รีวิว Plantronics Voyager 5200 สุดยอดหูฟังสนทนาตัดเสียง
Our score
8.9

Plantronics Voyager 5200

จุดเด่น

  1. คุณภาพเสียงในการคุยดีมาก ยังคุยรู้เรื่องแม้จะอยู่ในสถานที่ที่มีเสียงรบกวนเยอะๆ
  2. มีเทคโนโลยีตัดเสียงลม ขี่มอเตอร์ไซค์ก็ยังคุยรู้เรื่อง
  3. สามารถปรับเสียงสื่อสารในหูเป็นภาษาไทยได้
  4. มีปุ่มควบคุมชัดเจน เช่นปุ่มเร่งเสียงกับลดเสียงอยู่แยกกัน ทำให้ใช้งานง่าย
  5. ดีไซน์แบบคล้องหู ทำให้ไม่ล้าเวลาใส่หูฟังนานๆ

จุดสังเกต

  1. ถ้าเป็นคนใส่แว่น ต้องลองก่อนว่าขาแว่นจะมีปัญหากับส่วนคล้องหูของหูฟังไหม
  2. เคสชาร์จต้องซื้อแยกอีก 1,590 บาท และในกล่องไม่ได้มีถุงใส่หูฟังมาให้
  • คุณภาพเสียงที่ได้ยิน

    9.0

  • คุณภาพไมค์

    9.5

  • ดีไซน์

    9.0

  • การออกแบบให้ใช้งานง่าย

    9.0

  • ความคุ้มค่า

    8.0

ผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Plantronics คือหูฟังสนทนาไร้สายนะครับ ที่ออกผลิตภัณฑ์กันมาอย่างยาวนานจนหลายคนเชื่อถือในประสิทธิภาพ ซึ่ง Plantronics Voyager 5200 ที่เรารีวิวในครั้งนี้ก็ถือเป็นตระกูลสูงสุดสำหรับหูฟังสนทนาไร้สายสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ความสามารถบอกเลยว่าคุ้มค่าตัวครับ เหมาะมากสำหรับคนที่ต้องคุยโทรศัพท์ คุยงานกันบ่อยๆ

ทำไมเราจึงควรใช้ Voyager 5200 คุยโทรศัพท์

แม้ว่าปัจจุบันจะมีหูฟังหลายชนิดที่สามารถใช้คุยโทรศัพท์แบบไร้สายได้ หูฟังฟังเพลงก็คุยโทรศัพท์ได้ แต่หูฟังที่ออกแบบมาเฉพาะทางอย่าง Plantronics Voyager 5200 ก็ให้ข้อดีมากกว่าหลายอย่างคือ

  • ออกแบบโดยคำนึงเรื่องคุณภาพเสียงพูดเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ใน Voyager 5200 จะมีไมค์รับเสียงในตัว 4 จุด เพื่อปรับเสียงพูดของเราให้ชัดที่สุด และลดเสียงรอบข้างลง นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี WindSmart เพื่อตัดเสียงลมที่จะเข้าไมค์ชนิดที่ขี่มอเตอร์ไซค์ก็ยังคุยได้ ซึ่งหลังจากใช้ Voyager 5200 เราก็ไม่เคยได้ยินปลายสายบ่นว่าเสียงคุยไม่ดีอีกเลย
  • สามารถเชื่อมโทรศัพท์ได้ 2 เครื่องพร้อมกัน (Multipoint) ไม่ว่าจะใช้เครื่องไหนคุยโทรศัพท์ก็สามารถคุยผ่าน Voyager 5200 ได้ทันที
  • ดีไซน์พิเศษแบบคล้องหู ทำให้ใส่ติดหูได้นาน ไม่ล้าหู จุกหูฟังก็ไม่ได้บล็อกเสียงภายนอก ทำให้ยังได้ยินเสียงรอบข้างอยู่
  • เคลือบสารกันน้ำ P2i Nano Coating ทำให้สามารถสู้ฝนหรือเหงื่อได้ แต่แช่น้ำไม่ได้นะ

ดีไซน์ของ Plantronics Voyager 5200

จุดสะดุดตาอย่างแรกของ Plantronics Voyager 5200 นั้นคือขนาดของหูฟังที่ใหญ่กว่าหูฟังสนทนาแบบโมโนทั่วไป โดยเฉพาะก้านไมค์โค้งยาวรับกับใบหน้า ดีไซน์ไล่จากบางไปหนาเหมือนดาบพร้อมมีสีเน้นด้านในเป็นสีแดง ก็สร้างความน่าเชื่อถือว่าจะรับเสียงพูดของเราได้ดี นอกจากนี้ยังมีส่วนคล้องหูขนาดใหญ่ซึ่งน่าจะเป็นที่อยู่ของแบตเตอรี่ที่สามารถคุยต่อเนื่องได้ 7 ชั่วโมงและ Standby รับสายได้ 9 วัน โดยรวมแล้วถือว่า Voyager 5200 ออกแบบได้หรูหรากว่าหูฟังสนทนาทั่วไปอย่างชัดเจนครับ

แต่ขนาดใหญ่ของ Voyager 5200 นั้นไม่ได้มีปัญหาในการพกพานะครับ เพราะตัวหูฟังสามารถพับเก็บให้บางลงได้ เพียงแต่ว่าในชุดขายปกตินั้นจะไม่มีเคสเก็บหูฟังหรือถุงใส่หูฟังมาให้ ก็ต้องหาที่เก็บหูฟังกันเอาเอง หรือจะซื้อเคสเก็บหูฟังของ Plantronics ที่ดีไซน์มาเฉพาะสำหรับ Voyager 5200 มาใช้ก็ได้ ซึ่งเราจะพูดถึงเคสตัวนี้ในตอนท้ายของบทความครับ

เพราะว่า Voyager 5200 นั้นสามารถพับหมุนไปหมุนมาได้ ผู้ใช้จึงสามารถปรับจุกหูฟังให้เหมาะสำหรับการใช้กับหูซ้ายหรือหูขวาก็ได้แล้วแต่ความถนัดเลย นอกจากนี้ในชุดขายยังมึจุกหูฟังแบบเจลให้เลือกอีก 2 ขนาด (รวมที่ติดอยู่กับหูตั้งแต่แรกก็เป็น 3 ขนาด) ให้ผู้ใช้เลือกขนาดที่เหมาะกับรูหูของเรา

รอบตัวของ Voyager 5200 นั้นมีปุ่มมากมาย มีทั้งปุ่มเพิ่ม-ลดระดับเสียง 2 ปุ่มอยู่ด้านบน ส่วนที่ก้านไมค์จะมีปุ่มตอบรับสายเรียกเข้าหรือใช้เรียก Siri และ Google Assistance ก็ได้ และปุ่ม Mute สำหรับปิดเสียงพูด ท้ายเครื่องมีพอร์ต Micro USB สำหรับการชาร์จหูฟัง โดยใช้เวลาชาร์จจาก 0-100% ใน 90 นาที มีสวิทซ์เลื่อนเปิด-ปิดเครื่อง พร้อมทั้งมี NFC เพื่อช่วยให้เชื่อมต่อกับ Android ได้ง่ายขึ้น ส่วน iPhone ก็ต้องใช้การเชื่อมต่อตามปกติต่อไป

ประสบการณ์การใช้งาน Plantronics Voyager 5200

Play video

จุดที่น่าประทับใจของ Voyager 5200 คือที่ตัวหูฟังจะมีเซนเซอร์รับรู้ได้ว่าเราใส่หูฟังอยู่หรือไม่ เช่นเวลาสายเรียกเข้าแล้วเรายังไม่ได้ใส่หูฟังอยู่ เมื่อหยิบหูฟังขึ้นมาใส่ก็จะเป็นการรับสายอัตโนมัติ (ถ้าไม่ชอบก็ปิดฟังก์ชั่นนี่ผ่านแอปได้) หรือถ้าเราใส่หูฟังอยู่แล้วและสายเรียกเข้าดังขึ้นมา หูฟังก็จะประกาศชื่อของผู้โทร (ฟังก์ชั่น Caller ID ใช้ได้กับสมาร์ตโฟนบางรุ่น) และพร้อมให้เราสั่งงานด้วยเสียง ถ้าจะรับสายก็พูดว่า Answer ส่วนถ้าจะไม่รับก็พูดว่า Ignore ไป หรือใช้กดปุ่มรับสายตามปกติก็ได้

Plantronics Voyager 5200 ใช้เทคโนโลยี Bluetooth 4.1 ซึ่งเคลมว่าสามารถใช้งานได้ไกลถึง 30 เมตรจากตัวโทรศัพท์ แต่การใช้งานในชีวิตจริงนั้นมีเงื่อนไขหลายอย่างครับ อย่างตัวโทรศัพท์ก็ต้องรองรับเทคโนโลยี Bluetooth ที่เหมาะสมจึงจะสามารถส่งสัญญาณได้ใกลขนาดนี้

Voyager 5200 สามารถปรับเสียงพูดที่หูฟังจะสื่อสารกับเราเป็นภาษาไทยได้ด้วย โดยปรับผ่านแอป Plantronics Hub ซึ่งเมื่อปรับเป็นภาษาไทยแล้วก็จะได้ยินเสียงเพราะๆ เช่น “เปิดเครื่อง, แบตเตอรี่สูง, เชื่อมต่อโทรศัพท์ 1 แล้ว, เวลาสนทนา 6 ชั่วโมง” ซึ่งเสียงไทยของ Plantronics นั้นทำได้ดี น่าฟังเลย

นอกจากนี้ตัวแอป Plantronics Hub ยังใช้งานได้หลายอย่าง โดยเฉพาะการปรับตั้งค่าหูฟัง อย่างการเปิดโหมดเสียงคุณภาพสูง หรือเปิดฟังก์ชั่นให้ใช้ฟังเพลงได้ (ถ้าปิดฟังก์ชั่นนี้จะประหยัดแบตมากขึ้น) นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่น Find My Headset เพื่อตามหาหูฟังของเรา ทั้งฟีเจอร์ BackTrack ที่จะดูตำแหน่งสุดท้ายที่โทรศัพท์เชื่อมต่อกับหูฟัง และถ้าหูฟังกลับมาอยู่ในรัศมีเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ได้ ก็สามารถกดให้หูฟังส่งเสียงเพื่อหาตัวหูฟังได้

ว่าด้วยเรื่อง Charging Case เคสใส่หูฟังที่ต้องซื้อแยก

ตัวหูฟัง Plantronics Voyager 5200 นั้นมีราคา 4,590 บาท ซึ่งก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อกับเทคโนโลยีด้านการสนทนาระดับท็อปที่ Plantronics อัดมาให้ แต่ถ้าต้องการความสมบูรณ์ยิ่งกว่านี้ก็ต้องซื้อ Charging Case ที่ขายแยกอีก 1,590 บาท ซึ่งเราก็คิดว่าราคานี้ก็สิ่งที่ได้เพิ่มเข้ามามันก็คุ้มแหละ

ดีไซน์ของ Charging Case ตัวนี้ถือว่าดูดี วัสดุด้านนอกเป็นยางนิ่มๆ ดีไซน์เป็นเส้นเฉียงๆ ตัวเคสทำจากพลาสติกแข็งทำให้มั่นใจว่าเก็บหูฟังลงไปแล้วจะไม่มีอะไรมาทำร้ายหูฟังภายในได้ แต่จุดสังเกตนิดหนึ่งอยู่ที่ดีไซน์ยางนิ่มแบบนี้อาจจะโทรมได้ถ้าถูกขูดขีดในกระเป๋า และขนาดของเคสนั้นใหญ่ประมาณอุ้งมือหนึ่งเลย ใครที่พกกระเป๋าเล็กๆ อาจจะพื้นที่เก็บของไม่พอได้

ขึ้นชื่อว่าเคสชาร์จ ก็ต้องสามารถชาร์จหูฟังได้! โดยเคสตัวนี้สามารถชาร์จหูฟังเต็มได้อีก 2 ครั้ง ทำให้ได้เวลาสนทนารวมทั้งหมดเป็น 21 ชั่วโมง (หูฟังใช้คุยได้ 7 ชั่วโมง ชาร์จผ่านเคสเต็มอีก 2 ครั้งก็บวกไปอีก 14 ชั่วโมง) ซึ่งตัวเคสจะชาร์จไฟผ่านพอร์ต Micro USB ที่อยู่นอกเคส โดยสามารถชาร์จเคสไปพร้อมชาร์จหูฟังภายในได้ พร้อมมีปุ่มแสดงระดับแบตเตอรี่ทั้งของหูฟังและตัวเคสด้วย ใช้งานได้สบายมาก

และดีไซน์พิเศษของเคสชาร์จตัวนี้คือด้านนอกเคสจะมีหลุมสำหรับเสียบหูฟัง Voyager 5200 ลงไปด้วย ทำให้เราสามารถใช้เคสตัวนี้เพื่อตั้งหูฟังบนโต๊ะ พร้อมใช้คุยโทรศัพท์ตลอดเวลา ซึ่งระหว่างที่ตั้งหูฟังบนเคสภายนอกก็ยังสามารถชาร์จไฟไปด้วยได้ ซึ่งส่วนตัวคิดว่าแค่ฟังก์ชั่นตั้งหูฟังหล่อๆ แบบนี้ก็ทำให้เราซื้อ Charging Case ตัวนี้แล้วแหละ

สรุป Plantronics Voyager 5200 คุ้มค่าแค่ไหน

Plantronics Voyager 5200 นั้นไม่ใช่หูฟังที่เหมาะสำหรับทุกคนครับ ทั้งจากค่าตัวและดีไซน์ที่เป็นหูเดียว ไม่เหมาะสำหรับเอาไปฟังเพลง แต่ถ้าชีวิตของคุณต้องคุยโทรศัพท์เยอะๆ หรือการคุยโทรศัพท์นั้นสำคัญกับหน้าที่การงาน หูฟังตัวนี้จะช่วยคุณได้มาก เอาแค่เรื่องให้เสียงสนทนาคมชัด ไม่ต้องพูดซ้ำหลายรอบ และเวลาคุย มือทั้ง 2 ข้างก็ยังเป็นอิสระสามารถทำงานอื่นๆ ไปพร้อมกันได้ถนัด ก็ช่วยให้งานเดินไปเร็วแบบไม่หงุดหงิดแล้ว

แต่ถ้าคิดว่า Voyager 5200 ค่าตัว 4,590 บาทนั้นสูงไป Plantronics ก็ยังมีหูฟังแบบ Headset คุยโทรศัพท์ให้เลือกหลายรุ่นหลายระดับราคาที่มีความสามารถลดหลั่นกันไป ก็สามารถติดต่อ Systems2000 ตัวแทนจำหน่ายในไทย เพื่อขอคำปรึกษารุ่นหูฟังที่เหมาะสมได้ครับ