เรียกได้ว่าสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่ได้พักไม่ได้ผ่อนกันเลยทีเดียว เพราะมัวแต่ดูซีรีส์ที่ร้อนแรงที่สุด ณ เวลานี้ อย่าง ‘สงคราม ส่งด่วน’ หรือ Mad Unicorn ซีรีส์จาก NETFLIX ผลิตโดย GDH ที่ได้ ไก่ ณฐพล บุญประกอบ มาเป็นผู้กำกับซีรีส์
สำหรับใครที่ยังไม่ได้ดูเรื่องราวคร่าว ๆ จะเล่าเกี่ยวกับเด็กดอยที่ชีวิตยากจนมาก แต่มีความฝันคืออยากจะรวยจากการทำธุรกิจ โดยคิดจะทำธุรกิจเกี่ยวกับการขนส่งขึ้นมา จับพลัดจับผลูจนได้มาทำธุรกิจร่วมกับบริษัทชั้นนำ แต่ระหว่างทางกลับโดนแทงข้างหลัง มีการกลับคำพูด รวมไปถึงตุกติกเรื่องส่วนแบ่ง ทำให้สงครามการค้าจึงเริ่มต้นขึ้นค่ะ และมีกลยุทธ์ตลาดมากมาย เดี๋ยววันนี้แอดจะพาทุกคนไปดู 10 กลยุทธ์ที่อยู่ในซีรีส์และที่ใช้ในชีวิตจริงกันค่ะ
10 กลยุทธ์การตลาดใน ‘สงคราม ส่งด่วน’
1. มีจุดขายที่ชัดเจน
ความชัดเจนคือการสร้างความแตกต่าง อย่างในเรื่องเราจะเห็นกันได้ชัดระหว่าง Easy Express ที่มีจุดเด่นจากที่ตัวพระเอกคิดไปให้คือค่าส่งขั้นต่ำ 25 บาททั่วประเทศไทย แต่เมื่อตัวพระเอกต้องมาทำเองจึงหาจุดเด่นคือ การไปรับของถึงที่บ้าน ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ทำให้ลูกค้าไม่ต้องออกไปส่งเอง ตอบโจทย์ยุคนี้ที่คนขี้เกียจออกจากบ้าน
2. ลดราคาแบบบ้าระห่ำ เพื่อแย่งตลาด
เมื่อจุดแข็งของทาง Easy Express เป็นค่าส่งที่ถูกมากอยู่แล้ว แต่พระเอกเลือกที่จะทำถูกกว่าเพื่อแย่งตลาดแบบรวดเร็ว โดยเริ่มที่เพียง 19 บาททั่วประเทศเช่นกัน กลยุทธ์นี้เป็นความเสี่ยงที่ท้าทายมากเพราะว่าค่าส่ง 25 บาทก็แทบจะไม่มีกำไรอยู่แล้ว การที่จะทำกลยุทธ์นี้ต้องมีทุนสำรองมากพอสมควร และต้องพร้อมรับมือกับความเสี่ยง เสี่ยงที่บริษัทจะอยู่ได้ไม่นาน เสี่ยงในเรื่องของปัญหาที่เกินควบคุม และอีกมากมาย ซึ่งในระยะเวลาสั้น ๆ อาจจะเป็นไปได้
3. จับมือพันธมิตร ขยายพลัง
การที่จะสร้าง Value ให้แบรนด์โตไว ๆ ก็ต้องไปเป็นพาร์ตเนอร์ใช่มั้ยล่ะคะ ข้อนี้จึงเป็นบันไดสำคัญมากที่จะช่วยให้บริษัทของเราโต อย่างในซีรีส์เรื่องนี้จะเป็นการไปจับมือกับ Molly ที่เป็นแอปฯ ชอปปิง เพราะเมื่อแอปฯ ขายของได้เยอะ บริษัทก็จะส่งของได้เยอะเช่นกัน

4. รู้จักบริหารเงิน ไม่ใช่แค่หาเงิน
แน่นอนว่าการที่จะทำให้บริษัทไปได้ดี ต้องมีการบริหารที่ดี อย่างฝั่งพระเอก (สันติ) Thunder Express ก็มี CFO อย่างเสี่ยวหยู เน้นบริหารกระแสเงินสดให้คล่องตัว และเป็นผ้าเบรกของบริษัทอย่างชัดเจน ในบริษัทเมื่อมีคนที่มีไอเดียมุทะลุ และเฉียบคมอย่างสันติ ก็ต้องมีคนอย่างเสี่ยวหยูคอยบริหารเรื่องนี้เช่นกัน บริษัทถึงจะไปต่อได้และไม่ขาดทุน
5. ทำแอปฯ ให้ง่าย ให้ไว และใช้ได้จริง
ในสมัยนี้การที่ทำธุรกิจให้ครบจบ อาจจะต้องมาพร้อมกับตัวแอปฯ และในซีรีส์ก็มีคนเทคตัวตึงที่เป็น CTO ในเรื่องอย่างรุ่ยเจี๋ย โฟกัสการออกแบบแอปฯ ให้ใช้งานง่าย ลูกค้ารู้สึกดีตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ เร็วทันใจ เปิดตัวบริษัทก็มีแอปฯ พร้อมใช้ทันที
6. ระดมทุน
ทีม Thunder Express พยายามดึงนักลงทุนสายสตาร์ตอัป ทั้งการร่วมทุน (VC : Venture Capital) และการร่วมทุนในองค์กร (CVC : Corporate Venture Capital) เพื่อหาเงินมาขยายธุรกิจ การระดมทุนแบบนี้ใช้คำว่าเหนื่อยเลยคงไม่เกินจริง เพราะต้องมีทั้งการลงพื้นที่ เดินแจกนามบัตร และเมื่อพอเป็นการลงทุนแบบนี้ ภาพลักษณ์ของแบรนด์ยิ่งสำคัญ จะทำยังไงให้คนอื่นมาร่วมลงทุนกับเราได้ ต้องมีสิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรม ที่ไม่ใช่แค่คำว่าในอนาคตเราจะทำกำไรได้หมื่นล้านต่าง ๆ ซึ่งทีม Thunder Express ก็ทำได้ดี เพราะมีหน้าตาของตัวแอปฯ ไปดึงคนนั่นเองค่ะ

7. วางแผนด้วยข้อมูล ไม่ใช่แค่ความรู้สึก
บริษัทในเรื่องวิเคราะห์ส่วนแบ่งตลาดตลอดว่าใครครองพื้นที่ตรงไหน แล้วหาทางเจาะจุดอ่อนของคู่แข่ง เพราะถ้าใช้แค่ความรู้สึกคงจะมีแต่ความแค้นเป็นตัวขับเคลื่อน แต่เราต้องวางแผนบริษัทของตัวเองซึ่งเราจะเห็นได้ในซีนที่เสี่ยวหยูวางแผนการตลาดบนกระจกรถของสันติ ซึ่งทำให้การที่เราจะพาธุรกิจเราไปข้างหน้า เราควรจะต้องอยู่จุดไหนของห่วงโซ่ธุรกิจขนส่งนี้
8. ใช้เทคโนโลยีเป็นอาวุธ
ในซีรีส์เราจะเห็นทั้งสองฝั่งลงทุนในระบบจัดการหลังบ้าน เช่น ติดตามพัสดุแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ส่งของแม่นยำและไวขึ้น เพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุด อย่าลืมว่าต่อให้ส่งดีแค่ไหนแต่ลูกค้าติดตามพัสดุของตัวเองไม่ได้ก็เท่านั้น
9. สร้างแบรนด์ให้คนเชื่อใจ
Thunder Express พยายามวางภาพตัวเองเป็น ‘ขนส่งที่ไว้ใจได้’ ไม่ใช่แค่เร็ว แต่ยังใส่ใจลูกค้า เราจะเห็นได้จากการที่ใส่ใจดูแลตั้งแต่พัสดุถึงคลัง คือการ ‘ห้ามโยน’ ดูจากดราม่าช่วงแรก ๆ นู้นก็ได้ค่ะ ที่มีคนถ่ายคลิปขนส่งเจ้าหนึ่งโยนของ ซึ่งไม่รู้ว่ามันคืออะไร อาจจะเป็นของที่แตกได้ก็ได้ เช่น แก้ว, จาน เพราะถ้าแตกขึ้นมาคนลำบากไม่ใช่แค่ลูกค้า แต่จะย้อนกลับไปถึงร้านอีกด้วย ส่วนตัวใครที่เป็นผู้ซื้อก็จะรู้ดีว่า การสั่งของออนไลน์ที่มีสิทธิจะแตกได้ มันมีความเสี่ยงมาก ๆ

10.ใช้ดราม่าเป็นกระแส สร้างการรับรู้
ในเรื่องมีหลายครั้งที่ Thunder Express หรือ Easy Express เผชิญวิกฤต เช่น ข่าวเสียหาย ปัญหาการส่งล่าช้า หรือการถูกโจมตีทางสื่อ แต่ทีมก็ใช้จังหวะนั้น เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส เช่น ออกมาชี้แจงไว ทำคลิปตอบโต้แบบจริงใจ หรือดึงกระแสให้เกิดการพูดถึงในเชิงบวกแทน แต่บางทีกลยุทธ์ข้อนี้ก็กลับด้าน บางบริษัทก็ชอบความดราม่ามากกว่าก็มีค่ะ แต่ลูกค้าไม่ชอบนะคะ ลูกค้าอาจจะชอบความจริงมากกว่าก็ได้ค่ะ
10 กลยุทธ์นี้แอดคิดว่าแทบจะทุกบริษัทที่จะนำไปใช้ ซีรีส์ ‘สงคราม ส่งด่วน’ ไม่เพียงแต่เล่าเรื่องราวของการแข่งขันในธุรกิจขนส่งพัสดุเท่านั้น แต่ยังแฝงความดิ้นรนของสันติอีกด้วย เพราะความจนมันน่ากลัว และความแค้นก็น่ากลัวเช่นกัน ใครคิดจะคิดว่าเด็กดอยคนนั้นจะทำเงินได้ตั้ง 300 กิโลฯ (ใครอยากรู้ว่าหมายถึงอะไร ไปดูได้ในซีรีส์ค่ะ) อีกทั้งนี่ยังเป็นยูนิคอร์นของประเทศไทยเราจนถึงปัจจุบัน ยังไงก็อย่าลืมไปหาชมซีรีส์กันได้ แอดเชื่อว่าทุกคนจะชอบอย่างแน่นอน ฟีล Itaewon Class เลยค่ะ มันสะใจ