รีวิวเกม Super Mario 3D All-Stars มาริโอ 3 มิติรวมฮิตที่คุ้มค่าสำหรับแฟนลุงหนวด
Our score
8.5

รีวิวเกม Super Mario 3D All-Stars มาริโอ 3 มิติรวมฮิตที่คุ้มค่าสำหรับแฟนลุงหนวด

จุดเด่น

  1. รวมสามภาคในชุดเดียว
  2. ปรับภาพให้เป็น HD
  3. ปรับให้เข้ากับจอยเกม Switch

จุดสังเกต

  1. ขาดภาค Super Mario Galaxy 2
  2. ภาค 64 ไม่ได้เปลี่ยนสัดส่วนภาพ
  3. ของแถมน้อยไปหน่อย

ในปี 2020 แม้ว่าปู่นินจะประสบความสำเร็จสูงมากกับยอดขาย Nintendo Switch ที่หลังจากการระบาดของ Covid-19 ก็ทำให้เครื่องเกมลูกผสมขายดีขึ้นอย่างมาก แต่กับตัวเกมเองกลับตรงกันข้าม อาจเป็นเพราะทีมงานสร้างต้องกักตัวอยู่บ้าน ทำให้ในปี 2020 เกมบน Switch ออกน้อยลงมาก ทั้งที่เป็นปีที่เครื่องเกมขายดีและตัวละครหลักของปู่นินอย่าง มาริโอ ยังครบรอบ 35 ปีอีก

แต่ในที่สุดนินเทนโด ก็ได้เปิดตัวเกม Super Mario 3D All-Stars บน Nintendo Switch ออกมาความจริงก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเพราะก่อนเกมออกหลายเดือนก็มีข่าวลือว่าจะมีการรวมฮิตเกมมาริโอสามมิติออกมาตลอด โดยมันเป็นการรวบรวมเอาเกมลุงหนวดในตำนานที่เปลี่ยนจาก 2D เป็น 3D ที่ลงบนคอนโซลในอดีต แต่ที่น่าผิดหวังเล็กๆคือมันมาแค่ 3 เกมได้แก่ Super Mario 64 , Super Mario Sunshine , และ Super Mario Galaxy รวมในชุดเดียว แต่ขาดภาคต่อในตำนาน Super Mario Galaxy 2 ถือว่าน่าผิดคาดไปหน่อย แต่อย่างน้อยทุกเกมที่รวมมาถือว่าอยู่ในระดับสุดยอดเช่นกัน (รีวิวนี้จะแนะนำไปทีละเกม)

Super Mario 64 สามมิติภาคแรกของลุงหนวด

ย้อนกลับไปในปี 1996 มาริโอได้เข้าสู่โลก 3D ด้วย Mario 64 เป็นครั้งแรกบนคอนโซลรุ่นใหม่อย่าง Nintendo 64 (N64) ที่ถือเป็นการเปิดตัวเครื่องเกมรุ่นใหม่ ที่รองรับ 3D เต็มรูปแบบไม่ใช่แบบ 2.5D ตามสมัยนิยมในตอนนั้น โดยการกลับมาบน Nintendo Switch ถือว่าปรับน้อยมากเพราะเปลี่ยนกราฟิกให้เป็น HD ธรรมดาไม่ใช่ FullHD และยังไม่ได้ปรับสัดส่วนภาพให้เข้ากับหน้าจอทีวียุคใหม่ด้วย ทำให้ฉบับแฟนสร้างเองของ Super Mario 64 ที่ทำมาก่อนหน้านี้ดูดีกว่าอย่างมาก แต่โดยรวมถือว่าลื่นไหลดีแต่อยากให้ปู่นินลงทุนหน่อยเพราะมันเป็นภาคที่ได้รับความนิยมอย่างมาก

เกมเพลย์ที่สนุกไม่เชย

Super Mario 64 เป็นไม่กี่เกมในยุค 90 ที่มีรูปแบบการเล่นที่หยิบมาเล่นในปี 2020 ก็ไม่เชยอยู่แล้วต่อให้เป็นต้นฉบับบน N64 ก็ตาม การมาของเวอร์ชันปรับภาพใหม่บน Switch ก็แทบจะเหมือนเดิม ด้วยโลก 3D ของมาริโอที่ปรับออกมาได้ลงตัวเพราะมีการเพิ่มรูปแบบของแอ็กชันใหม่เช่นการกระโดด 3 จังหวะ หรือการต่อยที่เป็นครั้งแรกที่ลุงหนวดของเราจะโจมตีด้วยหมัด นอกจากนี้ยังปรับระบบเพิ่มพลังจากเก็บเห็ดแล้วตัวโต เปลี่ยนมาเป็นค่าพลังเพื่อความเหมาะสมกับโลก 3D ที่ซับซ้อนมากกว่า 2D จึงไม่แปลกที่เกมเพลย์ของ Mario 64 สามารถข้ามยุคสมัยมาเล่นได้ในปี 2020

โดยเกม Mario 64 แบ่งออกเป็นฉากที่เป็นโลกต่างมิติที่อยู่ในรูปภาพของปราสาทที่แน่นอนว่าเจ้าหญิงพีชโดนลักพาตัวไปด้วยตัวร้ายอย่าง คุปป้าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แต่ละฉากจะมีความโดดเด่นและมีดาวที่ซ่อนอยู่ผู้เล่นต้องค่อย ๆ เก็บสะสมดาวในฉากเพื่อปลดล็อกฉากใหม่ ๆ ได้

อย่างไรก็ตามภาค Mario 64 มีข้อเสียเล็ก ๆ คือการปรับเปลี่ยนปุ่มเพื่อปรับมุมกล้องที่เดิมบนจอย N64 ใช้ปุ่ม C ที่ไม่ได้เป็นแอนะล็อก แต่พอบน Nintendo Switch การปรับมุมกล้องต้องใช้ความคุ้นเคยสักหน่อย อีกทั้งมุมกล้องของเกมในยุค 90s ไม่ได้ลื่นไหลหรือมีมุมมองที่ดีเท่ากับเกมยุคนี้ ดังนั้้นผู้เล่นต้องปรับตัวซึ่งหากทำความเข้าใจได้แล้วมันจะสนุกไม่แตกต่างจากต้นฉบับเลย

Super Mario Sunshine เมื่อมาริโอขอพักร้อน

หลังจากสำเร็จกับภาค 64 มาริโอมาสานต่อเกม 3D ให้ซับซ้อนยิ่งขึ้นกับ Super Mario Sunshine ในปี 2002 ที่ออกครั้งแรกบน Game Cube ซึ่งสัมผัสแรกของ Switch ที่ปรับภาพใหม่ถือว่าดีกว่าภาค 64 มากเพราะของเดิมก็ถือว่าทำได้ดีอยู่แล้ว และข่าวดีคือมีการปรับสัดส่วนภาพมาเป็น 16:9 ที่มีระดับสูงสุดที่ FullHD เมื่อต่อออกทีวี และบนเครื่องพกพาจะมีความละเอียด HD ธรรมดา ทำให้โลกในเกมดูดีสวยงามขึ้นมาก

และ Super Mario Sunshine เป็นมาริโอภาคแรก ๆ ที่มีเรื่องราวชัดเจนและมีคั9ซีนที่มีเสียงพากย์จัดเต็มกว่าภาคก่อน ๆ โดยในภาคนี้เรื่องราวไม่ได้เกิดที่อาณาจักรเห็ด แต่เกิดที่ Isle Delfino เกาะเขตร้อนที่สวยงามแต่แล้วก็ต้องเปื้อนไปด้วยสีที่ตัวละครคล้าย มาริโอ ทำเลอะเทอะไปทั่วและลุงหนวดของเราต้องออกไปเช็ดล้าง แต่ก็มีการผูกเรื่องราวที่สุดท้ายแล้วอาจจะไม่มีอะไรให้ประหลาดใจแต่ก็พอจะมีเรื่องราวที่แตกต่างจากเกมมาริโอภาคก่อนหน้านี้อยู่บ้าง

เกมเพลย์สนุกแต่โหดกว่าเดิม (มาก)

ส่วนรูปแบบการเล่นเกม Super Mario Sunshine ถือเป็นการยกระดับเกม 3D ที่ในช่วงต้นยุค 2000s ถือว่าไม่ใช่ของใหม่แล้วให้ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ด้วยรายละเอียดของแอ็กชันเพิ่มเข้าไปอีก ไม่ว่าจะเป็นการกระโดดที่มีหลายรูปแบบ รวมทั้งมีการปีนป่าย ที่ภาคนี้จัดเต็มมากและยากแบบเรียกได้ว่าสุดโหดมาก ราวกับว่ามาริโอได้กลายเป็นนินจาไปแล้ว เรียกว่าพลาดนิดเดียวก็ตายง่าย ๆ โดยเกมแบ่งออกเป็นฉากที่ต้องเข้าไปในโลโก้รูปตัว M ที่ตัวร้ายเขียนไว้ทั่วเมือง และยังมีฉากพิเศษที่ซ่อนไว้ในเกาะที่รอเราค้นหามากกว่าเดิมหลายเท่า จนอาจจะบอกได้ว่ามากที่สุดในเกมตระกูลมาริโอก็ว่าได้

นอกจากนี้ Mario Sunshine ยังมาพร้อมอาวุธใหม่อย่าง ปืนฉีดน้ำ F.L.U.D.D. (Flash Liquidizing Ultra Dousing Device) ที่ไว้โจมตีศัตรูได้และยังใช่ฉีดน้ำไปที่พื้นเพื่อลอยตัวกลางอากาศได้ชั่วคราว แต่จะมีจำนวนน้ำที่จำกัดต้องคอยหาแหล่งน้ำเติม และเมื่อมารวมกับรูปแบบการเล่นแล้วมันหลากหลายขึ้นมาก แต่ก็มีข้อเสียสำหรับมือใหม่เหมือนกันเพราะอย่างที่บอกว่าตัวเกมค่อนข้างยากและซับซ้อน ซึ่งน่าจะถูกใจคนชอบเกมโหด ๆ

ส่วนการนำมาขายใหม่บน Switch นั้นในส่วนของการควบคุมบังคับถือว่าทำได้ดีเพราะต้นฉบับบน Game Cube ใช้แกนแอนะล็อกอันที่สองเพื่อเปลี่ยนมุมกล้องไปด้วย ส่วนการใช้ปืนฉีดน้ำก็ต้องฝึกฝนกันสักหน่อยเพราะมีการล็อกเป้าที่ต้องทำความเข้าใจกันก่อนจะเล่นเพราะมันสำคัญมาก แต่โดยรวมหากใช้จอยโปรในการเล่นแล้วถือว่าลื่นไหลไม่ต่างจากต้นฉบับ แต่หากเล่นแบบพกพาอาจจะไม่ถนัดมือเท่าที่ควรเพราะปุ่มมีขนาดเล็กกว่า

Super Mario Galaxy เมื่อมาริโอท่องอวกาศ

ในปี 2007 หลังจากความสำเร็จมหาศาลของ Wii รุ่นแรก ทำให้มาริโอกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งกับเกม Super Mario Galaxy ที่มาแปลกเพราะคราวนี้พาเราออกไปอวกาศกันเลย โดยกราฟิกในเกมต้นฉบับบน Wii ถือว่ายอดเยี่ยมแม้จะไม่ได้เป็น HD เพราะ Wii แรงกว่า Game Cube อยู่แล้ว แต่สัดส่วนภาพเป็น 16:9 อยู่แล้วจึงไม่ต้องเปลี่ยน

ส่วนการมาบน Switch มีเพียงแค่การปรับภาพให้คมชัดระดับ Full HD บนจอทีวีเหมือนภาค Sunshine ทำให้ยิ่งดูดีกว่าเดิม และไม่เชยสำหรับเกมในยุคใหม่ ส่วนเพลงประกอบต้องขอพูดถึงเลยว่ามันเป็นหนึ่งในเกมตระกูลมาริโอ ที่ทำดนตรีประกอบได้ยอดเยี่ยมอลังการที่สุดภาคหนึ่ง เรียกว่าสุดยอดทั้งภาพและเสียงเลย

ส่วนรูปแบบการเล่น Super Mario Galaxy คือการเปิดรูปแบบใหม่ของการเล่นเกม 3D ที่เปลี่ยนฉากเป็นวงกลมของดวงดาว ทำให้ดูแปลกตามาก เชื่อว่าในสัมผัสแรกที่เล่นจะงงกับมุมกล้องแน่ แน่พอชินแล้วจะพบความแปลกใหม่สดใหม่ของเกมเพลย์แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และต้องชมทีมงานนินเทนโดที่สามารถสร้างฉากออกมารองรับโลกของเกมที่เป็นทรงกลมได้ยอดเยี่ยมแบบไม่มีที่ติ

แถมระดับความยากก็กลาง ๆ ไม่ง่ายและไม่ยากจนเกินไป ส่วนลุงหนวดของเราภาคนี้มีเรื่องราวมากกว่าเดิมและมีตัวละครใหม่เป็น Rosalina ที่มาร่วมมือกันเพื่อช่วยเจ้าหญิงพีชที่โดนคุปป้าจับตัวไป และได้พลังแห่งดวงดาวมาทำให้เราใช้พลังหมุนตัวเพื่อโจมตีศัตรูได้ และเกมใช้การรวบรวมดวงดาวที่อยู่ในฉากเพื่อปลดล็อกด่านใหม่เหมือนภาคก่อน

และในส่วนของการควบคุมบังคับของภาค Galaxy ต้นฉบับใช้จอย Wii Mote เพื่อบังคับที่รองรับระบบจับการเคลื่อนไหวเพื่อใช้ท่าหมุนตัว และการชี้เป้าด้วย IR และการมาบน Switch เปลี่ยนมาใช้ Joy-con ที่มีทั้งระบบจับการเคลื่อนไหว และรองรับการชี้เป้าเพื่อยิงสะเก็ดดาวเหมือนกัน ทำให้แทบจะไม่มีอะไรแตกต่าง ส่วนหากเล่นด้วยจอยโปรจะใช้ปุ่มกดเพื่อหมุนตัว และการจับการเคลื่อนไหวเพื่อชี้เป้า ส่วนในโหมดพกพาเราต้องใช้หน้าจอสัมผัสแทน เรียกว่าทุกโหมดของ Switch เกมปรับให้ครบหมดแต่ส่วนตัวแล้วการใช้ Joy-con ถนัดที่สุด

ของแถมโหมดรวมเพลงประกอบ

เสียดายที่ปรกติแล้วการรวมฮิตเกมในยุคนี้จะมีของแถมมาให้เยอะแต่ Super Mario 3D All-Stars กลับให้มาน้อยมาก โดยที่มีมาให้คือโหมดรวมเพลงประกอบเกมทั้งสามภาค ที่ผู้เล่นสามารถเลือกฟังได้และแน่นอนว่าทุกภาค (โดยเฉพาะ Galaxy) คือตำนานเพลงประกอบของวงการเกมที่มีเพลงเพราะ ๆ ติดหูมากมาย เชื่อว่าแฟน ๆ ต้องกดฟังกันแน่ อย่างไรก็ตามแม้จะมีของแถมมาให้น้อยแต่ก็มีระบบเมนูที่เข้าใจง่าย และมีเพลงมาให้ครบเชื่อว่าแฟนมาริโอต้องชอบแน่นอน

สรุปแล้วการกลับมาของมาริโอในเกม Super Mario 3D All-Stars ถือว่าเป็นความสนุกเหมือนกับต้นฉบับ แม้จะมีการเพิ่มเติมมาน้อยมากไม่ว่าจะเป็นการปรับภาพเล็กน้อย และเพิ่มแค่โหมดเพลงประกอบแถมยังขายราคาเกมเต็ม ๆ อีกเรียกว่ามันอาจจะไม่คุ้มค่าหากคุณไม่ใช่แฟนลุงหนวด แต่หากเป็นแฟนที่เล่นมาริโอมาอย่างยาวนานแล้ว การรวมฮิตครั้งแรกของภาคสามมิติ ถือว่ายังคุ้มค่าอยู่ เพราะความยอดเยี่ยมของต้นฉบับมันยังคงอยู่ครบถ้วน และยังสามารถข้ามกาลเวลามาได้ครบทุกเกม

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส