[รีวิว] Hitman 2: ซีรีส์ลอบเร้นที่เข้าถึงง่ายกว่าเก่าและสนุกไปกับการเล่นวกซ้ำภารกิจเดิม!
Our score
8.5

Hitman 2

จุดเด่น

  1. ออกแบบฉากได้ยอดเยี่ยม
  2. อิสระและทางเลือกในการเล่นได้หลากหลาย
  3. ความสามารถตัวละครของเราและระบบช่วยเหลือมีเยอะขึ้น แต่อุปสรรคในเกมก็มีมากขึ้นเช่นเดียวกัน
  4. หลากโหมดการเล่นเปลี่ยนอรรถรส

จุดสังเกต

  1. กราฟิกไม่ได้หนีเกมยุคเดียวกันสักเท่าไหร่
  2. แฟนรุ่นเก่าอาจรู้สึกว่าเกมไม่ท้าทายเท่าเดิม
  3. วิธีการบอกเล่าเนื้อเรื่องไม่ปะติดปะต่อ
  • กราฟิกและการนำเสนอ

    8.0

  • การควบคุม

    9.5

  • เนื้อเรื่อง

    7.5

  • ความแปลกใหม่

    8.5

  • ความคุ้มค่า

    9.0

ด้วยอายุอานามของซีรีส์กว่า 18 ปี (2000 – ปัจจุบัน) เราเชื่อว่าเกมเมอร์น้อยใหญ่คงจะเคยเล่นหรือรู้จัก Hitman ซีรีส์นักฆ่าหมายเลข 47 ที่เด่นชัดด้านเกมเพลย์ลอบเร้นโดยสมบูรณ์ และ Hitman 2 ภาคล่าสุดของการสานต่อเกมฉบับรีบูตเริ่มต้นใหม่ใน 2016 ที่ผ่านมานี้ ก็ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์เก่าอยู่เช่นเดิม แต่เพิ่มเติมคือความเข้าถึงและลูกล่อลูกชนที่ชวนให้ผู้เล่นขลุกอยู่กับด่านและเป้าหมายเดิมๆ ได้มากขึ้น แต่จะมีสิ่งใดที่ถูกพัฒนา เสมอตัว หรือถอยหลังไปบ้างนั้น เชิญหาคำตอบได้ในบทความรีวิวนี้ได้เลยครับ

**ขอบคุณ Softzilla Thailand ที่ให้แผ่นเกม Hitman 2 Gold Edition มารีวิวครับ**

ตามล่าหาความจริงพร้อมกุดหัวองค์กรร้ายระดับโลก (Story)

Hitman 2 จะเป็นการสานต่อเรื่องราวจากตัวเกมฉบับรีบูตภาคแรกในปี 2016 อย่าง Hitman โดยในภาคนี้ นักฆ่าหมายเลข 47 ก็ยังคงออกตามล่าหาตัวตนในอดีตอยู่ แต่เขาได้ค้นพบเบาะแสที่น่าเชื่อถือผ่านข้อมูลที่ได้รับจากภารกิจใน New Zealand ที่เชื่อมโยงไปถึง Shadow Client องค์กรปริศนาที่มีจุดประสงค์ต้องการสร้างความตื่นกลัวให้ประชาชนทั่วโลก หมายเลข 47 จึงออกตามล่าหาความจริงโดยไม่รีรอผ่านการช่วยเหลือที่มีเป้าหมายคลุมเครือจากทาง ICA องค์กรน่าฆ่าระดับโลกที่เขาสังกัดอยู่

ถ้าเราเอาเนื้อเรื่องทั้งหมดในเกมมามัดรวมและดูติดกันได้ในม้วนเดียว Hitman 2 ถือได้ว่ามีเส้นเรื่องทีคิดมาได้น่าสนใจพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทฎษฎีสมคมคิดที่ทำให้เรื่องราวมีความซับซ้อนและสมจริง หรือด้านปมปริศนาที่วางไว้จะค่อยๆ ทยอยถูกเปิดเผยขึ้นเรื่อยๆ เองก็น่าติดตามไม่แพ้กัน นอกจากนี้ปมในอดีตของนักฆ่าหมายเลข 47 เอง ก็ดูจับต้องได้มากขึ้นและมันทำให้เราอยากที่จะตามติดเรื่องราวในเกมเพื่อรับรู้ความเป็นไปของเขา

กระนั้น แม้เนื้อเรื่องจะน่าสนใจแค่ไหนก็ตาม แต่หากขาดวิธีการนำเสนอหรือบอกเล่าที่ไม่ปะติดปะต่อแล้วละก็ มันจะกลายเป็นการตกม้าตายแทน ซึ่ง Hitman 2 นำเสนอส่วนนี้ออกมาได้ไม่ดีนัก แต่เอาเข้าจริงๆ มันก็เป็นผลพวงมาจากเกมเพลย์นั่นแหละ และเดี๋ยวเราจะมาว่ากันต่อในหัวข้อถัดไป

วกซ้ำกลับไปเล่นใหม่ที่สนุกขึ้นทุกครั้ง (Gameplay)

เราว่าระบบการเล่นคือจุดเด่นที่สุดของเกมนี้แล้วล่ะ และถึงแม้ตัวซีรีส์จะรีบูตนับหนึ่งใหม่ แต่ในด้านของเกมเพลย์เอง ก็ยังคงไว้ซึ่งรูปแบบการเล่นแบบลอบเร้นโดยสมบูรณ์อยู่ แต่ได้พัฒนาขึ้นให้สามารถวกกลับไปเล่นซ้ำได้โดยไม่รู้เบื่อ (Replay Value) ซ้ำยังเปิดโอกาสให้ผู้เล่นหน้าใหม่ได้เข้าถึงซีรีส์นี้มากขึ้นด้วยการปรับระบบและเพิ่มตัวช่วยในการเล่นใหม่เข้ามา

ขอสารภาพว่าก่อนจะมารีวิวภาคนี้ เราเคยเล่นแค่ Hitman: Blood Money ที่เราสนุกกับมันมากๆ และแวะเวียนกลับไปเล่นอยู่บ่อยครั้ง เพราะเราหลงรักระบบการเล่นของตัวเกม ที่มอบอิสระให้ในระดับสูงแต่กระนั้นทุกอย่างที่เลือกต้องใช้ความรอบคอบในการตัดสินใจไตร่ตรองคิดหน้าหลังก่อนจะลงมือ การอำพรางศพและการวางยาใส่เครื่องดื่มของเป้าหมาย แน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะไม่มีใครมาเห็น?, การสังหารคนจะทำให้เกิดเบาะแสอะไรไว้เบื้องหลังหรือไม่?, ก่อนเริ่มภารกิจเราเตรียมอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับวิธีการสังหารที่เราเลือกแล้วแน่หรือ? ฯลฯ

ซึ่ง Hitman 2 ก็ได้พัฒนาในส่วนนี้ให้ยอดเยี่ยมมากยิ่งขึ้น มีแรงจูงใจให้ผู้เล่นได้ย้อนกลับไปเคลียร์ด่านภารกิจเดิมวกซ้ำไปมาโดยไม่รู้เบื่อ จากการที่ผู้เล่นพยายามเพิ่มระดับความชำนาญในแต่ละด่านภารกิจจากการเคลียร์ชาเลนจ์ต่างๆ  (Mastery) เพื่อปลดล็อครางวัลตอบแทนเป็นสรรพสิ่งเอื้ออำนวยความสะดวกการเล่น (กุญแจผีที่ใช้ในการปลดล็อคประตูโดยไม่ต้องเสี่ยงหากุญแจที่ถูกดอกมาเปิด, ได้จุดเริ่มต้นภารกิจพร้อมชุดปลอมตัวที่ใกล้เป้าหมายมากยิ่งขึ้นในแต่ละด่านภารกิจนั้นๆ ฯลฯ )

แต่ถึงแม้ผู้เล่นจะยังไม้ได้ปลดล็อคสรรพสิ่งช่วยเหลือใดๆ มาใช้เลยก็ตาม ความสามารถพื้นฐานที่นักฆ่าหมายเลข 47 มีในภาคนี้ ก็ถือได้ว่ามีสูงมากพออยู่แล้วและมันทำให้ตัวเกมเป็นมิตรกับผู้เล่นหน้าใหม่เอามากๆ เริ่มกันตั้งแต่ระบบที่ทำให้ตัวเกมเข้าถึงง่ายที่สุดอย่าง Instinct Mode (คล้ายๆ Witcher Sense ในเกม The Witcher 3 และ Eagle Eye จากแฟรนไชส์ Assassin’s Creed) โดยในโหมดนี้นักฆ่าหมายเลข 47 จะสามารถมองเห็นวัตถุ ผู้คนที่เป็นภัยต่อเรา ไปจนถึงจุดวางกับดักต่างๆ ทะลุผ่านกำแพงและชั้นเหนือระดับที่จะช่วยให้ผู้เล่นสอดส่องความปลอดภัยก่อนการกระทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น

อีกทั้งนักฆ่าหมายเลข 47 ในภาคนี้ ยังมีความสามารถในการพลิกแพลงสถานการณ์ต่างๆ ได้ในทันทีอีกด้วย ทั้งการต่อสู้ระยะประชิด (Close Quarter Combat) ที่สามารถซัดหมอบ NPC ในฉากได้ในทันทีโดยไม่ต้องมีอาวุธติดมือ, การขว้างปาสิ่งของจากระยะไกล (ที่จะตายหรือจะสลบก็ตามแต่ประเภทของของสิ่งที่ขว้างไป) และปิดท้ายด้วยการทำให้หมดสติหรือสังหารได้ด้วยมือเปล่าจากทางด้านหลัง (ที่เราก็แอบงงๆ ว่าทำไมมันทำแบบนี้ไม่ได้ตั้งแต่ภาค Blood Money…)

หลากหลายโหมดเปลี่ยนอรรถรส (Modes)

หากไม่นับคุณค่าในการกลับไปเล่นด่านภารกิจเดิมแบบซ้ำๆ ได้แล้วละก็ โหมดเนื้อเรื่องหลักหรือแคมเปญของ Hitman 2 ค่อนข้างมีน้อยเอามากๆ (5 – 6 ด่านภารกิจเท่านั้น) แต่โชคดีที่ทีมพัฒนาเลือกจะแก้ปัญหาจุดนี้ได้น่าสนใจพอสมควร ด้วยการที่ให้ตัวเกมมีโหมดการเล่นหลากหลายที่โดยส่วนมากจะรองรับการเล่นแบบออนไลน์ได้ ซึ่งก็เป็นที่รู้ๆ กันดีว่าฟีเจอร์ออนไลน์คือหนึ่งในระบบที่ทำให้ผู้เล่นยังคงขลุกอยู่กับเกมต่างๆ ได้ระยะใหญ่ๆ พอสมควร

โดยโหมดออนไลน์ทั้งหลายของ Hitman 2 นั้น ก็ไม่ได้ถูกทำออกมาแบบขอไปที หากแต่จะให้อารมณ์ในการเล่นที่แตกต่างกันออกไปพาให้ผู้เล่นหลีกหนีโหมดแคมเปญได้ประมาณหนึ่ง ไล่ตั้งแต่ Sniper Assassin ที่ผู้เล่นจะได้ใช้ปืนสไนเปอร์ระยะไกลซุ่มสังหารด้วยการสลับสับเปลี่ยนกระสุนที่จะให้ผลลัพธ์แตกต่างกันออกไปในการจัดการเป้าหมาย, Ghost Mode โหมดการแข่งขันหาผู้ที่สังหารเป้าหมายได้เร็วที่สุดในแบบเรียลไทม์ที่เราจะได้เห็นผู้เล่นอีกฝั่งในลักษณะเงาๆ คอยกดดันตลอดการเล่น ฯลฯ

กราฟิกสวยงามตามยุคสมัย (Graphic + Performance)

ในภาพรวมด้านกราฟิกของ Hitman 2 นั้น ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรครับ จัดว่าสวยงามตามยุคสมัยดี ซึ่งที่เด่นๆ เลยก็ดูจะเป็นด้านแสงเงาที่มีการแสดงผลได้เหมือนของจริงระดับหนึ่ง ในขณะที่ความไหลลื่นของเกมเองก็เป็นเรื่องน่าชื่นชม เพราะตลอดการเล่นนั้น เราไม่พบเจออาการเฟรมเรตตกแต่อย่างใดแม้จะอยู่ในบริเวณของเกมที่มีวัตถุเยอะๆ ก็ตาม (ผู้คน, สิ่งของประกอบฉาก ฯลฯ) แต่ในเรื่องเดียวกันก็มีจุดที่น่าติติงเลยคือพื้นผิวของวัตถุ (Texture) ที่มีลวกๆ บ้างกับหลายวัตถุนะ

สรุป (Verdict)

โดยรวม Hitman 2 คือการสานต่อตัวเกมในฉบับรีบูตเริ่มต้นใหม่ที่ชักชวนให้ผู้เล่นมากหน้าหลายตาสามารถเข้าถึงซีรีส์นี้ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น แม้ผู้เล่นหน้าเก่าอาจจะรู้สึกผิดใจกับความท้าทายของเกมที่น้อยลงไปบ้าง แต่หากมองถึงระบบการเล่นที่ถูกพัฒนาให้มีคุณค่าในการกลับไปเล่นซ้ำๆ ได้มากกว่าภาคๆ ไหนที่เคยมีมา ก็ถือได้ว่านี่คือเกมที่คุณจะคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ที่เสียไปอย่างแน่นอน