รีวิวเกม Super Mario 3D World + Bowser’s Fury มาริโอซูเปอร์ไซย่า ปะทะ คุปป้ายักษ์
Our score
9.0

รีวิวเกม Super Mario 3D World + Bowser’s Fury มาริโอซูเปอร์ไซย่า ปะทะ คุปป้ายักษ์

จุดเด่น

  1. โหมด Bowser's Fury สนุกมาก ๆ
  2. กราฟิกดูดีเหมือนเดิมแม้จะผ่านมาหลายปี
  3. เกมหลัก Mario 3D World ก็สนุกเหมือนเดิม

จุดสังเกต

  1. โหมด Bowser's Fury สั้นไปหน่อย
  2. เกมขายราคาเต็มแพงไปนิดสำหรับเกมเก่าขายใหม่เพิ่มนิดหน่อย

เป็นเรื่องปรกติที่ช่วงต้นปีที่เกมวางขายน้อย ผู้ผลิตจะเข็นเอาของเก่ามาขายใหม่มากกว่าจะเป็นการนำเกมฟอร์มยักษ์มาวางขาย อีกทั้งเพราะการระบาดของ Covid-19 ทำให้กลายเกมถูกเลื่อนวันวางจำหน่ายออกไป แต่ดูเหมือนการมาของ Mario ฉบับเอามาขายใหม่อีกรอบอย่าง Super Mario 3D World + Bowser’s Fury บน Nintendo Switch จะแตกต่างเพราะมันมีการเพิ่มโหมดใหม่เข้ามาให้เล่น ไม่ได้แค่เอาของเก่ามาขายใหม่เท่านั้น

โดยเกม Super Mario 3D World ต้นฉบับวางขายในปี 2013 บน WiiU ที่ถือเป็นภาคที่ประสบความสำเร็จมากในแง่ของเสียงวิจารณ์ แต่ยอดขายอาจจะไม่มากเท่าภาคอื่นเพราะ WiiU ขายไม่ค่อยดีเท่าที่ควรทำให้เป็นลุงหนวดภาคที่ถูกลืม ส่งผลให้การกลับมาเกิดใหม่อีกรอบบน Nintendo Switch น่าสนใจมากเพราะเชื่อว่ามีคอเกมไม่ได้เล่นอยู่จำนวนมาก และยังการมาโดยบวก Bowser’s Fury ยิ่งทำให้เกมน่าเล่นแม้จะขายราคาเต็ม ๆ ก็ตาม

ภาพและเสียงในเกมดีงามแม้เป็นเกมเก่ามาขายใหม่

ในต้นฉบับของเกม Super Mario 3D World บน WiiU ถือว่าอยู่ในรายชื่อของเกมภาพสวยบน WiiU ที่มีการเล่นแสงเงาที่เหนือกว่าเกมยุค PS3 , XBox360 แม้อาจจะไม่สวยงามเท่ายุค PS4 แต่มาริโอภาคนี้ถือว่าเป็นอีกเกมที่ภาพสวยงามสุด ๆ ไม่แพ้ Super Mario Odyssey เลย ส่วนเพลงประกอบของ Mario 3D World เป็นอีกหนึ่งความสุดยอด เพราะมีเพลงใหม่ ๆ ที่ติดหูและสนุกสนานในแบบ Jazz ที่เต็มไปด้วยความโดดเด่นและทำให้เกมลงตัวโดดเด่นมาก แม้จะผ่านมาหลายปีก็ยังโดดใจไม่รู้สึกว่ามันเป็นเกมเก่า แถมในโหมด Bowser’s Fury มีการใส่เพลงเข้าไปใหม่ที่เข้ากับรูปแบบการเล่นใหม่ด้วย

โหมดใหม่ Bowser’s Fury ศึกมาริโอร่างซูเปอร์ไซย่า ปะทะ คุปป้ายักษ์

เริ่มมาจะขอรีวิวในส่วนใหม่ของเกมอย่าง Bowser’s Fury ก่อน โดยมันเป็นโหมดใหม่ที่เราเลือกเล่นได้เลยตั้งแต่ต้นไม่ต้องปลดล็อก และไม่ต้องรอให้จบเกมหลักก่อน ทำให้เราสนุกไปกับโหมดใหม่ได้ทันทีที่เริ่มเกมและเชื่อว่าแฟน ๆ เกมที่เคยเล่น Super Mario 3D World บน WiiU แล้วต้องกดเลือกเลยแน่นอน

โดยในส่วน Bowser’s Fury เริ่มมาจะเล่าผ่านเรื่องราว Mario ในโลกที่เป็นเกาะในทะเลสาบที่สวยงามแต่สักพัก คุปป้า Fury Bowser ร่างยักษ์ก็ออกมาทำลายล้าง ซึ่งมันมีพลังทำลายสูงมากมาริโอสู้ไม่ได้ ต้องหนีอย่างเดียวในตอนแรก และหลังจากมันสงบ Bowser Jr. ได้ออกมาร้องขอให้เราช่วยให้ คุปป้ากลับมาเหมือนเดิม และมาริโอก็ยอมช่วยคู่ปรับตลอดกาล และได้ท่องไปในโลกที่สวยงามอีกครั้ง

รูปแบบการเล่น Bowser’s Fury เปลี่ยนไปเป็นคนละเกม

ในโหมดให้อย่าง Bowser’s Fury ไม่เหมือนตัวเกมหลักแม้แต่น้อย อย่างแรกคือเราสามารถเปลี่ยนมุมกล้องได้อิสระแบบ Mario Odyssey และมาริโอ 3D หลายภาค และฉากในเกมจะอยู่ในโลกเดียวไม่มีแผนที่หรือตัดเข้าฉาก โดยภารกิจหลัก ๆ เพื่อคืนร่างเดิมให้คุปป้าคือการรวบรวม Cat Shines ที่อยู่ในฉากเพื่อปลดล็อกฉากเพิ่ม และเมื่อเก็บถึงจำนวนแล้วจะสามารถใช้พลัง Giga Bell เพื่อแปลงร่างให้ลุงหนวดของเรายักษ์ใหญ่เป็นแมวยักษ์นาม Giga Cat Mario ที่หน้าตาเหมือนซูเปอร์ไซย่าแมว และจำทำให้เราสามารถต่อสู้กับ คุปป้าร่างยักษ์ได้ และเราจะต้องสู้หลายรอบด้วย ถือว่าเป็นไอเดียที่ทำให้เกมสดใหม่ลงตัวมาก

โดยฉากในเกมจะแบ่งเป็นโซนซึ่งเมื่อเก็บ Cat Shines จะมีฉากใหม่ออกมาให้เล่นเรื่อย ๆ และแต่ละโซนจะมีความแตกต่างกันเช่นมีฉากน้ำแข็งที่มีพื้นลื่น ๆ ให้เล่น หรือบางฉากก็มีลาวาที่ร้อนแรง รวมทั้งอุปสรรคที่โหดหินกว่าเดิม ทำให้แม้เกมจะมีเพียงฉากเดียวแต่ก็หลากหลายไม่ซ้ำซากแน่ ส่วนการเดินทางไปยังโซนต่าง ๆ เกมจะมียานพาหนะเป็นตัว Plessie แบบภาคหลักแต่จะสามารถบังคับได้อิสระมากกว่าโดยเฉพาะการว่ายน้ำไปบนทะเลสาบ และยังมีมินิเกมให้เล่นเพียบเพื่อค้นหา Cat Shines ที่ซ่อนอยู่ในฉากอีกเพียบเรียกว่าสนุกเกินคาดมาก

เกมมีความท้าทาย และเล่นกับเพื่อนได้

และใน Bowser’s Fury จะมีผู้ช่วยเป็น Bowser Jr. ที่มันช่วยโจมตีศัตรู , ช่วยบอกทางลับ หรือช่วยให้เรากระโดดสูงขึ้น และเราสามารถเลือกได้ว่าจะให้มันช่วยเรามากน้อยแค่ไหนด้วย และหากไม่อย่ากเล่นกับ A.I. เราสามารถเล่นกับเพื่อนได้ด้วยเช่นกัน และมันจำเป็นอย่างมากเพราะเกมมีความยากและท้าทายพอสมควร แม้เราอาจจะไม่ได้ตายง่าย ๆ แต่การเก็บ Cat Shines ที่ซ่อนอยู่ในฉากถือว่ายากเย็นและหากพลาดเราอาจจะต้องเริ่มใหม่ไกลทำให้หัวร้อนอยู่บ้าง แต่หากเคยผ่านเกมมาริโอ 3D ภาคที่เปลี่ยนมุมกล้องได้มาแล้วก็จะผ่านไปได้แบบไม่ยากเย็นจนเกินไป

โดยรวมแล้วบอกตรง ๆ ว่าโหมด Bowser’s Fury สนุกกว่าที่คาดหวังไว้มากเสียดายที่สั้นไปหน่อย จนอยากให้ปู่นินทำแยกออกมาเป็นอีกเกมมากกว่าโหมดแยกแบบนี้โดยเฉพาะตอนที่คุปป้าร่างยักษ์ระเบิดพลังฉากจะเข้าสู่ความมืดที่จะกลายเป็นอีกเกมที่ยากขึ้นเพราะ คุปป้าจะปล่อยบล็อกมาก่อกวน และพ่นไฟพลังทำลายล้างสูงได้และศัตรูในเกมบางตัวจะโหดมากขึ้น ทำให้มันสนุกเพิ่มขึ้นไปอีกหลายเท่า

โหมดหลัก Super Mario 3D World เหมือนเดิมเพิ่มเล็กน้อย

ในส่วนหลักของเกมคือ Super Mario 3D World ก็เหมือนเดิมบน WiiU ที่เป็นเกมมาริโอ 3D ที่ไม่สามารถปรับมุมกล้องได้อิสระมีเพียงบางจุดที่ปรับได้นิดหน่อย และเกมเน้นฉากที่เรียบง่ายมุมมองที่ไม่ซับซ้อน ทำให้เข้าใจได้ง่ายกว่าภาค 3D ทั่วไปที่บางครั้งต้องเปลี่ยนมุมกล้องจนเวียนหัว เรื่องราวในเกมเราจะต้องออกไปช่วยนางฟ้าที่โดนคุปป้าจับตัวไป เกมมีการแบ่งเป็นด่าน ๆ แบบซีรีส์มาริโอ และมีการแบ่งเป็นเอเรียรวมทั้งมีฉากแผนที่คล้ายกับภาคเก่า ๆ อย่างภาคสามและภาค World บน Super Famicom ด้วยเรียกว่าเล่นง่ายเข้าใจง่ายมาก (แต่เกมเพลย์ไม่ง่ายแค่เข้าใจง่าย)

โดยความโดดเด่นของภาคนี้คือการเล่นได้ 4 คนพร้อมกันที่จะได้บังคับเป็น Mario , Luigi , Toad และ เจ้าหญิงพีช เหมือนกับภาค 2 ในตำนาน และทุกคนจะเล่นในฉากเดียวไม่ได้มีการแบ่งฉาก ทำให้แน่นอนว่ามีการดึงฉากกันแบบเกมในอดีต ซึ่งหากเรารีบเล่นโดยไม่สนใจเพื่อนร่วมทีมอาจจะมีปัญหา แต่ทางนินเทนโดได้แก้ปัญหาด้วยการปรับให้คนที่เดินตามไม่ทันกลายร่างอยู่ในลูกบอลแล้วลอยตามตัวละครที่เป็นผู้นำ ถือว่าเป็นไอเดียที่ดีมาก

และข่าวดีคือในภาคบน Nintendo Switch ได้เพิ่มโหมดออนไลนได้ 4 คนพร้อมกันเข้ามาด้วย นอกจากนี้ทั้งโหมดหลักและเสริมจะเพิ่มลูกเล่นการถ่ายภาพที่ปรับมุมกล้องเพื่อหามุมถ่ายภาพงาม ๆ ได้ด้วย และเปลี่ยนสีของฉากได้เพื่อเอารูปสวย ๆ ไปโชว์เพื่อน ๆ ได้ที่เหมือนกับภาค Mario Odyssey ด้วย และเนื่องด้วยการย้ายเครื่องมาเล่นบน Nintendo Switch ทำให้ลูกเล่นบางส่วนต้องเปลี่ยนไปเช่นการใส่หน้าจอที่ 2 ของ WiiU แล้วใช้หน้าจอสัมผัสเพื่อกดให้บล็อกลอยออกมา เปลี่ยนมาใช้ระบบโมชันเพื่อนเลื่อนลูกศรที่อยู่บนหน้าจอแทน

สรุปแล้ว Super Mario 3D World + Bowser’s Fury ไม่ใช่การเอาของเก่ามาขายใหม่แบบธรรมดา เพราะได้เพิ่มโหมดใหม่เข้าไปและมีความแตกต่างจากตัวเกมหลักอย่างมาก แถมยังสนุกลงตัวแถมยังมีอะไรให้ประหลาดใจตลอดการเล่น และอย่างที่บอกว่าใน Bowser’s Fury ดีงามจนอยากให้ทำภาคแยกไปเลย ข้อเสียแค่โหมดนี้มันสั้นไปหน่อย และราคาขายของเกมเท่ากับของใหม่ ถือว่าสูงพอสมควรหากคุณเคยเล่นต้นฉบับบน WiiU มาแล้วอาจจะคิดกันหน่อย แต่หากคุณไม่เคยเล่นบน WiiU มาก่อนถือว่าคุ้มค่าอย่างมาก และเป็นอีกเกมน่าเล่นบน Nintendo Switch ที่ออกวางขายในช่วงต้นปีที่ไม่ควรพลาด

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส