[รีวิวเกม] Mass Effect Legendary Edition คืนชีพมหากาพย์ไซไฟ RPG ระดับตำนาน ให้เกมเมอร์ฟินกันยาว ๆ ในแบบ 4K
Our score
8.8

Mass Effect Legendary Edition

จุดเด่น

  1. สัมผัสจักรวาล Mass Effect แบบ 4K ลื่นปรื๊ด เสียงดังฟังชัด
  2. เกมปรับระบบภาค 1 แบบยกเครื่องและยังปรับภาค 2 และ 3 ให้เล่นได้สนุกกว่าเดิม
  3. อัดแน่นด้วยเนื้อเรื่องสุดเข้มข้นให้เล่นเป็น 100 ชั่วโมง
  4. การตัดสินใจของผู้เล่นที่ส่งผลต่อเส้นเรื่องยาวนานถึง 3 ภาคถือเป็นฟีเจอร์ที่หาจากเกมไหนไม่ได้แล้ว

จุดสังเกต

  1. Mass Effect ภาคแรกยังคงมีองค์ประกอบเกมที่ “ตกยุค” เหลืออยู่พอสมควร
  2. คุณภาพของการ “รีมาสเตอร์” ไม่ได้เท่าเทียมกันทุกภาค
  3. บั๊กจุกจิกกวนใจยังมีให้เห็นประปราย

“Mass Effect” ชื่อซีรี่ส์นี้อาจจะฟังดูไม่ขลังเท่าไหร่สำหรับเกมเมอร์รุ่นใหม่ในยุคนี้ แต่สำหรับคอเกมรุ่นเก๋าทั้งหลาย นี่คือหนึ่งในไตรภาคเกมสวมบทบาทที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ที่สำคัญกว่าคือมันยังเป็นมหากาพย์ไซไฟอวกาศที่มีเรื่องราวสนุกน่าติดตามที่สุด สนุกจนถึงขั้นนำไปเทียบชั้นกับภาพยนตร์หรือซีรีส์อวกาศดี ๆ เรื่องหนึ่งได้เลยทีเดียว น่าเสียดายที่กาลเวลาล่วงเลยมากว่า 10 ปีแล้วหลังจากยุครุ่งโรจน์ของ Mass Effect และเราอาจจะไม่ได้สัมผัสประสบการณ์อันยอดเยี่ยมแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว… แต่เดี๋ยวก่อน! จู่ ๆ ทาง EA และทีมพัฒนา Bioware ก็ดันตัดสินใจนำเกม Mass Effect ภาค 1 2 และ 3 มาปัดฝุ่นพร้อมกับขัดสีฉวีวรรณใหม่ซะงั้น ชุบตัวเสร็จแล้วก็มัดแพ็กปล่อยขายใหม่ในนามว่า “Legendary Edition” กันแบบสด ๆ ร้อน ๆ เปิดโอกาสให้เกมเมอร์ทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่าได้สัมผัสถึงยุคทองของเกมแอ็กชัน RPG แบบเล่นคนเดียวของแท้และดั้งเดิม ว่าแต่เสน่ห์ของ Mass Effect จะยังคงขลังเหมือนเดิมในวงการเกมปี 2021 ไหมนะ? 

ขัดเกลาไตรภาคอวกาศเวอร์ชัน “ตำนาน” จนเงาวับ

ก่อนอื่นเรามาว่ากันถึงจุดที่โดดเด่นที่สุดของเกม Mass Effect Legendary Edition กันก่อน ซึ่งแน่นอนว่ามันคือเรื่องของคุณภาพงานภาพและงานเสียงที่ดีขึ้นกว่าเกมเวอร์ชันต้นตำรับอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเกม Mass Effect ภาค 1 และภาค 2 ที่ได้รับการขัดเกลาจนน่าดูชมไม่ต่างจากเกมอื่น ๆ ในยุคปัจจุบัน ด้วยงานภาพเท็กซ์เจอร์ที่ละเอียดระดับ 4K พร้อมกับเฟรมเรตที่ลื่นหัวแตกจนสามารถพุ่งไปแตะ 120 fps ในเครื่อง PC และคอนโซลเน็กซ์เจนได้สบาย ส่วนคุณภาพเสียงก็ได้รับการขัดเกลาใหม่จนเสียงเอฟเฟกต์ปืนฟังดูหนักแน่นทรงพลังแทบทุกกระบอก เสียงพูดของตัวละครในบทสนทนาส่วนใหญ่ก็ชัดเจนขึ้นจนไม่ต้องเงี่ยหูใกล้ลำโพงอีกต่อไป และเสียงดนตรีประกอบเกมแบบเพลงเทคโนผสมออเคสตร้าก็ฟังระรื่นหูมาก ที่สำคัญเกมยังโหลดเร็วกว่าเดิมมากราวกับเพิ่งเอาเครื่องยนต์ความเร็วแสงมาติดตั้ง กะพริบตาไม่กี่ทีก็พร้อมให้ลุยจักรวาลกันต่อแล้ว บางคนอาจจะสงสัยว่าแค่การปรับโฉมภาพเสียงอะไรเทือกนี้มันส่งผลกับความสนุกเกมด้วยเหรอ? ก็ต้องขอบอกตรงนี้เลยว่าภาพคม ๆ เสียงดี ๆ และเฟรมเรตเกมลื่น ๆ ช่วยให้เกมสนุกกว่าเดิมได้อีกเยอะเลยนะครับ ฟันธง! 

อีกเรื่องหนึ่งที่ดีขึ้นกว่าเดิมมากใน Mass Effect Legendary Edition ก็คือการที่ระบบเกมเพลย์ของภาคหนึ่งได้รับการพัฒนาแบบยกเครื่อง โดยทีมพัฒนา Bioware เขาปรับ UI ของเกมภาคแรกให้ดูใกล้เคียงกับภาค 2 และภาค 3 มากขึ้น ทำให้คุณสามารถดูพลังชีวิตและเรียกใช้ท่าพิเศษจากเหล่าเพื่อนในทีมได้ง่ายขึ้น ทั้งยังปรับระบบการอัปเลเวลให้ผู้เล่นเลือกแบบ Legendary Mode ได้ ช่วยให้คุณสามารถไต่เลเวลจนเต็มแม็กซ์ได้ในการเล่นรอบเดียว โดยไม่ต้องเสียเวลาไปเล่น New Game Plus อีกที และที่สำคัญคือเกมยังปรับ AI ของทั้งฝั่งศัตรูและเพื่อนร่วมทีมให้สู้อย่างฉลาดมากขึ้น ช่วยให้ฉากแอ็คชันในเกมภาคหนึ่งสนุกขึ้นตามไปด้วย ในส่วนของรถหุ้มเกราะ 6 ล้อนามว่า Mako ก็ได้รับการจูนให้ขับขี่ได้คล่องตัวขึ้นบ้าง ขับไหลไปไหลมาน้อยลงหน่อย แต่จะให้บอกว่ามันขับสนุกจนเหมือนเล่นเกมรถแข่งเลยก็คงไม่ใช่ เอาเป็นว่าแค่ขับแล้วรู้สึกปวดหัวน้อยลงเท่านั้นแหละ

นอกจาก Mass Effect ภาคหนึ่ง Legendary Edition ยังได้ปรับปรุงองค์ประกอบปลีกย่อยของเกมทั้ง 3 ภาคอีกเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อช่วยให้ผู้เล่นได้รับประสบการณ์การเล่นที่ลื่นไหลขึ้น เช่น การรวมเมนูเข้าเกมของทั้ง 3 ภาคเอาไว้ให้อยู่ในหน้าเดียว ซึ่งช่วยให้เกมเมอร์สามารถเลือกภาคที่จะเล่นและ Import เซฟเกมข้ามภาคได้ง่ายขึ้น การเพิ่มโมเดลหน้า Shephard เพศหญิงแบบเป็นทางการ (สาวเปรี้ยว ผมแดง นัยน์ตาเขียว)​ ให้เลือกใช้ได้ตั้งแต่ภาค 1 นอกจากนี้ฟีเจอร์การปรับแต่งหน้าตาของ Shephard ก็ได้รับการขัดเกลาให้เลือกได้อย่างหลากหลายเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้ง 3 ภาค 

ส่วนใครที่เป็นเกมเมอร์สายคุ้ม (แบบกระผม)​ ต้องขอบอกตรงนี้เลยว่า Mass Effect Legendary Edition นี่คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม ต่อให้จัดราคาเต็ม 1,899 บาทก็ยังถือว่าคุ้มอยู่ดี เพราะคอนเทนต์ทั้งหมดในแพ็กนี้คือ Mass Effect ภาค 1 – 3 รวมไปถึงภาคเสริม DLC เกือบทั้งหมดที่เคยออกมากว่า 40 ชิ้น เมื่อเอามาคลุก ๆ ผสมกันทั้งหมดก็น่าจะสิริรวมเวลาเล่นแตะหลัก 100 ชั่วโมงได้สบาย ๆ ถึงจะแอบเสียดายนิดหน่อยที่มันไม่ได้มาพร้อมกับโหมดมัลติเพลเยอร์สนุกสุดเพลินของภาค 3 ด้วยก็เหอะ

ของเก่าสุดขลังยังทรงพลังไม่เปลี่ยน

ถ้ามีใครมาถามว่าไตรภาค Mass Effect นั้นเหมาะกับใครพิเศษ? ก็คงต้องตอบไปว่าถ้าคุณเป็นใครก็ตามที่ชอบเนื้อเรื่องไซไฟแนว Star Trek, Star Wars, Star Gate หรือ Star อะไรก็ตามที่อัดแน่นไปด้วยเรื่องราวปูมหลังที่ช่วยสรรค์สร้างโลกออกมาได้อย่างน่าสนใจ รับรองว่าคุณต้องถูกใจไตรภาคนี้อย่างหนักเป็นแน่แท้ นั่นก็เพราะเกมทั้งสามนำเสนอเนื้อเรื่องแนวมหากาพย์ไซไฟอวกาศที่ยิ่งใหญ่อลังการไม่แพ้ภาพยนตร์เรื่องไหน ภายในเกมมีการปูที่มาที่ไปของเอเลี่ยนเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ประวัติศาสตร์ความขัดแย้งระหว่างอารยธรรมเอเลี่ยน รวมไปถึงการเมืองในจักรวาลที่ลงรายละเอียดเอาไว้อย่างจุใจ โดยนำเสนอผ่านการแฝงเนียน ๆ ในบทสนทนาของตัวละครและรายละเอียดของเควสต์ หรือบางทีก็เขียนอธิบายให้ไปอ่านกันเองแบบโต้ง ๆ ในเมนูเกมกันไปเลย 

โดยเกม Mass Effect ภาคแรกจะทำหน้าที่สร้างโลกเกมและปูเรื่องเป็นหลัก อารมณ์เหมือนภาคเปิดของหนังไซไฟผจญภัย ในขณะที่ Mass Effect ภาค 2 จะพาเราไปรู้จักกับตัวละครหลักของเรื่อง ทำความรู้จักกับสหายศึกในทีมคุณให้ดียิ่งขึ้นในเส้นเรื่องที่มืดหม่นกว่าเดิม คล้ายกับซีรีส์อวกาศสุดเข้มข้นที่ไม่มีเส้นแบ่งระหว่างความดีความเลวอย่างชัดเจน ส่วน Mass Effect ภาค 3 คือการเผด็จศึกสงครามอวกาศที่มีชีวิตของเอเลี่ยนทุกเผ่าเป็นเดิมพัน ประมาณว่าภาค Return of the Jedi ของหนังสตาร์วอร์สนั่นแหละ แล้วพอเอาเกม 3 ภาค 3 อารมณ์มารวมกันเป็นเส้นเรื่องเดียว ผลที่ได้คือเกมแอ็กชัน RPG ที่ตอบโจทย์ความต้องการของแฟนไซไฟได้เกือบทุกคนบนโลก

ส่วนเกมเมอร์ท่านใดที่อภิเชษฐ์กับบทสนทนาคม ๆ และดื่มด่ำกับตัวละครในเกมที่มีมิติ น่าสนใจ คุณจะได้ฟินสามบ้านแปดบ้านในไตรภาค Mass Effect นี้อย่างแน่นอน ต้องยกความดีความชอบให้ทาง Bioware ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพงานเขียนในเกมนี้อย่างเต็มที่ตั้งแต่แรก แล้วยังเปิดอิสระให้ทีมเขียนบทสร้างสรรค์งานได้ดั่งใจจนเรียกได้ว่าอยู่ในระดับเดียวกับงานเขียนนิยายไซไฟดี ๆ เลยก็ว่าได้ ที่เด็ดไปกว่านั้นคือทุกบทสนทนาของตัวละครทุกตัวได้รับการพากย์เสียงทั้งหมด 100% แม้แต่ปูมประวัติ (Codex)​ ในเกมบางส่วนยังพากย์เสียงให้เปิดฟังเพลิน ๆ เป็น Audio Book ได้เลย ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบนั่งอ่านนั่งฟังประวัติเรื่องราวเบื้องหลังสำหรับช่วยสร้างบรรยากาศในเกมล่ะก็ คุณจะจมไปกับ Mass Effect ได้เป็นเดือน

อีกจุดที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ก็คือการจะหาเกม RPG ที่ทุ่มทุนสร้างระดับบล็อกบัสเตอร์ แล้วเปิดให้การตัดสินใจต่าง ๆ ของผู้เล่นมีผลกระทบกับเส้นเรื่องในเกมโดยตรงแบบไม่ได้จบในภาคเดียว แต่กินเวลายาวนานถึง 3 ภาค นี่เรียกได้ว่าหาเล่นที่ไหนไม่ได้อีกแล้วในสมัยนี้ ถึงแม้การตัดสินใจหลายอย่างจะส่งผลต่อเนื้อเรื่องแบบกระจิ๋วหลิวมากแต่ส่วนใหญ่มันก็ยังเป็นสีสันที่ช่วยให้เรารู้สึกว่าเรากำลังเขียนเรื่องราวของ Shephard ขึ้นมาด้วยมือตัวเอง ทั้งยังช่วยให้เราอยากเล่นไตรภาคนี้หลายรอบเพื่อดูว่าเหตุการณ์ในจักรวาล Mass Effecft รอบต่อไปจะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง

ปัญหาจุกจิกเต็มจักรวาลยังคงตามมาหลอกหลอน

ถึงแม้ Legendary Edition จะขัดเกลาขึ้นจากไตรภาค Mass Effect เวอร์ชันต้นตำรับหลายจุด แต่มันก็ยังมีตำหนิเหลือเอาไว้ให้เห็นอีกหลายที่เช่นกัน จุดที่แปลกมากเรื่องแรกก็คือยิ่งคุณเล่นเกม Mass Effect Legendary Edition ไปถึงภาคท้าย ๆ มากขึ้นเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งรู้สึกว่าคุณภาพงานภาพและงานเสียงของมันด้อยลงเท่านั้น กลายเป็นว่าภาคแรกภาพและเสียงดีที่สุด ภาพสองก็ดีใช้ได้ แต่พอถึงภาค 3 มันดันดูธรรมดาซะจนแทบไม่ค่อยต่างจากเกมเวอร์ชันแรก ทั้งที่มันควรเป็นภาคที่มีเทคโนโลยีกราฟิกเอนจินที่ทันสมัยที่สุด สาเหตุของความพิลึกนี้คงมาจากการที่ทีมพัฒนาเขาดันไปทุ่มปรับโฉมเกมภาคหนึ่งและภาคสองมากกว่า โดยให้เหตุผลว่าเกมภาค 3 “มันดีของมันอยู่แล้ว” ซึ่งมันก็ดีแหละ… สำหรับเมื่อ 9 ปีที่แล้วอะนะ จุดนี้ถือว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายมากที่ Bioware ดันไม่ให้ความสำคัญกับการปรับโฉมอย่างเท่าเทียมกันทั้ง 3 ภาค นอกจากนี้ภาพยนตร์คั่นฉากของทุกภาคก็ดันไม่ได้รับการขัดเกลมาดีเท่าที่ควร ทำให้ภาพในคัตซีนไม่คมชัดเท่าภาพในเกมเพลย์ด้วยซ้ำ

อีกจุดที่เป็นข้อเสียใหญ่จากไตรภาคดั้งเดิมและแน่นอนว่ายังคงตามมาหลอกหลอนในเวอร์ชันนี้ ก็คือความสนุกของเกมและเนื้อเรื่องที่พอจะถึงโมเมนท์จไคลแม็กซ์ดันไปไม่ถึงฝั่งฝันซะงั้น Mass Effect ภาคแรกออกสตาร์ตได้สวย แล้วก็ไต่ไปจนถึงจุดพีกที่สุดในภาค 2 แต่แล้วโมเมนตัมของเรื่องกลับดิ่งลงเรื่อย ๆ ในช่วงกลางภาค 3 จนแทบจะเรียกได้ว่า “จืด” ในตอนท้าย เหตุก็เพราะทีมพัฒนาไม่รู้จะขมวดปมทางเลือกทั้งหลายของผู้เล่นให้จบสวยได้ยังไงนั่นเอง แต่ก็นั่นแหละ อย่างน้อยเรื่องราวอันยอดเยี่ยมของการเดินทางก็สำคัญกว่าจุดมุ่งหมายสุดท้ายนะ

ส่วน Mass Effect ภาคแรกก็ไม่ได้เลิศเลอไร้ที่ติเช่นกัน เกมยังมีองค์ประกอบหลายอย่างที่ค่อนข้างตกยุคไปแล้วและก็ยังไม่ได้รับการพัฒนาขึ้นสักเท่าไหร่ ทั้งเรื่องระบบแผนที่ในเกมที่ไม่ค่อยจะเป็นประโยชน์กับผู้เล่นเลย ระบบติดตามเควสต์ก็เข้าใจยาก แถมเกมยังไม่ค่อยชี้ทางให้ผู้เล่นรู้ด้วยว่าควรจะเดินไปทางไหน ตามสไตล์เกม RPG ยุคเก่าที่เน้นให้เราเข้าไปอ่านรายละเอียดเควสต์เพื่อหาวิธีผ่านเอาเองนั่นแหละ เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องดีสำหรับคอเกมภาษาแบบฮาร์ดคอร์ แต่มันก็ยิ่งทำให้ผู้เล่นหน้าใหม่เข้าถึงยาก

นอกจากนี้ บั๊กเล็กบั๊กน้อยที่กระจัดกระจายอยู่ในเกมทั้ง 3 ภาคก็ยังไม่ได้หายไปหมด บั๊กที่ทำให้ผ่านเควสต์ย่อยไม่ได้ในภาคหนึ่งก็ยังมีอยู่ บั๊กจากระบบฟิสิกส์ในเกมที่ทำให้ศพศัตรูปลิวว่อนไปติดบนฝ้า กำแพง พื้นจนเหมือนตั้งใจให้ฮาก็ยังอยู่ และการกดใช้ท่าพิเศษที่ติดมั่งไม่ติดมั่งก็ยังมีให้เห็นบ้าง ส่วน AI ของเพื่อนร่วมทีมแม้จะฉลาดขึ้นบ้าง แต่มันก็ยังมีมุมบ๊องให้เห็นอยู่เช่นเคย เอาเป็นว่าถ้าคุณเล่นเกมนี้ด้วยระดับความยากที่มากกว่า Normal เมื่อไหร่ คุณจะได้เห็นเพื่อนล้มกลิ้งเป็นว่าเล่นชัวร์ ยิ่งปล่อยให้เดินลุยเองนี่มีอันต้องใช้ยา Medi-gel ปลุกชีพกันเป็นถัง 

แพ็กรำลึกความหลังสำหรับแฟนรุ่นเก๋า ไตรภาคแอคชัน RPG สนุกสุดเหวี่ยงสำหรับแฟนรุ่นใหม่

Mass Effect Legendary Edition อาจจะไม่ใช่เกมรีเมคที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่มันเป็นดั่งแคปซูลกาลเวลาที่ทีมพัฒนา Bioware เขาขุดออกมาขัดสีฉวีวรรณใหม่ เป็นเหมือนของดีหลงยุคที่ไม่มีใครทำออกมาซะแล้ว และที่น่าเศร้ากว่าคือมันอาจจะไม่มีให้เห็นอีกแล้วในอนาคต เพราะทั้งวงการวิดีโอเกม EA และ Bioware ต่างแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลากันหมด แต่ Mass Effect Legendary Edition ยังไม่เปลี่ยนไป มันยังคงมอบประสบการณ์ความสนุกจากการได้เล่นเกมที่มีเนื้อเรื่องเข้มข้นน่าติดตาม ประสบการณ์การเกมเล่นคนเดียวที่สามารถเล่นแบบคุ้ม ๆ ยาว ๆ ได้เป็น 100 ชั่วโมงแบบไม่ต้องห่วงว่าจะต้องออนไลน์ไปเจอใครบ้าง หรือต้องไปจ่ายเงินซื้อของ Micro-Transaction ในเกมรึเปล่า 

นี่คือโอกาสทองสำหรับคนที่เคยได้ยินเรื่องเล่ากล่าวขานต่อไตรภาค Mass Effect มาเนิ่นนานแต่หาเวลาเล่นไม่ได้ซะที นี่คือเกมแอ็กชันสวมบทบาทที่คุณไม่ควรพลาดหากคุณยังไม่เคยเล่นมาก่อน และสำหรับแฟนเกมเจเนอเรชันเก๋า นี่คือโอกาสที่คุณจะได้กลับไปดื่มด่ำกับช่วงเวลาดี ๆ ของการนั่งเล่นเกมชนิดติดงอมแงมทั้งวันกันอีกรอบ แถมครั้งนี้อาจจะติดกว่าเดิมเพราะภาพก็สวยขึ้นและเกมก็เล่นได้ลื่นกว่าเดิมเยอะเลยด้วย

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส