[รีวิวเกม] “Ratchet And Clank: Rift Apart” กู้จักรวาลครั้งใหม่พร้อมกับเกมเพลย์ที่สมกับ PS5!!
Our score
8.9

[รีวิวเกม] “Ratchet And Clank: Rift Apart” กู้จักรวาลครั้งใหม่พร้อมกับเกมเพลย์ที่สมกับ PS5!!

จุดเด่น

  1. กราฟิกให้อารมณ์เหมือนกับแอนิเมชันเกรด A ที่เราสามารถมีส่วนร่วมได้
  2. เกมเพลย์สนุกรวดเร็ว พร้อมกับคลังแสงมากมายที่มีติดตัว
  3. ดีไซน์ของโลกภายในเกมทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมและหลากหลายมาก
  4. DualSense ละเอียดมาก ทำเอาวางจอยไม่ลง

จุดสังเกต

  1. ตัวละคร Ratchet และ Rivet มีรูปแบบการเล่นเหมือนกันมากเกินไปหน่อย
  2. เนื้อเรื่องเรียบง่ายเหมาะสำหรับเด็ก สายฮาร์ดคอร์อาจจะยังไม่สาแก่ใจเท่าไหร่

สำหรับ Ratchet & Clank: Rift Apart ถือว่าเป็นเกม exclusive ใหม่ของ PS5 ที่กำลังจะออกวางจำหน่ายในวันที่ 11 มิ.ย ที่จะถึงนี้ สำหรับใครที่มองข้ามเกมนี้ไปเพราะกำลังคิดว่ามันเป็นเกมเด็กเล่น ก็ขอให้ตัดความคิดนี้ออกไปได้เลย เพราะประสบการณ์การเล่นของเกมนี้ถือว่าเป็นสิ่งใหม่ที่เกมเมอร์ยุคนี้ไม่ควรพลาดจริง ๆ จากตัวอย่างเกมที่ปล่อยออกมาหลายต่อหลายตัวผมบอกเลยว่ามันเป็นแค่น้ำจิ้มเล็ก ๆ เท่านั้นเมื่อนำมาเทียบกับเกมเต็ม

Ratchet & Clank: Rift Apart – Extended Gameplay Demo I PS5

“ขอบคุณ Sony Interactive Entertainment สำหรับตัวเกมที่ใช้รีวิวในครั้งนี้ครับ”

GAME ABOUT

“Ratchet And Clank: Rift Apart” คือเกม Action Shooter Adventure มุมมอง Third-Person ที่ Set-Up โลกอนาคตในห้วงอวกาศแบบ Sci-Fi ซึ่งตัวเกมนำเสนอเรื่องราวต่อจากภาคแรกที่ลงให้กับ PS4 แต่เป็นคนละเหตุการณ์กัน แม้ผู้เล่นจะเริ่มเล่นตั้งแต่ภาคนี้เลยก็สามารถเข้าใจเนื้อเรื่องและสนุกไปตัวเกมได้ แต่ก็จะขาดความอินเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละครบางตัวไปรวมไปถึงไม่เข้าใจ easter egg บางอย่างที่ตัวเกมใส่เข้ามาด้วย

ส่วนใครที่ติดใจกับภาคที่แล้วภาคนี้ก็จะยิ่งทวีคูณความน่าประทับใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะในแง่ของเนื้อเรื่องที่จะมาขยายจักรวาลของตัวเกม บรรดาตัวละครใหม่ ๆ และหน้าเก่า ๆ ที่เราคิดถึง พื้นที่ดวงดาวใหม่ ๆ ที่รอให้เราเข้าไปโลดแล่นผจญภัย กราฟิกที่ถูกยกระดับให้สมกับเกม Next-Gen และที่สำคัญระบบ DualSense จะยิ่งมอบประสบการณ์การเล่นที่ยอดเยี่ยมให้แก่คุณขึ้นไปอีก

สำหรับเนื้อเรื่องในภาคนี้ก็คือ เราจะต้องออกไปกอบกู้จักรวาลจาก DR.NEFARIOUS จักรวรรดิจอมปลอมที่สร้างความปั่นป่วนทำให้เกิดรอบแตกของมิติมากมายในแต่ละดวงดาว ทำให้เราต้องออกเดินทางเพื่อตามหาสิ่งของมาซ่อมแซมรอยแตกและหยุดเรื่องราวแสนวุ่นวายทั้งหมดนี้ให้ได้ โดยการผจญภัยคราวนี้เราจะได้รับการช่วยเหลือจาก Lombax สาวอย่าง Rivet ที่จะมาเป็นอีกตัวละครที่เราสามารถเล่นได้อีกด้วย โดยรวมการเล่าเรื่องของเกมนี้จะให้อารมณ์เหมือนเรากำลังนั่งดูแอนิเมชันระดับ AAA เรื่องนึงที่เราสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมได้ แม้เนื้อเรื่องจะไม่ได้เข้มข้นมากและดูเหมือนสร้างมาให้เหมาะสมสำหรับเด็ก แต่โดยรวมก็ถือว่าทำออกมาได้ยอดเยี่ยมแม้คนเล่นจะเป็นผู้ใหญ่ก็สามารถเพลิดเพลินไปกับตัวเกมได้ไม่ยาก

GAME PLAY

แอ็กชันรวดเร็ว สมาธิต้องมา

สำหรับเกมเพลย์ของเกมนี้นั้นก็เหมือนเกม Action Shooter อื่น ๆ ที่เราจะต้องวิ่งหลบยิง จนกว่าจะเอาชนะศัตรูทั้งหมดได้ ศัตรูเกมนี้ก็ไม่ค่อยเก่งอะไรมากมายนัก แต่ทว่าจำนวนของมันที่โผล่มาให้เราสู้ในแต่ละครั้งคือเยอะมาก นั่นจึงทำให้การต่อสู้แต่ละครั้งมันค่อนข้างจะออกแนวตะลุมบอนซะส่วนใหญ่ ใน 1 ซีน 1 ฉาก มีอะไรเกิดขึ้นตรงหน้าจอเราเยอะมาก ไม่ว่าจะศัตรู NPC ประกอบฉากที่วิ่งวุ่น ฉากหลักที่สุดแสนจะวุ่นวาย เศษชิ้นส่วนของศัตรูที่กระเด็นหลุดของมาเป็นชิ้น ๆ ไอเทมที่เราเก็บได้ และรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เต็มไปหมด ทำให้เราต้องเคลื่อนไหวสังเกตและระมัดระวังสิ่งรอบตัวแทบจะตลอดเวลา ทำให้อาจจะไม่เหมาะสำหรับคนที่เป็น motion sickness เท่าไหร่

นอกจากนี้ตัวเกมยังมี Puzzle ให้ผู้เล่นลับสมองประลองปัญญาสอดแทรกมาให้ได้เล่นเป็นครั้งคราว บ้างก็ต้องแก้เพื่อผ่านไปข้างหน้า บ้างก็มาในรูปแบบมินิเกมที่มีรูปแบบเกมเพลย์ฉีกออกจากรูปแบบเดิมไปเลย ซึ่งโดยรวมก็ถือว่าไม่ยากไม่ง่ายจนเกินไป สนุกดี

ตัวละครเรามันคือคลังแสงเคลื่อนที่ได้ชัด ๆ !!

โดยไฮท์ไลท์ของแอ็กชันภายในเกมนี้คงจะหนีไม่พ้นการใช้ปืนหลากหลายรูปแบบรับมือกับสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป และเกินคาดมาก ๆ ผมไม่คิดว่าเกมนี้จะมีปืนให้เราเลือกใช้หลากหลายได้ขนาดนี้ ไม่ว่าจะปืนยิงระเบิด ปืนลูงซอง ปืนกล ปืนดาวกระจาย และอื่น ๆ อีกเพียบมากกว่า 20 ชนิดเลย ซึ่งเพิ่มความยืดหยุ่นในการเลือกใช้งานของผู้เล่นมาก ๆ นอกจากนี้หากเราถนัดปืนไหนเป็นพิเศษและใช้งานมันบ่อย ๆ เราจะสามารถปลดล็อกเลเวลของปืนนั้น ๆ เพื่อขยายช่องที่สามารถอัปเกรดได้เพิ่ม เราสามารถปลดล็อกปืนใหม่ ๆ เพิ่มผ่านการสะสมเศษน็อต (ค่าเงินในเกม) ที่ได้จากการตีกล่องตามทางหรือปราบศัตรูไปซื้อกับ NPC

แต่ต้องบอกก่อนว่าตัวเกมค่อนข้างเหมือนจะบังคับให้ผู้เล่นพยายามใช้ปืนให้หลากหลายในการสู้แต่ละครั้ง เพราะกระสุนปืนเกมนี้แต่ละกระบอกหมดไวมาก ๆ ถึงขนาดผมเคยไม่เหลือกระสุนปืนเลยสักกระบอกจนต้องใช้อาวุธตีใกล้ไปไล่หวดมอนก็มี (ฮา) ใช่ครับ เกมนี้มีอาวุธตีใกล้ให้เราใช้งานด้วย ซึ่งก็เป็นอันเดียวกันกับภาคก่อนแต่ที่น่าเสียดายคือ combo ของอาวุธนี้แทบไม่มีเลย ทำได้แค่ตี ๆ และก็ปาใส่ศัตรูเหมือนบูมเมอแรงเท่านั้น ผู้เล่นที่ชอบเล่นอาวุธ melee อาจจะยังไม่ค่อยรู้สึกสะใจเท่าไหร่นัก

บอสไฟต์รัว ๆ กลัวไม่เร้าใจ

จัดหนักจัดเต็มกลัวผู้เล่นไม่เร้าใจมั้งสำหรับภาคนี้ เพราะนอกจากตัวเกมจะประเคนกองทัพศัตรูมามากมายมาให้เราได้สู้แล้ว ผมยังมีความรู้สึกว่าบอสหรือมินิบอสนี่เจอบ่อยมาก ๆ เจอแทบจะทุก ๆ ครึ่งชัวโมงการเล่นเลย ซึ่งการสู้กับบอสเกมนี้ก็ทำออกมาได้สนุกดี การได้จัดอาวุธหนักในคลังแสงของเราประเคนอัดบอสก็เป็นอะไรที่สะใจมาก ๆ ติดอยู่อย่างเดียวคือพอช่วงหลัง ๆ พวกมินิบอสที่โผล่มาให้เราสู้นี่มักจะมีแต่หน้าเดิม ๆ ไม่ค่อยมีความหลากหลายเท่าไหร่นัก

การเล่าเรื่อง 2 timeline ผ่านตัวละคร Ratchet และ Rivet

จากตัวอย่างเกมได้มีการเปิดเผยให้เราได้เห็นตัวละคร Rivet ตัวละครใหม่ที่เป็น Lombax ผู้หญิง ที่จะมามีบทบาทสำคัญมาก ๆ ในเกมภาคนี้ โดยเราจะได้เล่นสลับกับตัวละคร Ratchet แยกกันไปทำภารกิจต่าง ๆ ในดาวแต่ละดวง ซึ่งการกระจายบทถือว่าโอเคและลงตัวมาก ๆ แต่ในแง่ของเกมเพลย์ 2 ตัวละครนี้ไม่มีความแตกต่างกันเลยยกเว้นรูปร่างและแอนิเมชันบางอย่าง แต่ combat อาวุธที่มีให้ใช้ได้นั้นมันเหมือนกันเป๊ะ ๆ อย่างกับใช้คลังอาวุธร่วมกัน เช่น ตัวนึงอัปเกรดอาวุธอะไรมาอีกตัวก็จะได้อัปตาม ทั้ง ๆ ที่อยู่คนละ timeline กันชัด ๆ ข้อดีก็คือไม่ต้องฟาร์มอะไรมากมายแชร์ของร่วมกันเล่นง่ายดี แต่ข้อเสียก็คือขาดความหลากหลายไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าเล่นตัวละครใหม่สักเท่าไหร่

การผจญภัยในแต่ละดาว คือโคตรสุด!!

สำหรับเกมนี้การออกผจญภัยของเราจะถูกแบ่งโซนพื้นที่เป็นดาวแต่ละดวง จบดาวนี้ต่อดาวนู้น โดนดึงไปมิตินู้นย้อนกลับไปมิตินี้เรื่อย ๆ ซึ่งการเดินทางส่วนใหญ่จะเป็นเส้นตรงตามเนื้อเรื่องไปเรื่อย ๆ อาจจะมีจุดแวะฟาร์มตามฉากได้บ้างแต่ก็ไม่ได้กว้างขนาด Open-World แต่ทุก ๆ การเดินทางในแต่ละดาวนี่โคตรสุด สุดจริง ๆ แต่ละดาวถูกดีไซน์ระบบนิเวศได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะบรรยากาศ การใช้ชีวิตของสิ่งมีชีวิตแต่ละดาว เกมเพลย์ที่สอดแทรกให้เราได้เล่นในแต่ละดาว มันมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทำให้ในทุก ๆ ครั้งที่เราต้องไปยังดาวดวงใหม่ ๆ นี่คืออดตื่นเต้นไม่ได้ทุกครั้งจริง ๆ และที่สำคัญดวงดาวที่เราสามารถไปสำรวจได้นั้นมีเยอะมาก ๆ เยอะขนาดที่ว่าพอผมเล่นถึงช่วงท้าย ๆ ยังตกใจว่าเห้ย!! ยังไม่หมดอีกเหรอ ยังมีดาวที่ไปได้เพิ่มขึ้นมาอีกเหรอ? คอนเทนต์ไม่รู้จะเยอะไปไหน จัดเต็มจริง ๆ ฮะ

ซื้อมาเล่นเพราะ DualSense ก็ถือว่าคุ้มแล้ว

อีก 1 คำถามที่หลายคนอาจจะสงสัยว่า DualSense ของเกมนี้มันละเอียดขนาดไหน? ผมก็ต้องบอกว่าละเอียดในระดับนึงเลย นี่ถือว่าเป็นอีกเกมของ PS5 ที่ทำให้ผมต้องกำจอยเต็ม 2 มือตลอดเวลาเพราะไม่อยากพลาดระบบสั่นแม้แต่ช่วงเดียว ปืนทุกกระบอกในเกมนั้นล้วนให้สัมผัสจอยที่แตกต่างกันออกไปอย่างชัดเจน บางปืนกดน้ำหนักได้ 2-3 ระดับก็ให้แอนิเมชันที่แตกต่างกัน การเดินซ้ายขวาก็สั่นแยกชัดเจน เสียงทุบก็ให้ความรู้สึกสัมผัสที่แตกต่างกันไปในแต่ละวัตถุ หรือแม้แต่ตอนเก็บเศษน็อต (ตังค์ในเกม) ก็ให้ความรู้เหมือนน็อตหลากหลายอันเด้งเข้ามาใส่มือรัว ๆ เฉพาะตอนนี้ผมมองว่าระบบของ DualSense เกมนี้ยังเป็นรองแค่ ASTRO’s PLAYROOM เท่านั้น

GRAPHIC

นี่มันคือแอนิเมชันที่เราสามารถเข้าไปเล่นได้ชัด ๆ แม้ในภาคแรกเกมเพลย์กับฉากคัตซีนของเกมจะให้คุณภาพกราฟิกที่แตกต่างกันไปหน่อยก็ตาม แต่สำหรับ Ratchet And Clank: Rift Apart นั้นเกมเพลย์กับคัตซีนนี่อยู่ในคุณภาพระดับเดียวกันเลย สามารถเล่นด้วยภาพระดับ 4K 60FPS ลื่น ๆ ตลอดทั้งเกม อาจจะมีตกไปเหลือ 45-50 บ้างในจังหวะที่ศัตรูเยอะ ๆ และมีระเบิดตู้มตามในฉากหลายจุด แต่ก็ไม่ใช่การกระตุกจนเสียอรรถรสในการเล่นเลย ซ้ำยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก ๆ

ตัวเกมดึงศักยภาพของ PlayStation 5 ออกมาใช้ได้อย่างดีเยี่ยมจริง ๆ ไม่ว่าจะตัว SSD ที่ทำให้การโหลดฉากแทบจะไม่เสียเวลารอเลย หรือระบบข้ามมิติอย่างไร้รอยต่อราวกับ Long-Take ที่ให้อารมณ์ลื่นไหลตลอดการเล่นไม่มีสะดุด แสงเงาคมชัด รายละเอียดยิบ ๆ ย่อย ๆ อย่างตอนที่เศษชิ้นส่วนของศัตรูกระเด็นออกจากร่างกายก็เรนเดอร์ออกมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ตัวละครตามฉากล้วนมีปฏิสัมพันธ์กันแบบ Real-Time พอรายละเอียดเล็ก ๆ น้อยเหล่านี้ถูกประกอบให้เห็นอยู่ในฉาก ๆ เดียวทำให้ตัวเกมดูมีมิติและมีชีวิตชีวามาก ๆ เรียกได้ว่านี่คือเกมภาพแอนิเมชัน 3D ที่ยอดเยี่ยมที่สุดขณะนี้เลยว่าได้

การดีไซน์โลกของ Ratchet And Clank: Rift Apart ถือว่าเป็นอะไรที่ไม่พูดถึงเลยไม่ได้ การได้เห็นได้สำรวจสิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศของแต่ละดาวคือความบันเทิงอย่างแท้จริง ทุก ๆ ดาวที่เราย่ำขาลงไปเดินจะได้พบกับสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของดาวดวงนั้น ๆ เสมอ ทำให้ตลอดการเล่นมีแต่ความแปลกใหม่โผล่ขึ้นมาให้เราตื่นตาตื่นใจเสมอ

สรุป

Ratchet And Clank: Rift Apart ถือว่าเป็นเกม 3D แอนิมเชันที่ควรยกให้เป็นเกมระดับ AAA ได้เลย ตัวเกมได้ดึงศักยภาพของเครื่อง PlayStation 5 มาใช้ได้อย่างยอดเยี่ยมมาก ไม่ว่าจะความสามารถของ DualSense Graphic ที่สมกับเป็นเกม Next Gen ระบบเสียง 3D audio ที่แยกเสียงได้อย่างละเอียดและชัดเจน ตลอดการเล่นกว่า 15 ชั่วโมงของผมได้ให้ประสบการณ์การเล่นที่ยอดเยี่ยมจนพูดได้เต็มปากว่าเกมนี้เหมาะสมกับเป็นเกม Exclusive ของ PlayStation 5 แล้ว

แม้เนื้อเรื่องจะยังไม่ค่อยเข้มข้นถึงขนาดถูกใจสายฮาร์ดคอร์ได้ เพราะก่อนอื่นก็ต้องยอมรับว่าเกมนี้เหมือนถูกสร้างมาเพื่อจับกลุ่มผู้เล่นที่เป็นเด็กซะส่วนใหญ่ แต่ถ้าหากเปิดใจเล่นจริง ๆ ก็ยังถือว่าตัวเกมมีสตอรี่ที่ดูได้เพลิน ๆ เสมือนเรากำลังนั่งดูแอนิเมชันดี ๆ สักเรื่อง และถึงแม้คุณจะไม่เคยเล่นตัวเกมภาคเก่ามาก่อน คุณก็สามารถเริ่มเล่นตั้งแต่ภาคนี้ได้เลย เพราะเนื้อเรื่องถือว่านำเสนอคนละเหตุการณ์กัน แต่อาจจะไม่ค่อยอินเรื่องความสัมพันธ์ของบางตัวละครเท่านั้นเอง นอกจานี้เกมเพลย์เกมนี้ค่อนข้างจะไวทำให้อาจจะไม่เหมาะสำหรับคนที่เป็น motion sickness เท่าไหร่

เพราะฉะนั้นหากคุณมีเครื่อง PlayStation 5 อยู่ในมือเกมนี้ก็ถือว่าเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ แนะนำว่าต้องลองครับผม