รีวิวเกม NieR:Automata The End of YoRHa Edition การกลับมาของตำนานสาว 2B บน Switch
Our score
9.0

NieR:Automata The End of YoRHa Edition

จุดเด่น

  1. เกมเพลย์สนุกเหมือนเดิม
  2. กราฟิกทำได้ดีตามสเปกเครื่อง

จุดสังเกต

  1. ราคาแพงสำหรับเกมเก่ามาขายใหม่
  2. DLC ที่เพิ่มมาน้อยไปหน่อย

เมื่อ 5 ปีก่อนค่าย PlatinumGames ได้เปิดตัวเกมแนวแอ็กชัน RPG NieR:Automata บน PlayStation 4, Xbox One และ PC ที่เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่ใช่เพราะชุดตัวละคร แต่เป็นเกมเพลย์ที่สนุกมีการผสมผสานความเป็นแอ็กชันกับ RPG ได้ลงตัว และมีงานออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นเรื่องราวที่น่าติดตามไม่แปลกที่มันจะหลายเป็นซีรีส์เกมที่แฟน ๆ ยังคงพูดถึงแม้จะออกมาหลายปีแล้ว

ล่าสุดหลังจากปล่อยให้รอกันหลายปีค่าย PlatinumGames และ Square Enix ได้นำตำนานสาว 2B กลับมาอีกครั้งบน Nintendo Switch ในชื่อ NieR:Automata The End of YoRHa Edition แม้จะทิ้งช่วงมาหลายปีกว่าจะมาลงคอนโซลปู่นินแต่ชื่อว่าแฟน ๆ ก็ทำใจไว้แล้วเพราะหลายเกมบน Switch จะออกช้ากว่าชาวบ้านเป็นปีอยู่แล้ว

เรื่องราวในเกมก็ยังคงเหมือนต้นฉบับที่เกิดในโลกอนาคตที่ล่มสลาย หลังจากการถูกโจมตีจากเอเลี่ยนจักรกลที่ทำลายล้างทุกสิ่ง ทำให้มนุษย์ที่เหลือรอดต้องหลบหนีไปอยู่ที่ดวงจันทร์และสร้างโลกใหม่ที่นั้น และเพื่อทวงคืนโลก มนุษย์ได้เริ่มโครงการ YoRHa และสร้างหุ่นแอนดรอยด์ออกไปต่อสู้กับจักรกลต่างดาว โดยเราจะได้รับบทเป็นหุ่นสาว 2B (ที่เป็นตำนานเพราะชุดของเธอ)

กราฟิกทำออกมาได้ดีกว่าที่คาด

สิ่งที่แฟน ๆ สนใจกับการมาของสาว 2B บน Switch นอกจากชุดของเธอแล้วคือกราฟิก เพราะเป็นที่รู้กันว่าบนคอนโซลปู่นินไม่ได้แรงเท่า PS4 ซึ่งการย้ายบ้านครั้งนี้ถือว่าทำออกมาได้ดีงามพอตัว แม้ว่ามันต้องถูกลดระดับลงทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเฟรมเรตที่เหลือ 30 FPS แต่ก็นิ่งไม่มีตก ส่วนพื้นผิวก็ลดรายละเอียดลงจนบางฉากแทบไม่มี รวมทั้งต้นหญ้าในเกมที่หายไปเยอะเมื่อเทียบกับต้นฉบับ

แต่สิ่งเหล่านี้แฟน Nintendo ต้องเคยชินอยู่แล้วสำหรับเกมที่มาจากคอนโซลที่แรงกว่า ที่บอกตรง ๆ ว่าโดยรวมทำได้ดีมากยิ่งหากคุณไม่เคยเล่นต้นฉบับบน PS4 มาก่อนจะไม่รู้สึกว่ากราฟิกบน Switch ดูแย่อะไรเลย เป็นหนึ่งในผลงานชั้นดีที่ลงทุนพอสมควร ส่วนเพลงประกอบก็ไม่มีอะไรมากเพราะมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรยกของเดิมมาหมด ซึ่งของเดิมก็ทำได้ดีมากอยู่แล้วตามแนวทางเกมจากญี่ปุ่นที่มีเพลงติดหูและมีความเป็นเอกลักษณ์ รวมทั้งเสียงพากย์ก็มีคุณภาพสูงด้วย

เกมเพลย์ก็เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

หากคุณเคยเล่นมาแล้วก็ข้ามรีวิวส่วนนี้ไปได้เพราะมันก็คือเกมเดิม ซึ่งเป็นเกมฟอร์มดีเมื่อ 5 ปีก่อน รูปแบบการเล่นจะมาพร้อมกับความเป็นเอกลักษณ์ของค่าย PlatinumGames อยู่ครบทั้งแอ็กชันความเร็วสูงที่เน้นการต่อคอมโบที่ต้องใช้การจับจังหวะ มาพร้อมกับระบบอาวุธที่เรียบง่ายมีแต่อาวุธเบาที่เน้นการโจมตีต่อเนื่องรัว ๆ กับอาวุธหนักที่เอาไว้เผด็จศึก และยังมาพร้อมประเภทยิงไกลที่เป็นหุ่นโดรนขนาดเล็ก

ที่ทุกอย่างสามารถเรียกออกมาใช้งานได้ง่าย แม้ว่ามันอาจจะไม่แปลกใหม่แต่ก็มีมาตรฐานสูง ศัตรูในเกมแม้จะหน้าตาประหลาดแต่ก็จัดเต็มด้วยความโหดพอตัว แม้จะไม่ได้ยากเท่าซีรีส์ Dark Souls แต่หากมันโผล่มาหลายตัวก็ทำให้ผู้เล่นหัวร้อนได้พอตัว เพราะมันโจมตีแรงและต่อเนื่องทำให้เราต้องใช้ท่าพิเศษที่ช่วยหลบหลีกการโจมตีที่ต้องกดให้ถูกจังหวะ และสวนกลับด้วยคอมโบที่รุนแรงถึงจะผ่านไปได้

ฉากหลากหลาย บอสอลังการ

จุดเด่นของ NieR:Automata นอกจากเกมเพลย์ที่สนุกรวดเร็วแล้ว ยังมาพร้อมกับฉากที่มีหลากหลายรูปแบบทั้งแอ็กชันตะลุยด่านที่มีการปรับเปลี่ยนมุมกล้องให้ไม่ซ้ำกันในแต่ละฉาก เช่นมีการใส่มุมมองแบบ 2 มิติเข้ามาผสมผสานด้วย และยังมาพร้อมกับฉากยานยิงที่เราจะบังคับหุ่นยนต์ที่แปลงร่างเป็นยานเหาะได้ และจะนำเสนอด้วยมุมกล้องที่หลากหลายเช่นเดียวกัน ถือว่ามีอะไรให้เราประหลาดใจตลอดการเล่นและยังตัดฉากได้รวดเร็วด้วย

ส่วนบอสในเกมก็มีทั้งแบบตัวใหญ่ยักษ์ หรือตัวไม่ใหญ่แต่ทรงพลังรับมือยากแน่อนว่าความโหดก็มีพอตัว ผู้เล่นต้องงัดเอาความสามารถทุกอย่างมาต่อสู้ ยังดีที่มีโหมดง่ายมาให้เลือกและยังมาพร้อมกับระบบต่อสู้แบบอัตโนมัติให้มือใหม่ได้ใช้งานด้วย แต่แนะนำว่าอย่าใช้บ่อยเพราะเกมจะง่ายเกินไป และน่าเบื่อไปเลยเพราะเหมือนว่าเราดู AI เล่นแทนเราอยู่

อีกความโดดเด่นคือฉากกว้าง ๆ ที่รอให้เราไปสำรวจและยังมาพร้อมกับภารกิจหลักและเสริมมาให้ทำมากมาย แต่ไม่ต้องกลัวหลงทางเพราะมีการบอกว่าต้องไปทำอะไรบนแผนที่ทำให้ไม่ต้องเดาทาง แต่มันก็ไม่ได้กว้างระดับเป็น Open World แต่ก็ต้องเดินกันไกลพอมควรทำให้มีจุดวาร์ปอยู่ในฉากให้ใช้งานด้วย ส่วนระบบ RPG ก็เรียบง่ายมีระบบเลเวล และใส่อาวุธที่หามาหรือซื้อมาจากร้าน แน่นอนว่ามีระบบเงินที่เก็บได้จากการกำจัดศัตรูมาให้สะสมเพื่อซื้อไอเทมใหม่ด้วย

การกลับมาอีกครั้งใน NieR:Automata The End of YoRHa Edition แม้ว่ามันจะมาพร้อมกับส่วนเสริม DLC ที่เคยขายมาแล้วแบบครบ ๆ ก็จริง แต่ด้วยการที่เกมออกมาหลายปีแล้วทำให้ราคาขายบน Nintendo Switch ค่อนข้างสูงไปหน่อย ทำให้หากคุณเคยเล่นบนคอนโซลอื่นมาก่อนก็ไม่ต้องหามาเล่นก็ได้เพราะมันก็เหมือนเดิมแถมกราฟิกแย่กว่าด้วย แต่หากคุณไม่เคยเล่นมาก่อนแนะนำว่าไม่ควรพลาดเพราะแม้จะผ่านมาหลายปีมันก็ยังคงเป็นเกมที่ยังสนุกและไม่เชย

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส