[Review] For Honor อีกหนึ่งผลงานที่ “น่าผิดหวัง” จาก Ubisoft
Our score
6.3

For Honor

จุดเด่น

  1. Gameplay ที่สนุก เหมาะสำหรับการเล่นหลายคนเป็นอย่างมาก
  2. การออกแบบฉากที่ดี มีกราฟฟิคสวยงาม
  3. มีจุดมุ่งหมายในการเล่นต่อไป หรือมีความ Addict สูงนั้นเอง
  4. ตัวละครที่หลากหลาย เหมาะสำหรับผู้เล่นทุกแนว
  5. เล่นกับ Bot/AI ได้

จุดสังเกต

  1. ระบบ Microtransaction
  2. ระบบ Online Peer-to-Peer
  3. บังคับต่อ Internet ตลอดเวลา ถึงแม้จะเล่น Story Mode หรือ Bot/AI ก็ตาม
  • GAMEPLAY

    8.5

  • GRAPHICS

    9.0

  • STORY

    4.0

  • SOUND

    8.0

  • VALUE

    2.0

หากพูดถึงบริษัท Ubisoft ผมเชื่อว่าเกมเมอร์หลายๆคนคงจะนึกถึง Assassin’s Creed, Far Cry, Tom Clancy’s franchise หรือสิ่งที่เรียกว่า “Downgrade” และ uPlay อันโด่งดัง ในช่วงหลายปีที่ผ่าน Ubisoft ได้พยายามเข็นเกมในระดับ AAA ออกสู่ตลาดอยู่ตลอดเวลา บางเกมก็ดีมีคุณภาพ บางเกมก็โดนสับเละจากเหล่านักวิจารณ์ต่างๆทั่วโลก ผมเองก็เป็น 1 ในแฟนของบริษัท Ubisoft เนื่องจากว่าผมประทับใจในตัว Tom Clancy’s franchise และ Call of Juarez Series เป็นอย่างมาก

ถึงแม้ว่า Ubisoft จะลืมๆ เกมคาวบอยยุคตะวันตก หรือสายลับอเมริกันสุดโหดอย่าง Sam Fisher ไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงมีเกม IP (Intellectual property) ใหม่ๆออกสู่ตลาดตลอดเวลา และ For Honor เองก็เป็นอีกหนึ่งเกม IP ใหม่ล่าสุดจาก Ubisoft ที่ผมขอบอกได้เลยครับว่า “น่าผิดหวัง…. เล็กน้อย”

For Honor เป็นเกมแนว Action Fighting ผสมผสานความเป็น Tactical และ Hack and slash ได้อย่างลงตัว เปิดตัวครั้งแรกในปี 2015 กับงาน E3 ที่ผมเชื่อว่าใครก็ตามที่ได้ดูตัวอย่าง ณ เวลานั้นต้องมีความ Hype กันเป็นอย่างสูงแน่ๆ ตัวผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น และหลังจากได้ลอง Beta Test มาเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ก็บอกได้ว่าเหนือความคาดหมายจริงๆ เพราะด้วยการที่ตัวเกมนั้นถูกออกแบบมาสำหรับการเล่นแบบ Multiplayer โดยเฉพาะ ทำให้ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกับเพื่อนๆ หรือ เล่นคนเดียว ก็สนุกกับมันได้ตลอดทั้งวันแบบไม่เบื่อกันเลย ถึงแม้จะมีปัญหาเรื่องที่ตัวเกมใช้ระบบ Server แบบ P2P ตัวละครที่มีให้เลือกเล่นไม่มากนัก และ ฉากที่น้อยมากๆ ผมจึงคาดหวังไว้ว่าตัวเกมเต็มมันน่าจะ “เติมเต็ม” และ “แก้ไข” สิ่งที่ขาดหายไปได้ใน Beta Test …

แต่ไม่เลยครับ For Honor เป็นเกมที่ออกแบบมาได้แย่มากแทบจะในทุกส่วนของตัวเกม (ยกเว้นเรื่อง Gameplay) ไม่ว่าจะเป็นการที่ตัวเกมบีบบังคับให้ผู้เล่นต้องชื้อของเป็นเงินจริง ใช้คำว่าบีบบังคับเลย เพราะระบบ Progression ของตัวเกมที่ออกแบบมาได้ห่วยแตกมาก รวมไปถึง Server ภายในเกมที่ตัวเกมนั้นใช้ระบบ P2p (Peer-to-peer) ที่ห่วย และตกยุคไปแล้ว ยังไม่รวมปัญหาเรื่องเฟรมเรตในเกมที่ร่วงซะจนน่าเกลียด (ผมเล่นในเวอร์ชั่น PS4) อีกทั้งตัวเกมยังมี Content ที่น้อยมากไม่สมกับเป็นตัวเกมราคา 60 ดอลลาร์ด้วยซ้ำไปครับ


Let The “Honor” Begin


โหมดเนื้อเรื่องที่ “มีเหมือนไม่มี”

ก่อนที่จะผมจะพูดถึงในส่วนของตัวเกมหลักๆ ในหัวข้อนี่ผมขอเริ่มต้นด้วย Story Mode ก่อนนะครับ แน่นอนว่า Story Mode เองก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันในวงการเกมยุคนี้ เกมเมอร์หลายๆคนชื่นชอบที่จะเล่น Story Mode มากกว่า Mutiplayer นั้นมีเยอะมาก และใน Story Mode ของ For Honor นั้น ผมไม่มีคำพูดใดๆ มาอธิบายได้เป็นคำพูดได้ดีกว่านี้แล้วนอกจากคำว่า “มีเหมือนไม่มี” ในโหมดนี้ตัวเกมจะแบ่ง Part ออกเป็น 3 Chapter ประกอบไปด้วย Chapter เรื่องราวของ The Legion (Knights), The Warborn (Vikings),The Chosen (Samurai) ตามลำดับ โดยตัวเกมจะบังคับให้เราเริ่มเล่นตั้งแต่ Chapter ที่ 1 นั้นก็คือเนื้อเรื่องในส่วนของพวก Knight นั้นเอง แน่นอนครับว่าทั้ง 3 Chapter เนื้อเรื่องจะต่อกันตลอด โดยจุดพิเศษของโหมดนี้ก็คือ เราสามารถเล่น Coop กับเพื่อนในโหมด Story ได้อีกด้วย

“Apollyon สุดโฉด”

ตัวเกมจะเล่าไปถึงเหตุการ์ณเมื่อ 12 ปีที่แล้ว ก่อนที่สงคราม (ในโหมด Multiplayer) จะเริ่มต้นขึ้น เรื่องราวจะเริ่มต้นขึ้นจาก The Worlord “Apollyon” อัศวินหัวหน้ากลุ่ม Blackstone Legion ที่จุดชนวนสงครามระหว่าง 3 อาณาจักรด้วยเหตุผลบางอย่าง ผู้เล่นจะได้รับบทเป็นทหารนายนึง ในภาระกิจนั้นๆ ความยาวของเนื้อเรื่องนั้นมีประมาณ 5-6 ชั่วโมงในการเล่นแบบ Normal แน่นอครับว่าตัวเกมมีระดับความยากให้เลือก โดยยิ่งในระดับที่ยากขึ้น เราก็จะได้ของรางวัลจากการผ่านด่านเช่นสกิลใหม่ๆ ที่เอาไปใช้ได้แค่ในโหมดเนื้อเรื่องนี่เท่านั้น เอาไปใช้ในโหมด Multiplayer ก็ไม่ได้ ยกเว้นของรางวัลพิเศษที่จะเป็นชุดแต่งตัวหลังจากการจบ Chapter ของฝ่ายนั้นๆที่สามารถเอาใช้ในโหมด Multiplayer ได้ครับ

“3 อาณาจักรใหญ่”

Plot มันแลฟังดูดีใช่ไหมครับ แน่นอนเพราะตัวผมเองก็อยากจะรู้เช่นกันว่าทำไม 3 อาณาจักรนี้ถึงได้มาสู้กัน ตัวผมเองคาดหวังกับโหมดเนื้อเรื่องไว้สูงมากเลยล่ะ จนพอได้มาสัมผัสเอง ผมกลับรู้สึกว่ามันถูกออกแบบมาให้เล่นผ่านๆ ไปเท่านั้น อีกทั้งตัวเกมยังมี Story Telling ที่ช้าและน่าเบื่อมากๆ จนทำเอาผมอดทนเล่นให้จบๆ ไปไม่ได้ และยิ่งพอเล่นจบแล้ว ก็กลับรู้สึกเสียดายเวลาที่เล่นมันมาอีกด้วยซ้ำไปครับ ระดับความยาก ความท้าทายในเกมที่ไม่สูงอะไรมากใครๆก็สามารถเล่นได้ สิ่งเดียวที่ผมชอบในโหมดนี้ก็คือการออกแบบฉากที่ทำได้ดีจริงๆ สามารถบ่งบอกถึงความเป็นตัวเองของทั้งตัวเกม และทั้งอาณาจักรต่างๆได้ดีมากๆเลยล่ะ แต่มันก็ไม่มาลบข้อเสียในด้านอื่นๆที่แย่ไปซะหมดหรอกนะ


For “Dishonored”


จุดเด่นหลักๆ ที่ผมคิดว่าเป็นเพียงสิ่งเดียวของ For Honor นั้นก็คือระบบ Gameplay ในเกมนี่ล่ะครับ เพราะผมติดใจจนมีความคิดที่อยากจะชื้อตัวเกมพร้อม Season Pass หลังจากได้ลอง Beta Test ก็เพราะเจ้า Gameplay นี่ล่ะ สำหรับในเกมนี้การต่อสู้ระหว่างผู้เล่นกันเองนั้นจะไม่เหมือนกับเกม Action Fighting เกมอื่นๆ ทั่วไป ตัวเกมจะให้ความรู้สึกคล้ายๆกับ Dark Soul ที่มีการใช้ค่า Stamina เป็นค่าหลักในการกระทำทุกๆอย่างของผู้เล่น ผสมรวมกับ Street Fighter ที่จะต้องรู้จักการหาจังหวะเข้าโจมตี และ Block การโจมตีจากทิศทางต่างๆ นั้นเองครับ

“การดวลแบบ 1 ต่อ 1”

เมื่อผู้เล่นทั้ง 2 คนมาปะทะกัน ผู้เล่นมีทางเลือกที่จะเข้าสู่โหมด Duel โดยการกด Lock Target เป้าหมาย หรือจะไม่ Lock Target ก็ได้ตามใจชอบ แลกกับการที่การบังคับตัวละครจะเปลี่ยนไป รวมไปถึงไม่สามารถป้องกันการโจมตีได้อย่างอิสระ แต่จะทำให้เรามีอิสระในการบังคับตัวละครมากขึ้นครับ เมื่อเราทำการ Lock Target เป้าหมายแล้ว มุมกล้องจะซูมให้เราเห็นตัวละครของเราเอง และเป้าหมายอยู่เต็มหน้าจอตลอดเวลา ทุกครั้งๆที่เป้าหมายโจมตีเข้ามา เราจะสามารถ Block การโจมตีนั้นได้ทั้งหมด 3 ทิศทาง โดยการขยับอนาล็อกขวา (บน,ซ้าย,ขวา) ไม่สามารถ Block จากข้างหลังได้ แน่นอนว่าการโจมตีก็สามารถทำได้จาก 3 ทิศทางเช่นกัน ยกเว้นว่าระหว่างการดวลกันนั้นจะมีใครที่ไหนไม่รู้วิ่งมาฟันเราจากข้างหลัง แบบนั้นก็รับสภาพไปนะครับ

“ลูกสมุนพวกนี้ก็เป็นปัญหานะ”

ในการ Dual กันนั้นนอกจากว่าผู้เล่นทั้งสองฝ่ายจะต้องต่างคนต่าง Block การโจมตี หรือหาจังหวะเข้าไปโจมตีด้วยแล้ว ก็ยังมีการใช้ “ท่าทาง” หรือ Move Set ต่างๆ เพื่อช่วยให้เราชนะอีกด้วย ในเกมนี้เราจะสามารถเลือกตัวละครมาได้เล่นทั้งหมด 12 ตัว โดยแบ่งเป็นฝ่ายละ 4 ตัว โดยในตัวละครแต่ละตัวก็จะมีจุดเด่น จุดด้อยที่แตกต่างกันออกไป รวมไปถึง Skill และ Move Set นั้นเองครับ น่าประทับใจที่การออกแบบตัวละครในเกมนี้สามารถทำมาได้อย่างสมดุลดีมากๆ อีกทั้งยังเหมาะสำหรับผู้ที่ชอบเล่นแนวทางเฉพาะอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่นผมที่ชอบเล่นตัวละครสายทำ Damage อย่างรุนแรง และรวดเร็ว แลกมากับพลังป้องกันและพลังชีวิตที่น้อยนิด แต่เพื่อนๆ ผมนั้นจะชอบเล่นตัวละครที่เคลื่อนไหวได้ไม่เร็วมาก Damage ก็ไม่รุนแรง แต่ก็มีเกราะที่สามารถ Block การโจมตีจากทุกทิศทางได้ งานนี้ใครชอบเล่นสายไหน ก็เลือกกันได้ตามใจชอบเลยครับ

“บอกเลยว่ารอดยาก”

จนเมื่อผมเล่นมาได้สักพัก ก็พบเจอกับปัญหาเข้าจนได้ครับ ถึงแม้มันจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ก็ตามเถอะ โดยตามพื้นฐานแล้ว เกมนี้ถูกออกแบบมาสำหรับการดวลกันแบบ 1 ต่อ 1 อยู่แล้ว และแน่นอนว่าในเกม Multiplayer แบบนี้ ผู้เล่นทุกคนย่อมทำทุกอย่างเพื่อให้ชนะอยู่แล้วครับ มันจึงเกิดสิ่งที่เรียกว่า “การรุม” ในเกมที่ขึ้นชื่อว่า “Honor” แบบนี้นั้นล่ะครับ ผมประสบปัญหานี้บ่อยมาก ขณะที่กำลังดวลอยู่ จนใกล้จะชนะแล้ว ก็มีไอ่บ้าที่ไหนไม่รู้ วิ่งมาพร้อมกับเอาขวานสับหัวผมซะจนเหวอ ถึงแม้จะไปว่าคนอื่น แต่ตัวผมเองก็ใช่ย่อย เพราะเจอใครที่เสียเปรียบอยู่ขณะดวล ก็วิ่งไปแจมด้วยตลอด และดูเหมือนว่าทาง Ubisoft ก็น่าจะรู้ถึงพฤติกรรมการเล่นเกมของพวกเราเป็นอย่างดี ตัวเกมก็เลยใส่ระบบที่เรียกว่า Revenge Mode หรือเข้าใจง่ายๆว่า โหมดระเบิดพลังนั้นแล่ะ

“เกิดมันใช้ระเบิดพลังมาละก็ ตายคู่แน่ๆ”

โดยเจ้าโหมดนี้จะช่วยให้เราพลิกสถานการณ์ จากการโดนรุมฆ่า เป็นฆาตกรรมหมู่แทน เมื่อผู้เล่นโดนโจมตีจากหลายทิศทาง หรือโดนเป้าหมายรุม เกจ Revange ก็จะสะสมขึ้นเรื่อยๆจนเต็ม เมื่อผู้เล่นเปิดใช้โหมด Revange นี่แล้ว มันจะทำให้ตัวละครของผู้เล่นมีพลังชีวิตที่เพิ่มขึ้น มาพร้อมกับพลังโจมตี และพลังป้องกันที่สูงขึ้นจนสามารถจัดการศัตรูที่มารุมเราได้หมดในคราวเดียวเลยล่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับฝีมือของตัวผู้เล่นเอง และสถานการณ์หลายๆอย่าง ณ เวลานั้นครับ อย่างไรก็ตาม ตัวผมเองก็ยังคงคิดว่า ไอ่การรุมกันแบบนี้ มัน Dishonored จริงๆ ถึงขั้นที่ระบบ Trophy หรือ Achievement ในเกมยังมีการนับจำนวนครั้งที่ฆ่าเป้าหมายในแบบ “Honor” ได้สำเร็จอีกด้วยล่ะ (ฮ่ะๆ)

“Super Smash Honor !!”

นอกจากนั้นแล้วอีกสิ่งนึงที่เป็นเหมือนหัวใจหลักของโหมด Multiplayer เลยก็คือโหมดการเล่นครับ โดยในเกมนี้จะมีโหมดมาให้เราเลือกเล่น 5 โหมดด้วยกัน ประกอบไปด้วย

  • Dominion: เป็นโหมดปะทะกัน 4 ต่อ 4 โดยที่ผู้เล่นแต่ละทีมจะต้องไปทำการยึดพื้นที่ตามจุดต่างๆในแผนที่ โดยทีมที่ยึดได้ก็จะได้แต้มเรื่อยๆไปตลอด จนกว่าจะมีอีกทีมมายึดแทนได้ โดยถ้าหากทีมไหนทำแต้มได้ถึง 1000 แต้มก่อน ทีมนั้นๆ จะต้องทำการฆ่าผู้เล่นฝั่งตรงข้ามให้หมดพร้อมกัน 4 คนถึงจะเป็นผู้ชนะครับ โหมดนี้ส่วนตัวแล้วผมชอบมาก มันให้ความรู้สึกคล้ายๆ Battlefield ผสมกับ Dota เลยล่ะ
  • Duel: โหมดปะทะกัน 1 ต่อ 1 ความหมายก็ตายตัวเลยครับ จะเป็นการ Duel กันระหว่างผู้เล่นสองคน หากผู้เล่นคนไหนชนะการดวล ก็จะได้แต้ม หากถึงแต้มที่กำหนดก่อนก็จะเป็นฝ่ายชนะ Match นั้นๆไป ยกตัวอย่างชนะด้วย 3 ใน 5 แต้ม
  • Brawl: พื้นฐานแล้ว โหมดนี้ก็เหมือนกับโหมด Duel ทุกประการครับ แต่จะต่างกันที่จะเป็นการดวลกันแบบ 2 ต่อ 2 นั้นเอง
  • Skirmish: เป็นโหมดย่อยครับ โดยโหมดนี้จะคล้ายๆ กับ Dominion แต่จะตัดการยึดจุดต่างๆในแผนที่ออกไป แต่ตัวเกมจะคิดแต้มจากการฆ่าศัตรูนั้นเองครับ โดยทีมใดที่ทำแต้มได้ถึงที่กำหนดไว้ ทีมนั้นๆ ก็ต้องทำการฆ่าศัตรูทั้งหมดพร้อมกัน 4 คนเพื่อที่จะเป็นฝ่ายชนะครับ
  • Elimination: เป็นโหมดย่อยอีกเช่นกัน โดยโหมดนี้จะคล้ายๆกับ โหมด Duel และ Brawl ครับ แต่ครั้งนี้จะเป็นการดวลพร้อมกัน 4 คน เลยทีเดียว

ทีนี้เรามาพูดถึงระบบ The Faction War กันบ้างครับ โดยเจ้าระบบนี้เปรียบเสมือนเป็นการวัดแต้มเอาจากฝ่ายต่างๆ ภายในเกม ที่ถ้าฝ่ายใดฝ่ายนึงมีแต้มที่สูงที่สุด ก็จะชนะใน Season นั้นๆไป อย่างที่ทราบกันว่าในเกม For Honor นั้นตัวเกมจะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นเลือกเข้าร่วมฝ่ายใดฝ่ายนึงใน 3 ฝ่าย โดยการเลือกฝ่ายนั้นไม่มีผลต่อการเลือกตัวละครเล่นอย่างใดครับ

“ผมอยู่ฝ่ายซามูไร ดันมันเข้าไป !!”

ในทุกๆ ครั้งหลังจบ Match ผู้เล่นจะสามารถ Deploy War Assets ไปอย่างพื้นที่ส่วนต่างๆ ภายในเกมได้ โดยการ Deploy War Assets นั้นก็คือการส่งกำลังเสริมไปช่วยสนามรบต่างๆภายในแผนที่นั้นเอง ถ้าหากฝ่ายใดมีจำนวนคนที่เยอะกว่า ฝ่ายนั้นก็จะเป็นฝ่ายยึดพื้นที่นั้นได้แทน หรือเราจะส่งกำลังเสริมป้องกันไปช่วยพื้นที่ ที่กำลังโดนโจมตีอยู่ได้ ในส่วนนี้จะคล้ายๆกับ Board Game ครับ โดยกำลังที่เราส่งไปนั้นจะมีมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับ Match นั้นๆที่เราเล่นจบครับว่า ทำคะแนนได้ดีแค่ไหน และอย่างที่บอกครับว่าเราสามารถ Deploy War Assets ได้หลังจบ Match เท่านั้น แน่นอนครับว่าตัวเกมจะมีการจัดลำดับ โดยนับเอาจากฝ่ายที่ยึดพื้นที่ได้มากที่สุดเป็นฝ่ายชนะ Season นั้นๆไป โดยตัวเกมจะมีระยะเวลาบ่งบอกที่ชัดเจนแน่นอนครับเหลือเวลาอีกกี่วัน ของรางวัลก็คงหนีไม่พ้นเรื่องชุดอุปกรณ์ต่างๆนั้นเอง


For “Peer-to-Peer”


ข้อตั้งเป็นหัวข้อหลักๆ เลยนะครับ กับระบบ Peer-to-Peer หรือย่อสั้นๆว่า p2p ในเกม For Honor นั้น ทาง Ubisoft ได้ตัดสินใจนำเอาระบบ p2p มาใช้ด้วยเหตุผลที่ผมคิดได้เพียงอย่างเดียวก็คือการ “ลดต้นทุน” และนั้นนำมาซึ่ง ความพินาศ ที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดใดๆได้ นอกจากความรู้สึกที่แย่เสียจนอยากจะลบเกมทิ้ง หรือไปเล่นเกมอื่นจริงๆครับ ก่อนอื่นผมจะอธิบายเพิ่มเติมนิดนึงว่าไอ่ระบบ p2p นี่มันคืออะไร และมันแตกต่างจากระบบ Dedicated server ที่นิยมใช้กันอยู่ยังไง

“……………”

พูดให้เข้าใจในภาษาเกมเมอร์แล้ว ระบบ P2P นั้นเป็นระบบที่ตัวเกมจะทำการ Matchmaking โดยมันจะทำการจับคู่ผู้เล่นที่ Matchmaking อยู่ด้วยกันอยู่ในระยะทางใกล้ๆกัน และเมื่อได้ผู้เล่นที่เพียงพอแล้ว ตัวเกมก็จะสร้าง Session ขึ้นมา และจับเอาคนที่อยู่กึ่งกลางทั้งหมดทุกคนในห้อง เป็น Host ครับ โดยระบบนี้มีข้อดีคือ ไม่ว่าเกมจะผ่านไปนานอีกร้อยวันพันปีแค่ไหน Server Multiplayer ก็จะไม่มีวันตาย (ก็มันไม่มี Server) และก็ยังคงมีเพื่อนเล่นด้วยกันอยู่ตลอด หากในช่วงนั้นยังพอมีคนหลงเหลือละก็นะ ส่วนข้อเสียก็คือ มันจะทำให้เกมในขณะนั้น ไม่มีความเสถียรภาพเลยครับ ลองคิดดูว่า หากเราดวงซวยไปเจอ Host ที่เน็ตไม่ดี หรือกำลังโหลดบิท แบบนี้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาเลยก็คือแลคจนเล่นไม่ได้กันทั้งห้อง หรือเล่นว่าอยู่ดีๆ Host คนนั้นเกิดออกมากลางเกม ก็อาจจะพบเจอกับปัญหาที่ตัวเกมจะ Sync ไม่ทัน หรือมีอาการค้างระหว่างเล่น ดีไม่ดีก็อาจจะเด้งออกจากเกมเลยก็เป็นได้ ยังไม่นับรวมกับระบบ Nat Type เจ้าปัญหาที่ทำให้คนเล่นเกมนี้ไม่ได้เลยก็มี ระบบนี้เราจะเห็นบ่อยๆในเกมอย่าง Call of Duty ครับ แน่นอนว่าตัวผมเองก็ไม่ Happy สุดๆเลยล่ะ

“กำลังดวลกันอยู่ เจอแบบนี้เข้าไป มีร้องกันบ้างล่ะ”

ส่วนระบบ Dedicated server นั้นก็จะทำงานคล้ายๆกับ p2p แต่มันจะแตกต่างกันตรงที่ว่า เมื่อทำการ Matchmaking จนได้ผู้เล่นที่ครบแล้ว ตัวเกมก็จะส่งผู้เล่นทั้งหมด ไปยัดใส่ไว้ใน Server ที่มีเอาไว้รองรับให้อยู่แล้ว ระบบนี้จะเห็นได้ใน Dota 2,CSGO หรือแม้แต่เกมของ Ubisoft เองอย่าง Rainbow Six Siege ก็ยังใช้ระบบนี้ ผมก็ไม่เข้าใจว่าแล้วทำไม For Honor ถึงต้องมาใช้ไอ่ระบบ P2p ตกยุคแบบนี้กันด้วยนะ อย่างไรก็ตามระบบ Dedicated server นั้นก็มีข้อเสียอยู่ ยกตัวอย่างเช่นวันดีคืนดี Server เกิดล่มขึ้นมา ก็ทำเอาเล่นไม่ได้ หรือถ้าวันนั้นทางค่ายเกม Shutdown Server ขึ้นมาล่ะก็ มีร้องไห้เสียใจกันแน่ๆ

“หยุดทีเถอะ !!”

เอาล่ะ กลับมาต่อกันที่ For Honor ครับ อย่างที่ผมบอกไปแล้วว่าเกมนี้ใช้ระบบ p2p แน่นอนครับว่ามันจะตามมาด้วยปัญหา ตลอดการเล่นของผมในทุกวัน ทุกเวลา ผมจะต้องเจอกับปัญหามากกว่า 1 ครั้งตลอด และปัญหาหนักที่สุดเลยก็คือ เมื่อเกมเริ่ม แต่ยังไม่ทันได้เล่น มี Host ออกจากเกมกลางคัน ทำให้ตัวเกมค้างไปเลย ไม่สามารถทำอะไรได้ จนผมจะต้องกดปิด Close Application และเข้าเกมใหม่เท่านั้น ยังไม่รวมปัญหาจุกจิกอย่างอื่น ที่ผมไม่สามารถ Online กับเพื่อนที่ Nat Type เป็นสีแดง ไหนจะเรื่องที่ตัวเกมนั้นมีอาการค้าง และ Sync Match ใหม่ตลอดเมื่อ Host ออกจากเกม มันทำเอาอารมณ์เสียสุดๆไปเลยล่ะ


For “Microtransaction”


เอาล่ะครับ ในที่สุดเราก็มาถึงจุดที่แย่ที่สุดของเกมนี้กันเสียที ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าไอ่ระบบ Microtransaction หรือพูดง่ายๆ ว่า ระบบการใช้จ่ายเงินในเกมโดยใช้เงินจริง เป็นสิ่งที่ฮิตมากๆ ในวงการเกมยุคนี้ เห็นได้จากหลายๆเกมที่ใช้โมเดลการตลาดแบบนี้ แล้วประสบความสำเร็จทั้งผู้เล่น และทางค่ายเอง ยกตัวอย่างเช่น Dota 2, CSGO, H1Z1, Path of Exile เกมเหล่านี่ล้วนแต่เป็นเกมที่ประสบความสำเร็จในด้าน Microtransaction กันทั้งนั้น แต่ไม่ใช่กับ For Honor ครับ

“ระบบ Progression เจ้าปัญหา”

ก่อนอื่นอย่างที่ทุกคนทราบกันว่า For Honor นั้นเป็นเกมที่จะต้องชื้อมาเล่นในราคา 60 ดอลลาร์ จนทำให้ทุกคนคงเกิดความสงสัยขึ้นว่า เราจ่ายไป 60 ดอลแล้ว ต้องจ่ายอะไรในเกมเพิ่มอีกหรอ จริงๆ แล้วผู้เล่นไม่จำเป็นต้องจ่ายเพิ่มก็ได้นะครับ แต่หลายๆ อย่างในเกมมันบีบบังคับมากเสียจนน่าหงุดหงิดจริงๆ

เริ่มต้นจากการที่ตัวเกมนั้นมีตัวละครให้เลือกเล่นถึง 12 ตัว แต่ผู้เล่นไม่จะสามารถเล่นตัวละครนั้นๆได้ “เต็ม” ความสามารถทุกตัวตั้งแต่เริ่มต้น ผู้เล่นจะต้องทำการเล่นตัวละครนั้นไปเรื่อยๆ เพื่อเก็บเลเวลไปจนปลดล็อคท่าทางและสกิลใหม่ๆ รวมไปถึงชุดและอุปกรณ์ใหม่ๆ ในเกมที่มีใช้เลือกใช้กัน โดยเจ้าเกมนี้นอกจากเลเวลของตัวละครแล้ว ก็ยังมีเลเวลของอุปกรณ์ที่สวมใส่อีกด้วย แน่นอนครับว่าหากผู้เล่นเลือกไปใช้ตัวละครอื่น ทั้งเลเวลและอุปกรณ์ของตัวเก่า ก็ไม่ตามมาด้วยนะครับ ต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ 1 กันเลยล่ะ

“ระบบ Champion Status ทำให้การเก็บเลเวล กับแต้มง่ายขึ้น เรียกง่ายๆ VIP”

ปัญหาแรกเลยก็คือ ตัวเกมเปิดมาผู้เล่นจะสามารถเลือกเล่นตัวละครได้แค่ 3 ตัวเท่านั้น โดยจะปลดล็อคตัวละครตัวอื่นๆได้ โดยใช้แต้มเหรียญที่เก็บได้จากการจบ Match ในเกมแลก โดยจะได้ประมาณ 50-60 แต้ม การปลดล็อคตัวละครแต่ละตัวนั้น จะใช้แต้มทั้งหมด 500 แต้มครับ เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อเราปลดล็อคมาแล้ว ตัวเกมก็ยังมีระบบ Scavenger Crates หรือเข้าใจกันง่ายๆว่าการเปิดกล่อง โดยจะมีทั้ง Basic Pack ราคา 300 แต้ม Armor Pack และ Weapon Pack ราคา 400 แต้ม Premium Pack ในราคา 500 แต้ม โดยในแต่ละ Pack ก็จะเป็นการสุ่มเปิดลุ้นรับ Item ต่างๆที่เอามาใช้ได้ในตัวละครนั้นๆที่เราเลือกใช้อยู่นะครับ ย้ำอีกครั้งว่า ตัวละครที่เราเลือกใช้อยู่ และยังมีการ Upgrade อุปกรณ์ที่ต้องใช้แต้มเหรียญจำนวนมากเป็นตัวแปรอีก อีกทั้งยังมีพวกชุด Costume ใหม่ๆ ที่มีราคาสูงถึงหลักพันกันเลยทีเดียว ก็ลองคิดดูนะครับว่า 50-60 แต้มต่อเกม มันจะเพียงพอกันไหม

“Happy กันถ้วนหน้า”

ปัญหาที่สองเลยก็คือ อย่างที่ผมกล่าวไว้ตอนแรกว่า ตัวเกมมีระบบ Progression ที่แย่มากๆ ตรงจุดนี้ผมจะมาพูดถึงระบบนั้นกันครับ อย่างที่ทราบกันว่าเราจะสามารถเก็บเลเวลตัวละครได้ตามตัวที่เล่นเท่านั้น หากเราย้ายไปเล่นตัวอื่น ก็ต้องมาเก็บเลเวลกันใหม่หมด ตรงนี้จะทำให้เกิดการ grind และเบื่อขึ้นมาได้ครับ ลองคิดดูนะทั้งๆที่ตัวเกมมีตัวละครให้เลือกเล่นถึง 12 ตัว แต่เราจำเป็นต้องเลือกตัวใดตัวนึงเล่น เพื่อเลเวลที่สูงขึ้น และปลดล็อคสกิลใหม่ๆ หากย้ายไปเล่นตัวอื่นก็ต้องเสียแต้ม 500 เพื่อปลดล็อค แถมต้องมาเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ 0 อีกด้วย

แน่นอนครับว่าปัญหาเหล่านี้จะหมดไป เมื่อเราจ่ายเงินให้กับ Ubisoft ครับ 30 ดอลเพื่อปลดล็อค Skill Progression ของตัวละครตัวและสกิลทั้งหมด และ 5 ดอล เพื่อแต้มเหรียญ 5,000 แต้มกับเกมเต็มราคา 60 ดอลลาร์ ผมจะไม่บ่นเรื่องนี้เลย หากเกมนี้มันเป็น Free 2 Play ล่ะก็นะ


For “Performance”


“งาม …”

ในด้านของกราฟฟิคถือว่าเป็นข้อดีอีกอย่างนึงของเกมที่ผมมองว่ามันทำมาได้ดีจริงๆครับ อีกทั้งไม่ว่าจะเป็นงาน Art งานออกแบบ หรืองานหลักภายในเกม ที่ทำมาได้ดีเสียเหลือเกิน ในส่วนนี้รวมไปถึง Animation ท่าทางของตัวละครที่ออกแบบมาได้สมจริง ดูมีน้ำหนัก และมี Impact มากๆในการเล่น แต่อย่างไรก็ตามผมก็ยังพบเจอกับปัญหาอยู่บ้างเล็กน้อย ตัวเกมที่ผมใช้เล่นนั้นเป็นเวอร์ชั่น Playstation 4 ซึ่งปัญหาที่ผมพบเจอก็คือปัญหาสุด Classic ก็ Console เลยก็คืออาการ เฟรมเร็ตตกที่สำหรับใน PS4 นั้นเรียกได้ว่า ตกแบบน่าเกลียดสุดๆมาก แต่ก็แลกมาพร้อมกับการที่ตัวเกม Run ภาพที่ Full HD 1080p และมี Multisample AA*2 แน่นอนครับว่าจำกัดไว้ที่ 30FPS ต่อวินาที แต่อย่างไรก็ตาม จากคำบอกเล่าของเพื่อนๆผมที่ได้เล่นในเวอร์ชั่น PC ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าตัวเกม Optimize มาค่อนข้างดี ไม่กินสเป็คมากจนเกินไป ทำเอาผมอิจฉาเลยล่ะ


สรุปแล้ว For Honor เองก็เป็นอีกหนึ่งเกมจาก Ubisoft ที่ผมคิดว่ามันทำมาได้ไม่ดีนักในเรื่องของการตลาด หรือการจัดการเสียเท่าไร แต่โดยรวมแล้วมันก็เป็นเกมที่มี Gameplay การเล่น Multiplayer ที่ดีมากๆเกมนึงเลยล่ะครับ หากนำเอามาเล่นกับเพื่อนๆแล้ว มันจะสนุกมากๆเลยล่ะ ถึงแม้ตัวเกมมันจะมี โหมดเนื้อเรื่องที่ไม่ดี ระบบ Online ที่ห่วย ระบบ Progression ที่แย่ หรือ Microtransaction เจ้าปัญหาก็ตามเถอะ

ส่วนใครที่กำลังคิดว่าจะชื้อมาเล่นดีไหม กับเกมราคา 60 ดอลลาร์ ที่เน้นระบบ Multiplayer กับ ระบบ Microtransaction

“ถ้าถามผมคงบอกได้คำเดียวครับว่า ไม่ 50% กับ 75% ก็แล้วกันนะสำหรับเกมนี้”