รีวิว Dyson V12 Detect Slim เครื่องดูดฝุ่นหัวเลเซอร์!
Our score
9.2

Dyson V12 Detect Slim

จุดเด่น

  1. หัวดูด Fulffy ที่มาพร้อมเลเซอร์ ใช้งานได้จริง มองเห็นฝุ่นที่พื้นชัดๆ เข้าไปทำความสะอาดได้
  2. ตัวเครื่องมีน้ำหนักเบา ใช้งานสะดวกกว่ารุ่นก่อนๆ
  3. หัวดูดที่ให้มามีความหลากหลาย ครอบคลุมการทำความสะอาดแทบทุกส่วนในบ้าน
  4. ถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ด้วยตัวเอง ทำให้สามารถใช้งานต่อเนื่องได้แม้ทำความสะอาดพื้นที่ใหญ่ๆ
  5. มีการซีลฝุ่นรอบเครื่อง ทำให้เวลาใช้งานแทบไม่มีฝุ่นเล็ดรอดออกมาจากลมที่ออกจากเครื่อง

จุดสังเกต

  1. สวิทซ์เปิด-ปิดแบบใหม่ ไม่สามารถเปิด-ปิดการทำงานของเครื่องด้วยมือเดียวได้
  2. ถังเก็บฝุ่นเล็ก และหลายครั้งไม่สามารถทิ้งฝุ่นแบบไม่เอามือไปดึงฝุ่นออกจากถังได้
  3. ถึงราคาจะถูกกว่ารุ่นท็อปในปีก่อนๆ แล้ว แต่ก็ยังถือว่าราคาสูงอยู่ดี
  • รูปร่างลักษณะ

    9.4

  • ความสะดวกในการใช้

    9.0

  • ความสามารถในการทำความสะอาด

    9.5

  • ความยืดหยุ่นในการใช้งาน

    9.5

  • ความคุ้มค่า

    8.5

Dyson เจ้าแห่งเครื่องดูดฝุ่นไร้สายนั้นมีความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาเครื่องดูดฝุ่นรุ่นใหม่เสมอครับ เราที่เคยใช้รุ่นก่อนหน้านี้ก็แปลกใจเสมอว่าไดสันคิดได้ยังไงว่าต้องติดเลเซอร์ไว้ที่หัวดูดในรุ่น Dyson V12 Detect Slim ที่เราจะรีวิวในวันนี้ครับ

ดีไซน์และการใช้งาน Dyson V12 Detect Slim

ถังเก็บฝุ่นของ Dyson V12 Slim
ถังเก็บฝุ่นของ Dyson V12 Slim

การออกแบบของ Dyson V12 นั้นเป็นลักษณะเดียวกับ Dyson V11 และ V10 คือดีไซน์เครื่องดูดฝุ่นยุคใหม่ของไดสันที่ถังเก็บฝุ่นต่อเป็นระนาบเดียวกับท่อดูด ซึ่งถังเก็บฝุ่นนี้มีความจุ 0.35 ลิตร ก็ถือว่ามีความจุไม่เยอะ ถ้าบ้านมีฝุ่นเยอะก็อาจจะต้องทิ้งฝุ่นสัก 2 รอบนะครับ

ไดสันพยายามออกแบบถังเก็บฝุ่นให้ทิ้งฝุ่นลงถังขยะได้โดยไม่ต้องเอามือไปสัมผัสฝุ่น แต่จากการใช้งานจริงระยะระหว่างแกนตรงกลางท่อดูดกับผนังถังเก็บฝุ่นนี้มันแคบไปหน่อยครับ ทำให้การทิ้งฝุ่น 10 ครั้ง เราต้องเอามือไปเขี่ยให้ฝุ่นตกลงถังขยะสัก 8 ครั้งได้ บางครั้งถ้าฝุ่นเกาะตัวเป็นก้อนจริงๆ ก็ต้องถอดเอาถังเก็บฝุ่นออกมาจากเครื่องเลย เพื่อให้ทิ้งฝุ่นทั้งหมดได้ครับ

สิ่งที่แตกต่างจากรุ่นเดิมคือปุ่มเริ่มดูดที่เปลี่ยนมาใช้ปุ่มกดด้านบนคล้ายๆ Dyson Omni-Glide ที่กด 1 ครั้งเพื่อเริ่มดูด และกดอีกครั้งเพื่อหยุด แทนที่จะเป็นปุ่มแบบไกปืนเหมือนรุ่นก่อนๆ ที่ต้องกดค้างตลอดเวลาที่ทำงาน ถ้ามองในแง่ดี ดีไซน์ปุ่มทำงานแบบนี้ก็ทำให้มือเราไม่ต้องออกแรงกดตลอดการใช้งานเหมือนรุ่นเดิม แต่ข้อเสียก็อยู่ที่เราต้องใช้ 2 มือเพื่อเริ่มทำงานและหยุดทำงานครับ เวลาทำงานแล้วเครื่องไปดูดติดอะไร ก็ต้องใช้อีกมือหนึ่งมากดหยุดเครื่อง แทนที่จะหยุดได้ทันทีเหมือนรุ่นเดิม ก็ต้องปรับตัวกันเวลาใช้งานครับ

ปุ่มกดสีแดงอยู่ด้านบนเครื่อง และแบตเตอรี่ที่ถอดเปลี่ยนได้อยู่ใต้เครื่อง
ปุ่มกดสีแดงอยู่ด้านบนเครื่อง และแบตเตอรี่ที่ถอดเปลี่ยนได้อยู่ใต้เครื่อง

จุดเด่นอีกอย่างของ Dyson V12 คือสามารถถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ง่ายๆ ทำให้สำหรับบ้านที่ใหญ่มากๆ ก็สามารถซื้อแบตเตอรี่ 2 ก้อนไว้สลับสับเปลี่ยนได้ ไม่ต้องรอชาร์จ (เพราะตอนเสียบชาร์จคือใช้งานไม่ได้นะ) แต่สำหรับบ้านทั่วๆ ไป แบตเตอรี่ก้อนเดียวก็เอาอยู่ได้สบายๆ ครับ ซึ่ง Dyson V12 สามารถทำงานต่อเนื่องได้นานสุด 1 ชั่วโมง เมื่อใช้โหมด Eco และหัวดูดปกติที่ไม่มีไฟและไม่มีมอเตอร์

Dyson V12 มีหน้าจอด้านหลังเครื่องเหมือน Dyson V11 นะครับ ซึ่งนอกจากจะใช้ดูโหมดการทำงาน ดูเวลาแบตเตอรี่คงเหลือ ดูเวลาชาร์จได้เหมือนรุ่นเดิมแล้ว ในรุ่นใหม่ยังสามารถแสดงปริมาณฝุ่นที่ดูดได้แบบ Real-time ทำให้รู้ว่าขนาดนี้เรากำลังดูดฝุ่นอยู่มากน้อยแค่ไหน แล้วเป็นฝุ่นขนาดใดบ้าง เพื่อรู้ความหนักหนาของสถานการณ์ความสกปรกในบ้านครับ

หน้าจอด้านหลังที่แสดงจำนวนฝุ่น
หน้าจอด้านหลังที่แสดงจำนวนฝุ่น

นอกจากนี้ Dyson V12 จะมีซีลรอบเครื่องพร้อมแผ่นกรอง HEPA ติดตั้งอยู่หลังเครื่อง เพื่อดักฝุ่น 99.99% ไม่ให้หลุดออกจากเครื่องระหว่างการทำความสะอาด ทำให้แม้กำลังดูดสูงก็ไม่มีฝุ่นฟุ้งออกมาจนทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกเจ็บคอ ซึ่งแผ่นกรองเหล่านี้สามารถล้างทำความสะอาดได้ด้วย

หัวทำความสะอาดหลากหลาย

Dyson V12 ที่จำหน่ายในไทยนั้นมี 4 รุ่นย่อยให้เลือกคือ

  • Dyson V12 Detect Slim Fluffy รุ่นถูกที่สุด ราคา 21,900 บาท มีหัวดูดน้อยที่สุด ไม่มีหัวดูดสำหรับพรมมาให้ แต่ก็เพียงพอสำหรับบ้านทั่วไป
  • Dyson V12 Detect Slim Total Clean รุ่นกลางที่เรารีวิวในวันนี้ เพิ่มหัวดูดพื้นแบบ Driect Drive สำหรับทำความสะอาดพรม และหัวดูดฝุ่นแบบฝึกลึก ราคา 24,900 บาท
  • Dyson V12 Detect Slim Total Clean + แท่นวางตั้งพื้น ราคา 25,900 บาท
  • Dyson V12 Detect Slim Absolute Extra คือมาพร้อมแท่นวางตั้งพื้นและแบตเตอรี่เสริมอีก 1 ก้อน ราคา 28,900 บาท
หัวดูดทั้งหมดของ Dyson V12 Detect Slim Total Clean
หัวดูดทั้งหมดของ Dyson V12 Detect Slim Total Clean

หัวดูดพื้น Slim Fluffy แบบเลเซอร์ (มีในทุกรุ่นย่อย)

หัวดูดทำความสะอาดพื้นที่เป็นพระเอกของ Dyson V12 Detect เลยคือหัวดูด Slim Fluffy ที่มีขนนุ่มๆ สำหรับทำความสะอาดพื้นแข็งพวกพื้นปูน พื้นกระเบื้อง พื้นไม้ในบ้านได้สะอาดเอี่ยม แถมเป็นรุ่น Slim ที่มีน้ำหนักเบาลง และปรับปรุงล่าสุดของหัว Fluffy คือมีเลเซอร์สีเขียวๆ สาดไปที่พื้น ให้เรามองเห็นฝุ่นได้ชัดเจนด้วย ซึ่งจากการใช้งานมาหลายเดือนก็พบว่าเลเซอร์สีเขียวนี้ใช้งานได้จริงครับ แทบจะปิดไฟมืดๆ แล้วดูดฝุ่นที่พื้นได้เลย เลเซอร์ส่องให้เห็นชัดเจนว่าพื้นที่ไหนฝุ่นเยอะ ยังไม่ได้ทำความสะอาดบ้าง ทำให้การทำความสะอาดพื้นมีประสิทธิภาพสุดๆ แค่หัวเลเซอร์นี้อย่างเดียวก็ทำให้เครื่องรุ่นนี้น่าใช้แล้วครับ

หัวดูด Slim Fluffy พร้อมเลเซอร์
หัวดูด Slim Fluffy พร้อมเลเซอร์

โดยวิศวกรของ Dyson อธิบายว่าที่เลือกใช้เลเซอร์สีเขียวเพราะตามนุษย์มองเห็นสีเขียวได้ดี แยกฝุ่นออกง่าย และเลเซอร์ผ่านการรับรองแล้วว่าปลอดภัยต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยง แต่ถ้าใช้งานในพื้นที่ที่มีแสงเยอะๆ เช่นห้องในเวลากลางวันที่เปิดหน้าต่าง จะมองเห็นเลเซอร์ที่พื้นยากหน่อยครับ จึงทำให้หัวดูดนี้ใช้ในที่แสงน้อย ๆ ได้ง่ายกว่า

หัวดูด Hair Screw (มีในทุกรุ่นย่อย)

หัวดูด Hair Screw
หัวดูด Hair Screw

หัวดูดแบบใหม่อีกตัวที่มีใน Dyson V12 Detect เป็นครั้งแรกคือหัวดูด Hair Screw ที่มาแทนหัวดูด Mini Motor เดิม โดยหัวดูดนี้ออกแบบไว้สำหรับการทำความสะอาดที่นอน เฟอร์นิเจอร์ผ้า หรือเบาะนุ่มต่าง ๆ โดยแปรงปั่นที่หัวดูดจะตะกุยฝุ่นที่ติดอยู่ตามวัสดุนุ่ม ๆ เพื่อให้เครื่องดูดออกมา ซึ่งการปรับปรุงในรุ่น Hair Screw คือเปลี่ยนแกนของแปรงจากทรงกระบอกให้เป็นรูปร่างกรวยแทน เพื่อแก้ปัญหาผมเส้นยาวๆ ไปพันแกนปั่นในรุ่นเดิม ซึ่งผู้ใช้ต้องคอยถอดแกนปั่นออกมาทำความสะอาดเรื่อย ๆ แต่ในรุ่นใหม่นี้เมื่อเส้นผมถูกปั่นเข้าไปก็จะถูกดันไปออกที่ปลายด้านแหลมของกรวย และถูกแรงดูดของ Dyson V12 ดึงผมเข้าไปเก็บในถังเก็บฝุ่นแทนครับ

หัวดูดอื่น ๆ

อุปกรณ์ทั้งหมดในกล่อง Dyson V12 Detect Total Clean
อุปกรณ์ทั้งหมดในกล่อง Dyson V12 Detect Total Clean

สำหรับรุ่น Dyson V12 Detect Total Clean ขึ้นไปจะได้หัวดูด Direct Drive ที่เป็นแปรงแข็ง ๆ มาด้วย ก็เหมาะสำหรับการทำความสะอาดพื้นพรมที่หัวดูด Fluffy อาจจะทำได้ไม่ดีพอ หรือคราบสกปรกแบบติดแน่น นอกจากนี้ยังได้หัวดูดฝุ่นฝังลึกตัวเล็ก ๆ มาด้วย สำหรับการทำความสะอาดเฉพาะจุด ซึ่งส่วนตัว 2 หัวดูดนี้ไม่ค่อยได้ใช้สำหรับบ้านที่ไม่มีพรมครับ เลยไม่ต้องเพิ่มราคาก็ได้ถ้าคิดว่าจะไม่ได้ใช้

แต่ 2 หัวดูดที่เราได้ใช้บ่อยมาก ๆ (และ 2 หัวดูดนี้มีในทุกรุ่น) คือ หัวดูด Combi ที่เป็นหัวดูดแบบปากกว้างพร้อมสลับไปใช้งานแบบแปรงได้ด้วย และหัวดูดปลายแหลมพร้อมไฟส่องสำหรับทำความสะอาดในพื้นที่แคบ ๆ ซึ่งใช้งานได้ดีเลย แถมใน Dyson V12 Detect จะมาพร้อมคลิปสำหรับติดท่อดูดยาว ให้เราเอาหัวดูดอีก 2 หัวติดไปได้ระหว่างทำความสะอาด ทำให้เราไม่ต้องเดินมาหยิบหัวดูดบ่อยๆ ซึ่งหัวดูดอีก 2 ตัวที่มักจะติดไปด้วยเสมอคือหัว Combi กับหัวปลายแหลมนี่แหละ

ส่วนอุปกรณ์เสริมที่เหลือ ส่วนตัวไม่ค่อยได้ใช้คือ ข้อต่อสำหรับดูดใต้เตียง ที่เปลี่ยนองศาท่อดูดให้ทำความสะอาดใต้เตียงได้ง่ายขึ้น, หัวดูดแบบแปรงขนนุ่มที่เราไปใช้หัวแบบ Combi แทนมากกว่า

ความสามารถในการทำความสะอาด

ฟิลเตอร์ท้ายเครื่อง เพื่อกรองฝุ่นก่อนออกจากเครื่อง
ฟิลเตอร์ท้ายเครื่อง เพื่อกรองฝุ่นก่อนออกจากเครื่อง

Dyson V12 Detect ถือเป็นเครื่องดูดฝุ่นไร้สายรุ่นท็อปสุดจากไดสันในไทยตอนนี้นะครับ จึงให้ประสิทธิภาพได้สูงได้ตามความคาดหวัง มาพร้อมมอเตอร์ Dyson Hyperdymium ในเครื่องทำงานด้วยความเร็วสูงสุด 120,000 RPM สร้างแรงดูดสูงสุด 150 Air-Watt แต่ก็ยังน้อยกว่า V11 เดิมที่ให้แรงดูดสูงสุด 185 Air-Watt เพราะรุ่นเดิมมีขนาดใหญ่กว่า ถังเก็บฝุ่นจุกว่า แต่ก็มีน้ำหนักมากกว่าคือเกือบ 3 กก. เทียบกับ V12 ที่หนักเพียง 2.2 กก.

(ส่วนต่างประเทศจะจำหน่ายรุ่น V15 Detect ที่เครื่องใหญ่กว่า แรงดูดมากกว่า แพงกว่า และหนักมากกว่า 3 กิโล แต่ประเทศแถบเอเชียจะขายรุ่น Slim เป็นหลัก เพราะน้ำหนักเบา เหมาะกับผู้ใช้มากกว่า)

เครื่องดูดฝุ่นรุ่นนี้ออกแบบในระบบไซโคลน ประกอบด้วยท่อไซโคลน 11 ท่อเพื่อสร้างแรงเหวี่ยงฝุ่นออกจากอากาศให้ตกลงไปในถังฝุ่น ทำให้ไม่ให้ต้องถุงดักฝุ่นแบบเครื่องดูดฝุ่นสมัยก่อน แรงดูดฝุ่นจึงไม่ตกแม้ฝุ่นจะมีอยู่เต็มถึงเก็บฝุ่นครับ

โหมด Eco ของ Dyson V12
โหมด Eco ของ Dyson V12

การทำงานปกติในโหมด Auto ที่เครื่องจะปรับความแรงในการทำงานให้ตามลักษณะการทำงานหรือพื้นผิวที่ดูดก็ทำงานได้ดีครับ สามารถทำความสะอาดได้รวดเร็วโดยไม่ต้องทำความสะอาดซ้ำหลายๆ รอบ เพราะการดูดแค่รอบเดียวก็สามารถทำความสะอาดพื้นผิวได้สะอาดดีแล้ว ซึ่งโหมดนี้จะใช้งานได้ราว 40 นาที

ส่วนโหมด Eco ที่กำลังดูดน้อยที่สุด อันนี้สำหรับการทำความสะอาดบ้านหลังใหญ่ๆ ที่ต้องทำงานต่อเนื่องยาว ๆ แต่ความสกปรกไม่หนักหนามาก ก็จะทำงานได้ราว ๆ 1 ชั่วโมง และโหมดสุดท้ายคือ Boost อันนี้ได้กำลังสูงสุดคือ 150 Air-Watt สำหรับทำความสะอาดเฉพาะจุดที่ต้องการแรงดูดสูง ก็จะทำงานได้ราว ๆ 10 นาทีเท่านั้นครับ

สรุป Dyson V12 Detect Slim น่าใช้ไหม

หัวดูดหลักทั้ง 3 ของ Dyson V12 Detect Slim (ซ้าย) หัวเลเซอร์ Fluffy, หัว Direct Drive และหัว Hair Screw
หัวดูดหลักทั้ง 3 ของ Dyson V12 Detect Slim (ซ้าย) หัวเลเซอร์ Fluffy, หัว Direct Drive และหัว Hair Screw

เรารีวิวเครื่องดูดฝุ่นไดสันมาหลายรุ่นนะครับ ซึ่งบทสรุปที่ได้จากการใช้จริงมาหลายเดือนคือ Dyson V12 Detect Slim เป็นเครื่องดูดฝุ่นที่น่าใช้ครับ ด้วยราคาเริ่มต้นแค่ 21,900 บาท ถือเป็นเครื่องรุ่นท็อปที่ราคาถูกกว่ารุ่นท็อปในปีก่อน ๆ แถมเลเซอร์ที่หัวดูดพื้นยังใช้ดีมากด้วย ทำความสะอาดได้สะดวกและสนุกสุด ๆ นอกจากนี้ยังมีน้ำหนักเบา ได้หัวดูดทำความสะอาดครอบคลุมการใช้งานในบ้าน และเครื่องฉลาด สามารถปรับการทำงานได้อัตโนมัติด้วย ถ้าใครยังไม่มีเครื่องดูดฝุ่นไร้สายในบ้าน ก็น่าหาซื้อไว้ครับ

อ่านรีวิว Dyson Omni-Glide เครื่องดูดฝุ่นไร้สายแบบไม้กวาด

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส