รีวิวเกม Metroid Dread ตำนานเกม Metroidvania กลับมาอย่างสมบูรณ์แบบ
Our score
9.0

Metroid Dread

จุดเด่น

  1. รูปแบบการเล่นสนุกลงตัวในแบบ Metroidvania
  2. ระบบอัปเกรดตัวละครที่หลากหลาย
  3. ฉากไล่ล่าที่ได้ลุ้นกันตลอด

จุดสังเกต

  1. กราฟิกน่าจะทำได้ดีกว่านี้

ช่วงนี้กระแสแนวทางเกมที่ค่ายเล็ก ๆ นิยมสร้างคงหนีไม่พ้น Metroidvania เพราะใช้ทุนสร้างไม่มากไม่เน้นกราฟิก แต่เน้นเกมเพลย์และการแก้ปริศนา ผ่านรูปแบบการเล่นที่มาแบบ 2 มิติ ทำให้มีการสร้างเกมแนวทางนี้ออกมามากมายจนเล่นแทบไม่ทัน แต่สำหรับคนอยากเล่นต้นฉบับจริง ๆ ของแนวนี้ก็ต้องไปหาภาคเก่า ๆ มาเล่น แต่ล่าสุดนินเทนโดได้เปิดตัว Metroid Dread หนึ่งในต้นกำเนิดแนว Metroidvania กลับมาอีกครั้งบน Nintendo Switch

โดย Metroid Dread เป็นการสานต่อเรื่องราวของซีรีส์ 2 มิติของ Metroid ซึ่งเรื่อวราวจะเกิดต่อจากภาค Metroid Fusion ที่ตัวเอก Samus ได้ออกสำรวจดาวเคราะห์ ZDR และได้พบกันอันตรายใหม่ที่คาดไม่ถึง ซึ่ง Metroid Dread จะได้ทีมงาน MercurySteam ที่เคยสร้าง Metroid: Samus Returns บน 3DS ที่ออกในปี 2017 มาสานต่อความสำเร็จร่วมกับ Nintendo EPD ถือว่าสร้างความประหลาดใจพอสมควรเพราะประกาศเปิดตัวแล้ววางขายเลยภายในไม่กี่เดือน

กราฟิกไม่โดดเด่นแต่ลื่นไหล

ภาพใน Metroid Dread อาจจะไม่ได้โดดเด่นสุดตัว เพราะยังไม่ได้ใส่รายละเอียดเข้าไปในหลายส่วนทั้ง ๆ ที่รูปแบบของเกมสามารถจัดหนักได้มากกว่านี้เพราะเป็น 2 มิติแต่ก็ถือว่าทำได้ระดับดีพอตัวมีคัตซีนที่มีคุณภาพ การนำเสนอมีการใส่มุมมองแปลกใหม่และปรับให้ต่อเนื่องกับเกมเพลย์ 2D อย่างลงตัว แถมยังมีความลื่นไหลไม่มีสะดุดบวกกับความเร็วของการเล่นที่สูงพอตัว แต่ก็ไม่มีอาการกระตุกแถมเวลาโหลดยังไม่นานด้วย ถือว่าสำหรับสเปกของ Nintendo Switch แล้วถือว่าดีแล้วแต่ยังไม่สุดเท่านั้นเอง

ส่วนเพลงประกอบถือว่ายังคงโดดเด่น มาแนวภาพยนตร์อวกาศที่มีเพลงธีมที่หลากหลาย เพราะในฉากไล่ล่าที่ตื่นเต้นมันก็มีดนตรีที่เร้าใจ ส่วนเมื่อตัดเข้าเกมเพลย์ที่ต้องเน้นหลบหลีกหรือมีฉากที่ดูลึกลับก็มีการใส่ธีมที่ดูน่ากลัวเข้ามา และมีเพลงธีมของซีรีส์ Metroid เข้ามาด้วย แม้อาจจะไม่ได้ติดหูเท่ากับเกมอื่นของนินเทนโด แต่โดยรวมแล้วมันมีคุณภาพสูงสมกับการเป็นซีรีส์แถวหน้าของนินเทนโดเช่นกัน ถือว่าลงตัวดีแม้ว่าจะมีบางส่วนจะดูเรียบ ๆ ไปหน่อยก็ตาม

รูปแบบการเล่น Metroidvania ที่ลงตัวที่สุด

เกมเพลย์ที่ยังคงมาแนวทาง Metroidvania แบบ 2 มิติมุมมองด้านข้างที่ดูเข้าใจง่าย ผู้เล่นจะได้รับบทเป็นนักล่าเงินรางวัลสาว Samus Aran ที่มีอาวุธหลักเป็นปืนแสงที่ติดอยู่ที่มือ และต้องออกสำรวจฉากที่เป็นแบ่งออกเป็นห้องที่มีความหลากหลายเพราะบางส่วนก็กว้างมาก แต่บางฉากเน้นความซับซ้อน ที่ภาคนี้ทำออกมาได้ดีแบบไม่มีที่ติ แม้ว่ารูปแบบการเล่นจะไม่ได้สดใหม่ แต่ไอเดียในการออกแบบฉากแนวสำรวจยังคงทำออกมาได้ยอดเยี่ยมไม่เสียชื่อต้นฉบับของเกมแนวนี้

เพราะนอกจากปริศนาในเกมที่ใส่มาจำนวนมากแล้วยังมีการใส่ลูกเล่นของฉากเข้าไป เช่นการหาทางลับที่ซ่อนอยู่ที่ต้องใช้อาวุธหรือความสามารถใหม่เพื่อเปิดทางไปต่อ ถือว่าทำได้ซับซ้อนพอสมควรและไม่มีการบอกให้ไปตรงจุดไหนแบบตรง ๆ หากไม่เคยเล่นซีรีส์ Metroid มาก่อนอาจจะงงแต่หากเป็นแฟนประจำแล้วมันมีความคลาสสิกของซีรีส์มาครบ ๆ เช่นการใช้ระเบิดเปิดทาง ใช้การแปลงร่างเป็นลูกบอลเพื่อกลิ้งไปในที่แคบ และยังใส่มาแบบลงตัวมากสมกับเป็นทีมงานที่ถนัดสร้างเกม 2 มิติ

แอ็กชันรวดเร็วต้องใช้ฝีมือด้วย

แม้ว่า Metroid Dread จะเน้นสำรวจแบบ Metroidvania แต่ในส่วนของแอ็กชันก็ต้องใช้ฝีมือในการเล่นด้วย และเป็นมาหลายภาคแล้วเพราะแม้จะเป็นศัตรูธรรมดาก็จัดการเราให้ตายได้ไม่ยาก แถมยังมีการโผล่ออกมาในจุดที่คาดไม่ถึง แถมยังมีกับดักในฉากรวมทั้งอุปสรรคโหด ๆ อยู่เพียบ แถมการเล่นก็รวดเร็วไม่อืดอาดเหมือนเกมแนวที่เน้นสำรวจส่วนใหญ่ ทำให้มันไม่มีความน่าเบื่อเลยและหากเล่นแล้วยากที่จะวางจอยลงเพราะมันสนุกเทียบเท่าเกมแอ็กชันดี ๆ และผสมกับการแก้ปริศนาขึ้นเทพ

และอย่างที่บอกไปว่าเกมเพลย์รวดเร็วมาก แอ็กชันของตัวละครไม่ได้มีแค่ปืนแสงไล่ยิงศัตรูเท่านั้น ยังมีหลายท่าที่ต้องกดที่โดดเด่นคือการโจมตีระยะประชิดโดยใช้ด้ามปืนฟาดใส่ศัตรูที่ต้องกะจังหวะให้พอดีจะส่งผลให้ศัตรูเสียหายหนัก และยังมีการสไลด์ตัวที่นอกจากจะทำให้เราเข้าไปยังที่แคบได้แล้วยังใช้หลบหลีกได้ด้วย ส่วนบอสในเกมก็ถือว่าไม่ธรรมดาเพราะมันต้องใช้ทั้งฝีมือและการหาจุดอ่อนรวมทั้งต้องเลือกอาวุธที่มันแพ้ทางอีก

ทำให้ผู้เล่นต้องฝึกฝนกันให้ดีถึงจะผ่านไปได้ เพราะมันต้องใช้ความเร็วในการเล่นสูงมาก และยังต้องการกดปุ่มหลายปุ่มพร้อมกันเพื่อใช้อาวุธชนิดใหม่เช่นการใช้จรวด หรือการชาร์จพลังเพื่อยิง ที่พลังของปืนมีหลากหลายมากและจะค่อย ๆ ปลดล็อกออกมา ทำให้อาจจะยุ่งยากแต่หากทำความเข้าใจแล้วก็จะผ่านไปได้แน่ เรียกว่าต้องฝึกฝนและทำความเข้าใจกันสักหน่อย ซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับคนไม่ถนัดแนวนี้นักแต่ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร

การไล่ล่ากับหุ่นล่าสังหารที่สนุก

อีกส่วนที่โดดเด่นมากของภาค Metroid Dread ที่เอามาเป็นตัวชูโรงตั้งแต่แรกคือฉากการไล่ล่ากับศัตรูสุดโหดที่เป็นหุ่นสังหารไล่ล่านาม E.M.M.I ที่โจมตีเพียงแค่ครั้งเดียวก็ตายทันที ทำให้เราต้องหลบหนีแต่ก็ไม่ได้มาโผล่มาตลอดทั้งเกม จะมีบางจุดในฉากที่จะมีหุ่น E.M.M.I อยู่และเราต้องคอยมองว่ามันอยู่จุดไหนบนแผนที่แล้วต้องหลบหลีกไม่ให้มันเจอตัว เพื่อหาทางไปต่ออย่างไรก็ตามแม้ว่ามันจะแข็งแกร่งแต่ก็มีวิธีกำจัดได้ แต่ก็ต้องผ่านไปถึงจุดที่กำหนดและได้อาวุธพิเศษที่สามารถโจมตีเข้าแถมต้องใช้ฝีมือในการเล่นด้วย เรียกว่าเป็นส่วนที่ทำให้เกมโดดเด่นขึ้นมาก แม้ว่าฉากไล่ล่าที่เราต้องหลบหลีกศัตรูมันจะเคยใช้ในภาคเก่ามาแล้วก็ตาม

ระบบอัปเกรดตัวละครที่หลากหลาย

ส่วนการเพิ่มค่าพลังของตัวละครก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ แต่ก็มีไอเทมใหม่และความสามารถใหม่มาให้ใช้งาน ซึ่งเป็นเรื่องดีเพราะวิธีการเหมือนเดิมทำให้ไม่ยุ่งยากเข้าใจง่ายมาก โดยเราจะอัปเกรด Samus ได้ทั้งการเพิ่มจำนวนอาวุธเช่นจรวดที่รุนแรง และยังเพิ่มค่าพลังของชุดเกราะที่จะมีถังพลังงานซ่อนอยู่ในฉากหรือได้จากสู้กับบอส ส่วนความสามารถพิเศษที่จะค่อย ๆ ปลดล็อกออกมาจะมีทั้งการหายตัวที่มีประโยชน์มากเพราะนอกจากจะไว้ซ่อนตัวจากหุ่นสังหาร E.M.M.I แล้วยังใช้หลอกกับดักประตูที่จะปิดเมื่อเราเข้าใกล้ และยังมีการไต่กำแพงมาให้ใช้ นอกจากนี้การใช้อาวุธปืนแสงที่มีพลังหลากหลายที่นอกจากช่วยโจมตีแล้วยังช่วยเปิดประตูด้วย ซึ่งส่วนนี้อาจจะไม่สดใหม่เต็มร้อยแต่ก็ทำได้ดีเหมือนเดิม

การกลับมาของ Metroid Dread ที่เหมือนเป็นการบอกไปถึงเกมอื่นว่านี่แหละคือตัวจริงของเกมแนว Metroidvania เพราะนอกจากฉากที่กว้างใหญ่มีความซับซ้อนสูงแล้ว ยังมาพร้อมกับแอ็กชันที่สนุกขั้นเทพและต้องใช้ฝีมือในการเล่นไปด้วยพร้อมกัน บวกกับบอสที่อลังการงานสร้างมาก ทำให้การท่องไปในดวงดาวที่ดูลึกลับที่ใช้เวลาเล่นจนจบประมาณ 15-20 ชั่วโมง มีทั้งความสนุกลงตัวแบบจัดเต็มไม่เสียชื่อต้นฉบับอย่างแท้จริง และเป็นหนึ่งในเกมยอดเยี่ยมบน Nintendo Switch ที่ต้องมีติดเครื่อง

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส