[Review] Persona 5 Strikers การกลับมาอีกครั้งของเหล่า Phantom Thieves
Our score
8.5

[Review] Persona 5 Strikers การกลับมาอีกครั้งของเหล่า Phantom Thieves

จุดเด่น

  1. Gameplay ที่สนุก และรักษาเอกลักษณ์ความเป็น Persona ไว้ได้ดี
  2. เพลงประกอบระดับ Masterpiece
  3. บทพูดของตัวละครที่เขียนมาดี พร้อมกับเนื้อเรื่องที่สนุกและน่าติดตาม
  4. Run ได้ที่ 60FPS ถึงแม้ว่าจะเล่นใน PS4 รุ่นแรกสุดก็ตาม

จุดสังเกต

  1. การออกแบบฉากที่ชวนปวดหัวในบางด่าน
  2. Gameplay ที่เมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ อาจจะรู้สึกว่ามันซ้ำซากไปหน่อย
  • GAMEPLAY

    9.0

  • GRAPHICS

    8.0

  • STORY

    8.0

  • PERFORMANCE

    8.5

  • VALUE

    8.5

Phantom Thieves กลับมาแล้ว !! หลังจากผ่านมาเกือบ 5 ปีในภาคดั้งเดิม และ 1 ปีในภาค Royal การกลับมาในครั้งนี้นั้น Persona 5 Strikers ได้สานต่อเรื่องราวจากตัวเกมภาคดั้งเดิมในอีก 4 เดือนให้หลังจากฉากจบของ Persona 5 และ Persona 5 The Animation ครับ

แต่ก่อนที่เราจะเข้ารีวิวกัน ต้องบอกก่อนว่าตามปกติแล้ว Persona มักจะมีภาคเสริม Spin-off ออกมาประจำอยู่แล้ว เช่นในภาค 4 เราก็จะเห็น Arena Ultimax ที่เป็นเกมต่อสู้ แต่เล่าเรื่องหลังจากตอนจบของตัวเกมดั้งเดิม หรือจะเป็นเกมเต้นอย่าง Dancing Starlight ที่เพิ่งขายไปเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมานี่เองครับ

Persona 5 Strikers (ต่อไปนี้จะเรียกว่า P5S) นั้นเป็นผลงานที่ร่วมมือกันระหว่าง Omega Force (เจ้าของผลงาน Dynasty Warriors) และ Atlas P-Studio ทีม Persona ดั้งเดิม โดยการจับมือกันครั้งนี้ทำให้ P5S ถูกนำเสนอในรูปแบบ Muso ที่ทีม Omega Force ถนัด

ส่วนตัวของผมเองแล้วเป็นแฟน Persona จัด ๆ คนหนึ่ง และเมื่อรู้ว่า P5S จะกลายเป็นเกม Muso ที่เป็นงานของ Omega Force นั้นผมก็ไม่ได้หวังอะไรมากสักเท่าไรนัก ด้วยการที่ผมเคยเล่น Hyrule Warriors มาบ้าง แล้วก็รู้สึกว่ามันไม่ได้มีความเป็น Zelda หรือสามารถรักษาตัวตนของมันไว้ได้สักเท่าไร

แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้เล่นมาจนจบเกม กับ 46 ชั่วโมงที่ผมใช้เวลากับมันไปใน ทำให้บอกได้เลยว่า ตัวเกมมันรักษาตัวตนของ Persona 5 ไว้ได้ดีมาก ๆ เลยทีเดียว


Story


**Spoiler Alert เหตุการณ์และเนื้อเรื่องของเกมนี้จะเล่าเรื่องต่อจาก Persona 5 ใครที่ยังเล่นไม่จบ หรือมีแผนที่จะเล่นให้ข้ามส่วนย่อหน้านี้ไปครับ

ตัวเกมจะเล่าเรื่อง 4 เดือนหลังจากฉากจบใน Persona 5 มีเหตุการณ์ Change Of Heart Epidemic เกิดขึ้นทั่วทั้งประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นขณะเดียวกับตอนที่ Joker (Ren Amamiya) หรือ The Protagonist ตัวละครหลักได้เดินทางมาเที่ยวพักร้อนร่วมกับเพื่อน ๆ ในกลุ่ม Phantom Thieves ในช่วงปิดเทอมเดือนกรกฎาคมครับ

ในขณะที่โลกกำลังดำเนินไปด้วยดี ประชาชนในญี่ปุ่นได้ใช้เวลากับ Smart Phone เยอะมากกว่าเดิม อยู่ดี ๆ ก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น เมื่อกลุ่ม Phantom Thieves ได้บังเอิญไปพบเจอวิธีการเข้าสู่โลก Cognitive World หรือ Metaverse อีกครั้ง หลังจากที่ App Meta-Nav ของพวกเขาได้หายไปในตอนจบของ Persona 5 ครับ

และบวกกับเหตุการณ์ Change Of Heart ที่เกิดขึ้นทั่วทั้งประเทศ ทำให้กลุ่ม Phantom Thieves ถูกจับตามองจากกลุ่มตำรวจ และเหล่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้งหลายอีกครั้ง เหตุการณ์ครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อทั้งประเทศ ตำรวจต้องเร่งหาคนร้ายมาให้เจอ และกลุ่ม Phantom Thieves ก็ยังถูกใส่ร้ายว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ในครั้งนี้อีกด้วย

และแน่นอนว่าเป็นหน้าที่ของกลุ่ม Phantom Thieves ที่ก็ต้องตามหาคนร้ายตัวจริงให้เจอ ไปพร้อม ๆ กับการออกผจญภัยไปทั่วประเทศญี่ปุ่น พบเจอกับเหล่าตัวละครหน้าใหม่ทั้งหลาย ใช้เวลาช่วงพักร้อนไปกับเพื่อน ๆ และที่สำคัญเลยก็คือ สมาชิกของ Phantom Thieves คนใหม่ ที่จะเข้ามาร่วมทีมกับเราในภาคนี้ครับ

**หมดช่วงสปอยล์เนื้อหาทั้งหมดตั้งแต่นี้ไปจะไม่มีสปอยล์ตัวเกมใน Persona 5 ครับ

ต้องขอหยุดในส่วนของเนื้อหาหลักเอาไว้แค่นี้ เพื่อป้องการสปอยล์ครับ ในช่วงครึ่งแรกของตัวเกมนั้น ตัวเกมจะดำเนินไปอย่างช้า ๆ และมีเรื่องที่ไม่ค่อยเกี่ยวอะไรกับเนื้อหาหลักสักเท่าไร สิ่งที่ดีที่สุดก็คือการใช้เวลาร่วมกับเพื่อน ๆ ทำเอาผมเกือบจะหลับในช่วงแรก

แต่ถึงแบบนั้นบทพูดหรือ Dialogue ก็ยังเขียนออกมาได้ดี พร้อมกับเสียงพากย์ ENG ที่ทำได้ยอดเยี่ยมเช่นเคย ทำให้ผมหายคิดถึงตัวละครทุกคนได้ พร้อมกับ Cutscreen แบบอนิเมะ ที่ยังมีมาให้ดูเหมือนเดิม ทำให้เรารู้สึกว่าเหมือนกำลังดูอนิเมะเรื่องหนึ่งที่ดำเนินเรื่องแบบเรื่อย ๆ แต่มันไม่ค่อยให้ความรู้สึกเหมือน Persona สักเท่าไรครับ

และเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางเกมไปจนถึงท้ายเกม ตรงนี้คือจุดที่เหมือนเปลี่ยนคนเขียนบท ในช่วงครึ่งทางของการพัฒนาเกม ตัวเกมได้เล่าเรื่องอย่างเข้มข้น น่าติดตาม มีความ Dark แบบ Seinen Manga ที่เป็นแนวทางของ Persona มาตลอด

สิ่งที่ผมชอบที่สุดในส่วนของ Story ใน P5S นั้นก็คือ “มันได้รักษาความเป็น Persona 5 เอาไว้ได้อย่างดีมาก” ตัวเกมได้ทำให้ผมหายคิดถึงเหล่า Phantom Thieves ได้ดีกว่าตอนที่กลับไปเล่นภาค Royal แถมยังทำให้ลืม Kasumi ไปเลย (ขอโทษแฟนคลับน้องด้วย)

และด้วยการที่มันเป็น Sequel หรือภาคต่อของ Persona 5 ตัวเกมมันได้รักษาความสมดุลในการเล่าเรื่องเอาไว้อย่างดีมาก จากเหตุการณ์ในภาคดั้งเดิม ที่ฉากจบนั้นทำได้สมบูรณ์แบบไปแล้ว แต่ใน P5S นี้มันก็สามารถเล่าต่อแบบไม่รู้สึกถึงคำว่า “แถ” ได้เลย ทำให้เรียกว่า Persona 5 Striker นั้นมันไม่ใช่เพียงแค่ Spin-Off ธรรมดา แต่มันคือ Persona 5-2 เลยก็ว่าได้ครับ


Gameplay


“Persona ในแบบ Action RPG ก็ใช้ได้นี่หว่า” นี่คือคำพูดของผมเองหลังจากที่ได้เล่นมาสักระยะหนึ่ง จากในตอนแรก ที่รู้อยู่แล้วว่ามันจะเป็นแนว Muso บวกกับตัวเองที่ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่เอาเข้าจริงหลังจากที่ได้เล่นแล้ว บอกเลยครับว่า การเปลี่ยนแนวครั้งนี้ ก็ไม่ได้ทำให้เสียตัวตนของ Persona ไปเลยสักนิด

แน่นอนว่าผมพูดในส่วนของ Gameplay โดยรวม หรือระบบต่อสู้ภายในเกม ที่เราจะสามารถเดินทางเที่ยวเล่นภายในเมือง หาชื้อของใช้ ยา อาหาร เพื่อนำมาฟื้นฟูพลังชีวิตขณะอยู่ใน Palace ที่ใน P5S เรียกว่า Jail

และขณะที่เราอยู่ในโลก Metaverse นั้น ทุกอย่างก็ยังเหมือนกับ Persona 5 ที่เราจะต้องออกสำรวจ จัดการกับพวก Shadow เก็บ Item ตามหากล่องสมบัติ แก้ไขปริศนา ระวังไม่ให้ค่า Alert ถึง 100%

Phantom Dash !!

ฟังดูแล้วมันก็คือ Persona 5 ปกติเลยครับ แต่สิ่งที่มันเปลี่ยนไปก็คือฉากต่อสู้ที่เมื่อเราเข้าไปโจมตี Shadow ก่อนแบบตรง ๆ หรือจะเข้าไปกระชากหน้ากากจากด้านหลัง หรือโดนพวก Shadow มันเข้ามาโจมตีเราก่อน มันก็จะเปลี่ยนจาก Turn-base RPG กลายเป็น Action RPG Muso พร้อมกับเพลงประกอบที่คุ้นหูครับ

และในฉากต่อสู้นั้น ทุกอย่างก็ยังเป็น Persona 5 เหมือนที่เราคุ้นเคยกันดีครับ เราจะสามารถโจมตีปกติ และใช้อาวุธปืนได้ เรียกใช้ Persona เพื่อโจมตีเข้าจุด Weakness เพื่อ Follow-up Attack หรือแม้แต่จะทำ All Out Attack ก็ได้ แน่นอนว่าเราสามารถเปลี่ยนไปบังคับเพื่อนในปาร์ตี้ได้ที่มีสูงสุด 4 คนแบบ Baton Pass ที่จะทำให้เกจ Showtime เพิ่มเร็วขึ้น ก่อนที่จะปิดด้วยท่าไม้ตายสวย ๆ ครับ

All-Out Attack ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Persona

แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปจากภาคดั้งเดิมก็คือ คราวนี้เราจะบังคับตัวละครแบบเรียลไทม์แทน ไม่มีอีกแล้วกับ Turnbase บอกลามันไปได้เลย เพราะไม่น่าเชื่อว่า Persona ในแบบ Action RPG มันจะสนุกขนาดนี้ และผมต้องบอกเลยว่าทีม Omega Force ทำการบ้านเกี่ยวกับ Persona 5 มาเป็นอย่างดีมาก ๆ เพราะมันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่าเล่นเกม Spin-Off Muso แต่มันทำให้ผมรู้สึกถึงเกม Persona จริง ๆ ครับ

ในแง่ของผู้เล่นใหม่แล้วนั้น สำหรับใครที่ไม่เคยเล่น Persona มาก่อนก็น่าจะเข้าใจตัวเกมได้ไม่ยาก ระบบการต่อสู้ของเกมนี้มันก็จะวนเวียนอยู่กับระบบ Weakness ที่จะเป็นหัวใจหลักครับ โดยเราจะต้องศึกษาจุดอ่อนของศัตรู และเรียกใช้ Persona ให้ถูกในการจัดการ แต่เมื่อมันกลายมาเป็น Action RPG ทุกอย่างก็จะรวดเร็วไปหมด ยังดีที่ระหว่างเลือกใช้ Persona ตัวเกมมันยังหยุดเวลาให้เรา ไม่งั้นคงต้องมือพันกันแน่ ๆ

แต่อย่างไรก็ตามครับ P5S ได้ตัด 2 ระบบที่เป็นเหมือน “หัวใจหลัก” ของ Persona ไป นั้นก็คือระบบ Confidant Social Link และ Calendar แต่ถึงแบบนั้นก็ยังมีระบบ Bond ในทีมที่จะมี Level ของมันเอง ได้จากการทำ Sidequest ของเพื่อน ๆ หรือการไปแฮงเอาต์กับกลุ่มเพื่อนครับ

Lavenza จะกลายเป็นผู้ดูแล Velvet Room ในภาคนี้

สำหรับใครที่ถามหา Velvet Room นั้น ก็ยังอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงครับ แน่นอนว่าคราวนี้ Lavenza จะเป็นผู้ดูแลแทน Igor ที่ก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน (อาจจะไปอยู่ Velvet Room อีกห้องในภาค 6 ก็เป็นได้)

ระบบผสม Persona ในภาคนี้ยังมีอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงครับ แต่ด้วยการที่มันไม่มี Confidant ก็ทำให้เราจะไม่ได้โบนัสจากการผสม Persona ตามสายต่าง ๆ แน่นอนว่าจำนวน Persona ที่มีในเกมก็มากันครบทุกตัว ไม่ได้หายไปไหน แต่ DLC Persona ไม่ได้มาด้วยนะเออ


Graphics


Persona 5 Striker ยังคงใช้เอ็นจินเดิม ตัวเดียวกับ Persona 5 หรือจะเรียกได้ว่ายก Asset มาทั้งหมดเลย ก็คงไม่ผิด ในช่วงต้นเกมเราจะได้ไปเดินในเล่นย่าน Shibuya และ Café Leblanc เพื่อให้หายคิดถึง ก่อนที่ตัวเกมจะพาเราเดินทางทั่วญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นใน เซ็นได, โอกินาว่า, โอซาก้าและอื่น ๆ อีกมากมายครับ

ทีมงานทั้งหมดในส่วนของ Art director, Character designer และ Level Design นั้นยังคงเป็นผลงานจาก Atlas P-Studio ครับ ทำให้เราจะรู้สึกคุ้นเคยกับ Persona 5 ได้เป็นอย่างที ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศ การออกแบบฉาก หน้าเมนู UI หรือแม้แต่การออกแบบตัวละครใหม่ ที่มีความเป็น Persona ของ Atlas มาก ๆ

ตัวเกมที่ผมเล่นเพื่อใช้ Review ในครั้งนี้รันบน Playstation 5 ผ่านระบบ Backward Compatibility ตัวเกมสามารถรันได้ที่ความละเอียด 1440p Lock 60FPS ใน Graphics Mode (ไม่รองรับ 4K) พร้อมกับปรับปรุง LOD และ Reflections จากตัวเกมดั้งเดิมเล็กน้อยครับ

และแน่นอนว่ามันเป็นเกม PS4 ผมจึงได้เอาไปทดสอบในเครื่องรุ่นแรกสุด ด้วย Graphics Mode และน่าตกใจที่ตัวเกม Run ที่ 1080p 55-60FPS ทำเอาสงสัยว่าแล้วทำไม Persona 5 ทั้งภาคดั้งเดิมและ Royal ถึงไม่ทำ 60FPS มาด้วยแต่แรกเลย ทั้ง ๆ ที่ PS5 ก็ยัง Run ที่ 60FPS สบาย ๆ แท้ ๆ


Take Your Heart, Once Again


Persona 5 Strikers นั้นได้พยายามนำเสนออะไรใหม่ ๆ ให้กับแฟรนไชส์ Persona โดยการเปลี่ยนแนวที่มาทำเป็น Action RPG แล้วมันก็ออกมาได้ดีมาก ๆ แบบที่ You’ll Never See It Coming เลยทีเดียว

สิ่งเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจกับมัน ก็คือการที่ตัวเกมมันดันตัดระบบ Social Link และ Calendar ออกไป ทั้ง ๆ ที่ P5S สามารถเป็นเกมที่มีสเกลใหญ่กว่านี้ได้สบาย ๆ และมันจะเป็น Persona 5-2 ได้แทนที่จะเป็นเพียงแค่ Spin-Off Sequel เท่านั้น

แต่อย่างไรก็ตาม Persona 5 Strikers ก็ได้เปิดแนวทางใหม่ ๆ ให้กับแฟรนไชส์ และในอนาคตเราอาจจะได้เห็น Persona ในแบบ Action RPG กันอีกก็เป็นได้

การกลับมาครั้งนี้ของเหล่า Phantom Thieves ถือว่าเป็นการทิ้งท้ายและลาจากกันจริง ๆ ก่อนที่จะเข้าสู่ Persona 6 กันอีกทีอย่างเป็นทางการครับ

แต่ถึงแบบนั้น SMT V ก็ต่อคิวรออยู่นะ และแน่นอนว่าผมเองก็รอที่เล่นไม่ไหวแล้ว Atlas….

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส