[Review] Returnal เมื่อ Dark Souls เวียนว่ายตายเกิดมาเจอกับเกมแนว Roguelike
Our score
9.0

Returnal

จุดเด่น

  1. Gameplay ที่สนุก รวดเร็ว ตื่นเต้น เร้าใจ เข้าใจง่าย
  2. กราฟิกและการ Optimize ที่ทำออกมาได้ดีมาก สำหรับเกมที่อยู่ใน PS5
  3. เนื้อเรื่องราวกับนิยาย Sci-fi ขายดี มีความน่าติดตาม มีอะไรให้ค้นหาตลอดเวลา
  4. ระบบ Haptic Feedback และ 3D Audio ที่มอบประสบการณ์ Next-Gen ให้จริง ๆ

จุดสังเกต

  1. ยาก โหดเหี้ยม ดุร้าย ทารุณ เลือดเย็น ไม่เหมาะสำหรับทุกคนแน่นอน
  2. มีบัคในบางจุด และไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากต้อง Restart เกมใหม่เท่านั้น ส่งผลให้ต้องกลับไปเริ่มเล่นใหม่ตั้งแต่ต้น (ตามรูปแบบของ Roguelike)
  • GAMEPLAY

    9.0

  • GRAPHICS

    9.0

  • STORY

    9.0

  • PERFORMANCE

    9.0

  • VALUE

    9.0

Returnal เป็นเกมที่ “แปลกมาก” ในมุมของผู้เล่นคนทั่ว ๆ ไปที่อาจจะไม่ได้สนใจเกมแนว Roguelike อย่างพวก Hades, Dead Cells, Risk of Rain 2 หรือ Souls-Likes อย่างพวก Dark Souls, Sekiro, NioH, เพราะ 2 แนวเกมนี้มันเป็นเกมที่เฉพาะกลุ่ม อารมณ์มันจะคล้าย ๆ กับเกมแนว Sport, Racing ที่ก็เฉพาะกลุ่มเช่นกัน แต่ สิ่งที่แตกต่างกันก็คือในเกมแนว Sport, Racing นั้นใคร ๆ ก็สามารถเข้าถึง และเล่นพร้อมกับสนุกไปกับมันได้ง่าย ๆ

แต่ในขณะเดียวกัน เกมอย่าง Souls-Like นั้นเป็นอะไรที่ยกระดับไปอีกขั้นสำหรับเกม Action RPG และเข้าถึงค่อนข้างยาก ถึงแม้ว่ามันจะมีระบบการเล่นที่แสนจะง่าย และการที่จะเรียนรู้ และดึงความสามารถที่อยู่ในตัวเราออกมาใช้ให้สูงที่สุดนั้น มันเป็นเรื่องที่ไม่ได้จะทำกันง่าย ๆ และต้องใช้ประสบการณ์สูงมาก

จนมาถึงเกมแนว Roguelike สำหรับคนที่เล่นเกมฟอร์มยักษ์ระดับ AAA มาตลอด ก็อาจจะไม่รู้จัก หรืออาจจะไม่เคยเล่นเกมแนวนี้เลยก็เป็นได้ ส่วนมากแล้วเราจะเห็นเกมแนวนี้อยู่ในตลาดอินดี้เสียส่วนมาก อย่างเช่นเกม The Binding of Isaac, FTL: Faster than Light, Risk of Rain 2, Hades, Darkest Dungeon

โดยเกมพวกนี้จะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน ก็คือเราจะได้ตะลุยด่านเล่นกันเป็นรอบ ๆ ไป โดยถ้าหากเราตาย เราก็ต้องกลับมาที่จุดเริ่มต้นใหม่ ไม่ว่าเราจะผ่านไปได้ไกลแค่ไหนก็ตาม รวมไปถึง Progression ตัวละคร Item ทุกอย่างก็จะหายไปหมด แต่มันก็จะมีบางอย่างที่จะอยู่ติดตัวกับเรา และมันจะช่วยให้เราผ่านด่านที่เคยผ่านมาแล้วง่ายขึ้น

โดยเกมที่ผมคิดว่าน่าจะเหมาะที่สุดสำหรับมือใหม่ก็คือ Hades ที่ได้หยิบเอาส่วนประกอบของเกมแนว Roguelike มาใช้งานได้ดีที่สุดแล้ว และเป็นอีกหนึ่ง Game of the Year ประจำปี 2020 ที่แฟน ๆ เกม Action RPG แบบ Hack and Slash นั้นห้ามพลาดเด็ดขาด


แต่ก่อนที่เราจะสาธยายเรื่องแนวเกมกันไปมากกว่านี้ เรากลับมาพูดถึง Returnal กันต่อครับ สาเหตุผมต้องหยิบสองแนวเกมด้านบทมาอธิบายให้สำหรับผู้ที่อาจจะไม่รู้จัก ก็เพราะว่า Returnal นั้น มันได้เอาสองแนวเกมนี้มาผสมเข้าด้วยกัน และทำให้มันกลายเป็นเกมที่ ‘โหดเหี้ยม ดุร้าย ทารุณ เลือดเย็น’ มากที่สุดในชีวิตการเล่นเกมของผมเลยล่ะ

ขอบคุณ Sony Interactive Entertainment สำหรับตัวเกมที่ใช้รีวิวในครั้งนี้ครับ


Story


ภายในเกมนี้เราจะได้รับบทเป็น Selene นักบินอวกาศสาววัยกลางคน ที่กำลังทำภารกิจสำรวจดวงดาวอยู่ดี ๆ ก็ดันเกิดอุบัติเหตุยานตกมาที่ดาว Atropos ซึ่งเธอได้ตามสัญญาณมาที่ดาวดวงนี้ และในขณะที่เธอกำลังสำรวจอยู่นั้น เธอก็ได้ไปเจอกับศพของนักบินที่ใส่ชุดแบบเดียวกับเธอ ก่อนที่เธอจะพบเจอกับ Alien ที่เข้ามาทำร้ายเธอ แต่เธอก็พลาดท่าโดยพวกมันฆ่าตายอย่างเลือดเย็น

ก่อนที่เธอจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง และพบว่าตัวเธอได้กลับมาอยู่จุดเริ่มต้นหลังจากยานของเธอตก และมันก็จะเป็นแบบนี้ไปตลอดทุก ๆ ครั้งที่เธอตาย จนทำให้เธอได้รู้สึกตัวเองแล้วว่าตอนนี้เธอติดอยู่ใน Time Loop ที่ไม่รู้จบ แต่ทุก ๆ ครั้งที่ตาย เธอก็ยังคงจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าได้ตลอด

ตัวเกมได้นำเอานิยาย Sci-fi สำรวจอวกาศง่าย ๆ มาผสมกับความเป็น Psychological Horror ที่ตัวเกมได้สร้างบรรยากาศความน่ากลัวในแบบของมันเองออกมา โดยที่มันไม่จำเป็นต้องสร้างหรือภาษาวัยรุ่นที่เรียกกันว่า “บิลต์” บรรยากาศให้มันน่ากลัว เพราะแค่สภาพแวดล้อม รวมไปถึงพล็อตเรื่องของมันเองก็มีความลึกลับและหลอนมากพออยู่แล้ว

ยกตัวอย่างเช่นเกมอย่าง The Evil Within, Silent Hill, Alan Wake, F.E.A.R, Layers of Fear เองก็เป็นเกมสยองขวัญแนว Psychological Horror ทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ทำให้เกมเหล่านี้แตกต่างกันออกไป ก็คือแนวทางการเล่าเรื่อง และแนวเกมของตัวเอง โดยทุกเกมก็ได้สร้างผลงานที่น่าจดจำกันออกมาในรูปแบบของตัวเองไป

นักบินอวกาศปริศนา ที่จะทำให้คุณกลัวได้โดยไม่ต้องทำอะไรมากเลย

และสำหรับ Returnal เองนั้นก็ต้องบอกว่ามันเล่าเรื่องได้ดีมาก ๆ ตลอดการเล่นมันทำให้ผมอยากจะรู้เรื่องราวของ Selene รวมไปถึงสาเหตุของ Time-Loop และอารยธรรมของพวกเอเลียนผ่านการอ่านไฟล์ภายในเกม ที่ทำให้ผมอยู่กับมันได้ทั้งวัน ราวกับว่าตัวเองก็ถูกดูดเข้าไปใน Time-Loop ครั้งนี้ รู้ตัวอีกทีก็ตี 4 กว่า ๆ จนไม่ได้นอน ก่อนที่จะตื่นมาตอน 10 โมงเช้า และกลับไปเข้าไปใน Loop เดิมอีกครั้ง


Gameplay


Returnal เป็นเกมแนว Third-Person Shooter ที่หยิบเอาส่วนประกอบของเกมแนว Roguelike กับ Soulslike เข้ามาผสมเข้าด้วยกัน Gameplay หลัก ๆ ก็จะเป็นการเดินหน้ายิงตะลุยด่านไปเรื่อย ๆ เก็บสะสมไอเทม Artifact ที่จะช่วยให้เรามีความสามารถสูงขึ้น หรือพวก Parasite ที่จะมอบความสามารถพิเศษให้กับเรา แต่ต้องแลกมากับความสามารถด้านลบบางอย่าง รวมไปถึงอาวุธใหม่ ๆ ที่จะแบ่งระดับความแรง และประเภทกันออกไป

โดยอาวุธแต่ละชนิดนั้นจะมีความสามารถแยกไปในตัวเองอีกด้วย เช่นปืนพกกระบอกนี้ จะสามารถยิงเลเซอร์บีมได้ หรือปืนพกอีกกระบอกนึงก็จะสามารถยิงลูกจรวดมิสไซล์ติดตามเป้าหมายได้ และในเกมนี้จะมีอาวุธให้ใช้อยู่ไม่เยอะมาก แต่ด้วยการที่อาวุธแต่ละประเภทมันมีความสามารถต่างกัน มันก็สร้างความหลากหลายในการเล่นได้แต่ละรอบ

ให้ความรู้สึกเหมือนเล่น Space Shooter แบบ 3D เลยทีเดียว

โดย Gameplay หลัก ๆ นั้นจะมีความเร็วค่อนข้างสูงมากเลยทีเดียว เหล่าศัตรูจะโจมตีเราด้วยก้อนพลังงานแบบเดียวกับที่เราเห็นได้ในเกม Space Shooter ต่าง ๆ โดยนอกจากที่เรายังต้องยิงศัตรูให้ตายแล้ว เราก็ต้องมาคอยหลบกระสุนพลังงานพวกนี้ด้วย และผมบอกเลยว่ามันจะยิ่งโหดขึ้นเรื่อย ๆ เรียกได้ว่าเหมือนกับเล่น Space Shooter ในแบบ 3D เลยก็ว่าได้

Adrenaline Level 5 บอกเลยว่า ไม่หวั่นแม้มันมามาก

นอกจากนี้ตัวเกมก็ยังมีระบบ Adrenaline ที่เป็นเหมือน Chain Combo แบบเดียวกับในเกม Action ทั่ว ๆ ไป ที่จะได้จากการฆ่าศัตรู ที่ถ้าหากเรายิ่งฆ่าได้เยอะ และสะสมมันไปเรื่อย ๆ ค่า Adrenaline มันก็จะเพิ่มระดับไปสูงขึ้น และเราก็จะโจมตีศัตรูแรงขึ้น มีความสามารถพิเศษอื่น ๆ เพิ่มเข้ามา อย่างเช่นมองเห็นจุดอ่อนของศัตรู สามารถ Reload ปืนได้ดีขึ้นเร็วขึ้น โจมตีระยะประชิดแรงกว่าเดิม แต่ถ้าหากเราถูกโจมตี ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามแค่ทีเดียว ค่า Adrenaline นี้ก็จะ Reset และเราต้องมาเริ่มเก็บสะสมกันใหม่

ในระหว่างการเล่นนั้น เราจะได้พบกับร้านค้า Item ที่จะช่วยให้เราผ่านด่านได้ง่ายกว่าเดิม โดยเราจะต้องกำจัดศัตรูในเกมเพื่อนำเอา Obolites (หรือจะเรียกว่าเป็นค่าเงินในเกมก็ได้) นำมาแลก และเพื่อการที่ไม่ให้มันยากเกินไป ตัวเกมจะมีระบบ Checkpoint พิเศษสำหรับผู้เล่นที่ต้องการความปลอดภัยเอาไว้ก่อนอีกด้วย

ตัวเกมจะมีเครื่องเหมือนเป็นจุด Save ให้ โดยเราจะต้องใช้ก้อน Ether (เป็นของมีค่าพิเศษอีกอย่างในเกม) ในการเปิดเครื่องนี้ และเมื่อเราพลาดตาย เราก็จะกลับมาที่จุด Save นี้โดยไม่ต้องเริ่มใหม่แต่ต้น พร้อมกับ Item ต่าง ๆ ก็จะอยู่ครบ เหมือนเป็นเครื่องบันทึกร่างกาย ที่เป็นส่วนหนึ่งใน Lore ของเกมด้วยครับ

พูดถึงระบบ Item กันอีกหน่อย ในเกมนี้มันจะมีกล่องสมบัติ หรือก้อนพลังงานฟื้นฟูพลังชีวิต ที่จะมีพลังงานปนเปื้อนอยู่ และเมื่อเราดันไปเก็บมันขึ้นมา หรือไปเปิดกล่องที่มีพลังงานปนเปื้อนพวกนี้อยู่ มันก็จะมีโอกาสที่ชุดของเราจะทำงานผิดพลาด หรือในเกมนี้มันจะเรียกว่า Malfunction

โดยมันจะทำให้ความสามารถบางอย่างของเราลดต่ำลง เช่นโจมตีเบาลง 50% ตกจากที่สูงแล้วเจ็บมาก ฟื้นฟูพลังชีวิตไม่ได้ อะไรพวกนี้เป็นต้น วิธีแก้ก็มีอยู่ 2 อย่าง โดยวิธีแรกคือเราจะต้องทำการซ่อมชุดโดยการฆ่าศัตรู หรือเก็บ Artifact หรือ Parasite เข้าตัวก็จะซ่อมได้ หรือไม่ก็ต้องใช้ Ether ในการทำความสะอาดก่อนที่จะเปิดกล่อง หรือเก็บไอเทมทีมีพลังงานปนเปื้อนอยู่ครับ

ว่าด้วยเรื่อง Ether แล้ว มันเป็นไอเทมพิเศษที่จะช่วยให้เราเล่นง่ายขึ้นมากจริง ๆ เพราะมันทำได้ทุกอย่างในเกมเลย ตั้งแต่บันทึกจุด Save ของเรา รวมไปถึงช่วยให้เราสามารถเก็บของได้แบบไม่ต้องเสี่ยง โดยเจ้า Ether นี้ จากที่ผมเล่นมาเราจะสามารถหามันได้จาก 3 แหล่ง ก็คือ เก็บได้ตามฉาก(หายากมาก) ฆ่าบอสประจำฉาก และสุดท้ายก็คือ เก็บจากศพผู้เล่นคนอื่นครับ

ตรงนี้เอง ที่ส่วนผสมของ Souls-like ได้เข้ามามีส่วน โดยภายในเกมเราจะมีโอกาสได้พบเจอกับศพของผู้เล่นอื่นที่ตายตามฉากต่าง ๆ และเราสามารถตรวจสอบได้ว่าเขาตายยังไง ถูกอะไรฆ่า และเมื่อตรวจสอบเสร็จแล้ว เราก็สามารถเลือกได้ว่าจะเก็บของจากศพมา โดยต้องใช้ Ether ในการทำความสะอาด หรือเลือกที่จะแก้แค้นแทนผู้เล่นคนนี้ที่ตาย โดยเราก็จะได้สู้กับกองทัพศัตรูที่ฆ่าผู้เล่นคนนั้น ๆ เมื่อเราจัดการได้แล้ว ก็จะได้ Ether เป็นการตอบแทนครับ

โดยในขณะที่ผม Review อยู่นั้นเป็นช่วงที่เกมยังไม่ได้วางขาย เฉพาะฉะนั้นศพของผู้เล่นอื่นที่ผมเจอก็จะน้อยมาก ๆ เพราะส่วนมากก็จะเป็นสื่อด้วยกันเองทั้งนั้น แต่คิดว่าเมื่อเกมวางขายแล้ว เราน่าจะได้เห็นศพคนอื่นเยอะมากขึ้นครับ

โดยรวมแล้ว ผมไม่มีปัญหาอะไรกับ Gameplay ของ Returnal เลยสักนิดเดียว ตลอดการเล่น 50 ชั่วโมงของผม มันรู้สึกสนุก และวางจอยไม่ได้จริง ๆ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังมีความรู้สึก Love Hate Relationship เข้ามาตลอดระหว่างการเล่น แบบเดียวกับตอนที่ผมเล่น Dark Souls แล้วรู้สึกวางไม่ลง

แต่ Returnal มันเหนือไปกว่านั้น เพราะบทลงโทษของมันเรียกได้ว่าโหดมาก ๆ จากที่ผมอธิบายมาทั้งหมด มันอาจจะฟังดูเป็นเรื่องง่าย แต่เอาเข้าจริงแล้วผมเองใช้เวลาเกือบ 10 ชั่วโมงแรกในการผ่านฉากที่ 2 ของเกม ย้ำว่าเป็นฉากที่ 2 และเป็นบอสตัวที่ 2 ของเกมเท่านั้น แน่นอนว่าถ้าหากใครที่ไม่ชอบเล่นอะไรซ้ำ ๆ ก็อาจจะเบื่อกันไปก่อนได้ครับ

Boss Fight ในเกม ที่เราจะต้องศึกษา Moveset ของมัน ไม่ต่างอะไรกับเกมอย่าง Dark Souls

แต่ถึงแบบนั้น Returnal ก็ได้สอบผ่านในแง่ของเกม Action TPS และความเป็น Roguelike ไปสบาย ๆ ไม่มีข้อกังขาอะไรทั้งสิ้น และเหมาะสำหรับผู้ที่ชอบความโหด ความยากท้าทายชนิดที่ว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรลำบากไปมากกว่านี้แล้วครับ


Graphic


Returnal ได้ดึงเอาศักยภาพของ PlayStation 5 ออกมาใช้ได้อย่างดีเยี่ยมจริง ๆ ทั้งในแง่ของกราฟิกเอง หรือแม้แต่ Performance โดยรวม และการ Optimize ที่ทำออกมาได้ดีมาก ๆ ตัวเกมรันที่ Native 4K 60FPS ขอย้ำอีกครั้งว่า NATIVE 4K ไม่ใช่การนำเอาภาพมา Upscale อะไรทั้งนั้น และยังมาพร้อมกับ Ray Tracing ที่ตัวเกมได้จัดเต็มกับแสงสี เงา และอื่น ๆ อีกมากมาย

ตัวเกมสามารถรักษาเฟรมเรตไว้ได้ที่ 60FPS ตลอดเวลา มีตกไปเหลือ 45-50 น้อยมาก ๆๆ ในบางจุดที่มีศัตรูเยอะมาก ๆ และเกิดการระเบิดพร้อมกัน แต่นอกจากนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรเลยครับ

ในงานด้านการออกแบบ ถือว่าทำได้ดี เพราะมันทำให้ผมได้รู้สึกเหมือนไปเหยียบดาวเอเลียนจริง ๆ การออกแบบฉากที่ทำมาดี ไม่รู้สึกว่ามันยุ่งยาก หรือน่าเบื่ออะไรเมื่อต้องเล่นซ้ำ ๆ หลาย ๆ รอบ แถมยังมีการนำเอาฉากเดิมมาใช้ซ้ำได้อย่างสร้างสรรค์อีกด้วย (ตามสไตล์ของเกมแนว Roguelike)


สรุป


Returnal เป็นหน้าฉากใหม่สำหรับเกมแนว Roguelike ที่ใช้ทุนสูงจนเรียกได้ว่าเป็นเกม AAA Roguelike จริง ๆ เกมแรกเลยก็ว่าได้ (ไม่นับ Diablo นะ) นอกจากนี้ตัวเกมก็ยังได้ดึงเอาศักยภาพของ PlayStation 5 มาใช้ได้ยอดเยี่ยมมากจริง ๆ

ไม่ว่าจะเป็นทั้งกราฟิก แต่ก็ได้เอาความสามารถของ DualSense และ Tempest Engine ที่รองรับ Haptic Feedback ระดับเทพ รวมไปถึง 3D spatial audio และความสามารถของ SSD ที่เหมือนกับว่าตัวเกมไม่มีการโหลดฉากเลย ทำให้เรียกได้ว่ามันเป็นเกมที่มอบประสบการณ์ Next-Gen จริง ๆ และสมกับเป็นเกม Exclusive ของ PlayStation 5 จริง ๆ ครับ

ถ้าหากคุณสามารถก้าวข้ามความเป็น Roguelike ไปได้ และมีความอดทนที่จะเล่นมัน พร้อมกับศึกษามันไป เกมนี้ก็เหมาะกับคุณ แต่ถ้าหากคุณไม่ชอบทำอะไรที่มันซ้ำ ๆ และไม่รู้สึกสนุกกับเกมอย่าง Hades, Dark Souls เกมนี้ก็อาจจะไม่เหมาะกับคุณ

แต่ถ้าหากคุณพลาดเกมนี้ไป มันก็ไม่ต่างอะไรกับการที่คุณพลาดนิยาย Sci-fi ที่มันจะได้รับความนิยมสุด ๆ ในกลุ่มคนที่ชื่นชอบเกมแนวนี้ไปครับ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส