ประวัติศาสตร์ต้องบันทึกว่าปี 2017 เป็นปีที่โลกเข้าสู่ยุคของ OLED TV อย่างเต็มตัวนะครับ เพราะทุกค่ายหลักที่ผลิตทีวีส่ง OLED TV ออกมาในฐานะทีวีรุ่นท็อปหมด และ EZ1000 ตัวนี้คือทีวีตัวท็อปประจำปี 2017 ของ Panasonic ครับ

Play video

จุดเด่นของทีวี Panasonic โดยเฉพาะในรุ่นท็อปที่มีมาโดยตลอดคือคุณภาพภาพและความเที่ยงตรงของสี ด้วยความที่ Panasonic EZ1000 นั้นเป็นจอ OLED แล้ว การแสดงสีดำจึงดำสนิท เพราะมันคือการปิดพิกเซลของจอไม่ให้มีแสงเลย ต่างจากจอ LCD ทั่วไปที่ได้ความดำแค่เทาๆ Contrast ของภาพจาก EZ1000 จึงดีกว่าจอ LCD อย่างเทียบกันไม่ได้ บอกตรงๆ เลยว่า Panasonic EZ1000 ไม่ใช่จอ OLED ที่ให้สีสดที่สุด ถ้าเปิดโหมดที่สีสดเทียบกับแบรนด์อื่นๆ สีจะไม่โดดเด้งเท่า แต่สำหรับการเสพย์เนื้อหาจริงๆ แล้ว คอหนังจะไม่สนใจความสดของสีมากเท่าสีที่เที่ยงตรงตามที่ผู้กำกับเห็นในจอมอนิเตอร์ ซึ่ง EZ1000 รุ่นนี้จริงจังกับเรื่องสีมากจนเป็นหนึ่งในจอ OLED TV ที่ให้สีตรงตามมาตรฐานฮอลลีวู้ดที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาด ผ่านมาตรฐาน UHD Premium และ THX 4K ด้วย

Panasonic EZ1000 เป็นหนึ่งในจอ OLED TV ที่ให้สีสันเที่ยงตรงที่สุดในตลาด

EZ1000 ใช้เทคโนโลยีในการประมวลผลสีหลัก 2 ตัวคือ 4K HEXA Chroma Drive Pro ที่ใช้ตารางสี 3 มิติในการจัดการสีสันที่แสดงออกมา และชิปประมวลผล Studio Color HCX2 เพื่อปรับปรุงภาพให้เหมาะสำหรับจอ 4K พร้อมได้รับการปรับแต่งสีโดยผู้เชี่ยวชาญในฮอลลีวู้ดให้ได้สีสันที่ตรงตามมาตรฐาน โดยเฉพาะโหมดภาพ THX ใน Panasonic EZ1000 ครับ โหมดนี้ได้รับการจูนสีให้เหมาะสมสำหรับภาพยนตร์มาเรียบร้อย ให้ความรู้สึกเหมือนดูหนังในโรงภาพยนตร์ชั้นดีสุดๆ

แน่นอนว่าเป็น OLED TV รุ่นท็อป ก็ต้องรองรับ 4K HDR เรียบร้อย ที่ปัจจุบันหาเนื้อหารับชมได้ง่ายมาก ทั้งจากแอป Youtube ในเครื่องที่เปิดคลิป 4K เล่นได้สบายๆ หรือ Netflix ที่มีเนื้อหารองรับทั้ง 4K และ HDR เรียบร้อย ดูหนังถ่ายเนี๊ยบๆ ภาพชัดๆ นี้มันก็ฟินนะครับ และรองรับสัญญาณ 4K HDR จากภายนอกด้วย จะเครื่องเล่น UHD Blu-ray player หรือ PlayStation 4 ก็รับได้สบายๆ โดย Panasonic EZ1000 นั้นรองรับมาตรฐาน HDR ทั้ง HDR10 ที่ใช้กันทั่วไป และ Hybrid Log-Gamma HDR แต่ไม่รองรับ Dolby Vision ครับ

EZ1000 รองรับ HDR10 แต่ไม่รองรับ Dolby Vision

ดีไซน์ของ Panasonic EZ1000 ก็ตามสมัยนิยมครับ เป็นทีวีขอบจอบาง มีโลโกพานาโซนิคเล็กๆ อยู่ด้านล่าง ตัวทีวีก็บาง เอาไปวางในห้องดูเรียบหรูดี ก็ตามสไตล์ของพานาโซนิคที่ไม่ออกแบบตัวทีวีให้เป็นจุดเด่นสายตา เพราะจุดเด่นของทีวีคือภาพที่แสดงออกมาต่างหาก
แต่ดีไซน์ที่แตกต่างจากรุ่นอื่นๆ เลยคือตัว EZ1000 มาพร้อม Sound bar ในตัวที่เรียกว่า Blade Soundbar วางเอียงให้เสียงชิ่งสะท้อนเพดานอยู่ด้านหน้าจอ ให้คุณภาพเสียงที่ดีมากด้วยลำโพงภายใน 14 ตัว ทั้งลำโพงเสียงเบส เสียงแหลม ซึ่งลำโพงภายในกระจายตัวได้ดี ทำให้แยกมิติเสียงซ้าย-ขวาที่เล่นได้ชัดเจน และสามารถปรับโหมดเสียงให้เหมาะสมกับสื่อที่เล่นได้ เช่นโหมดดนตรีจะปรับเสียงให้กังวาลมากขึ้น เบสชัดขึ้น สรุปว่าถ้าเราไม่ได้ต้องการเสียงรอบทิศทาง ก็ไม่ต้องหาลำโพงใหม่แล้วครับ Sound Bar ของ EZ1000 ดีมากแล้ว

Sound Bar ของ EZ1000 ดีมาก ไม่ต้องไปซื้อเพิ่มเลย

ในส่วนของระบบปฏิบัติการ Panasonic EZ1000 นั้นเรียกว่า My Home Screen 2.0 ซึ่งมีรากฐานมาจาก Firefox OS ครับ ก็ใช้งานง่ายดี สามารถ pin แอปหรือเนื้อหาที่เรียกใช้บ่อยๆ ไว้ในหน้าแรกได้ สั่งงานผ่านแอป TV Remote 2 ได้ ซึ่งที่เจ๋งคือเราสามารถปรับแต่งสีภาพอย่างละเอียดได้จากแอปเลย โยนภาพหรือวิดีโอจากมือถือไปขึ้นจอก็ได้ ใช้รีโมทแบบสัมผัสสั่งงานด้วยเสียงได้ด้วย แต่ไม่รองรับภาษาไทยนะครับ
Panasonic EZ1000 ถือว่าเป็นทีวีตัวท็อปที่ให้ภาพและเสียงน่าประทับใจมากนะครับ ถ้าจะมีจุดให้ติอยู่บ้างก็น่าจะเป็นการค้นหาภาษาไทยครับ อย่างในแอป Youtube ของเครื่อง เราไม่สามารถป้อนภาษาไทยเพื่อค้นหาคลิปไทยได้เลย พูดภาษาไทยไปมันก็ไม่เข้าใจ ฮือ

ปิดท้ายกันที่เรื่องราคา Panasonic EZ1000 นั้นตั้งราคาขาย 249,990 บาท สำหรับรุ่นจอ 65 นิ้วที่เรารีวิวในครั้งนี้ ก็เป็นราคาที่ใกล้เคียงกับคู่แข่งในตลาด ใครที่เน้นความเที่ยงตรงของสีแบบที่ผู้กำกับหนังต้องการ เสียงกระหึม ก็เป็นรุ่นหนึ่งที่ควรพิจารณาครับ