล่นมาก่อนด้วย

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส